บทที่3
“ไม่ใช่ฉันอีกนั่นแหละที่จะบอกเธอได้”
“ถ้างั้นฉันขอเปลี่ยนคำถามก็ได้ คนที่จะตอบเรื่องที่กำลังก่อกวนใจฉันตอนนี้…คือเรนใช่ไหม”มีเพียงความเงียบเท่านั้นที่ตอบกลับมาให้
ใช่จริงๆ ด้วยสินะ! ดูท่าแล้วระยะเวลาสามปีที่จากกันไป คงจะมีอีกเรื่องหลายเรื่องที่เกิดขึ้นกับเรนและฉันไม่เคยรับรู้
เรนไม่มีวันยอมปริปากบอกเรื่องพวกนี้ให้ฉันรู้แน่นอนและฉันเองก็คงไม่ใจกล้ามากพอที่จะเอ่ยถามมันออกไปเช่นกัน
คงต้องรอแค่เวลาอย่างเดียวเท่านั้น
เวลาที่เขาจะบอกทุกอย่างให้ฉันได้รู้จากปากของเขาเอง
เช้าวันใหม่เริ่มต้นขึ้นเมื่ออากาศหนาวเหน็บล่องลอยมาพร้อมกับสายลมเบาๆ ที่ลอดผ่านหน้าต่างไม้สีน้ำตาลที่ฉันคิดว่าตัวเองคงจะลืมปิดมันหลังจากเมื่อคืนนั่งมองอยู่ที่ตรงนั้น มองประตูบานใหญ่ด้วยความหวัง ว่าว่าใครสักคนจะเปิดมันแล้วมอบรอยยิ้มที่ทำให้หัวใจฉันเข้มแข็งขึ้นมาให้
แต่ก็เปล่าประโยชน์
เรนไม่มา…
นั่นแสดงว่าเขาอยู่เฝ้าแฟนคลับคนนั้นตลอดทั้งคืน
และเป็นตลอดทั้งคืนที่ฉันนอนไม่หลับ เฝ้าแต่ตั้งคำถามกับตัวเองมากมายอยู่เพียงลำพังในห้องที่มืดสนิท ไร้แสงสว่างเหมือนทุกคืนที่เคยเป็น
คำถามที่อยากรู้ที่สุดคงจะหนีไม่พ้นเรื่องของคนๆ นั้น...
“ตาเธอดูคล้ำๆ นะ นอนไม่หลับรึไง” ดีว่าถามขึ้นเมื่อเราทั้งคู่ขึ้นมานั่งบนรถตู้เพื่อที่จะไปหาเรนที่โรงพยาบาล
“นิดหน่อยน่ะ”
“ยังเครียดเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนอยู่อีกรึไง บอกแล้วไงว่าไม่ต้องคิดอะไรมาก”
“ฉันไม่เป็นไรแล้วล่ะดีว่า ขอบใจที่เป็นห่วงนะ”
“ยัยโง่! ฉันพูดตอนไหนกันย่ะว่าเป็นห่วง กลัวแค่ว่าไอ้เรนมาเห็นเธอเข้าจะเข้าใจผิดหาว่าฉันทำโทษเธอด้วยวิธีปิดมนุษย์ต่างหาก” ถ้านั่นเขาสนใจล่ะก็นะ เขาคงจะใส่ใจอยู่หรอกขนาดเมื่อวานยังลืมฉันเอาไว้กลางแฟนคลับนับพัน ถ้าวาคุกับโซกิไปออกมาพูดคุยทำให้คลาดสายตาจากแฟนคลับพวกนั้นล่ะก็
บางทีอาจจะเป็นสองคนที่ต้องนอนโรงพยาบาลเมื่อคืนก็เป็นได้
“เฮ้! จะลงมาไหม เราถึงแล้วนะ”ฉันสะดุ้งสุดตัวเมื่อดีว่าตะโกนถามอีกครั้งก่อนจะพยักหน้าตอบรับและเดินลงตามหลังเธอไปติดๆ
“เพราะแกคนเดียวโซกิ แกจะพูดชื่อฮานะขึ้นมาทำไมวะ”
“ก็คนมันเผลอนี่หว่า”
บทสนทนาเล็กๆ ของทั้งโซกิและวาคุยิ่งทำให้ฉันมั่นใจเกินร้อยแล้วว่าต้องมีอะไรบางอย่างไม่ชอบมาพากลเกี่ยวกับเจ้าของชื่อนั้นแน่ๆ
ฮานะ…มันคือชื่อผู้หญิงสินะ!
หลังจากสอบถามเกี่ยวกับประวัติคนไข้และหมายเลขห้องวาคุกับโซกิก็แยกตัวออกไปจัดการกับค่ารักษาในขณะที่ดีว่าถูกเหล่าพยาบาลขอถ่ายรูปฉันจึงเลี่ยงตัวออกมาก่อนจะบอกทุกคนว่าจะขอล่วงหน้าไปรอที่ห้องก่อน
ความรู้สึกมากมายรบกวนจิตใจจนฉันเกือบจะเดินเลยห้องคนป่วยไปซะแล้ว โชคยังดีที่สติกลับคืนมาได้ทัน มือที่กำลูกบิดเอาไว้แน่นเตรียมจะเปิดมันออกไปอยู่แล้วเชียวถ้าไม่ติดที่ว่าสายตาสอดรู้ของฉันดันเหลือบไปเห็นป้ายชื่อผู้ป่วยเข้าให้ซะก่อน…
ฮานะ!
ไม่ต้องคิดอะไรให้มากนักฉันรวบรวมความกล้าที่พอเหลือเปิดประตูออกทันทีก่อนจะพบกับภาพที่ทำให้หัวใจแทบหยุดเต้นไปชั่วขณะเมื่อพบว่าเรนกำลัง…จูบเบาๆ ที่หน้าปากของผู้หญิงที่กำลังนอนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียง
สีหน้าอ่อนโยนของเขาทำหัวใจฉันเป็นแผล
“หวาน…ทำไมไม่เคาะประตูก่อนเข้ามา” นี่เป็นคำถามที่ฉันสมควรจะถามฉันอย่างงั้นเหรอ ฉันเองก็อยากจะสวนกลับไปเหมือนกันว่าถ้าเคาะก่อนเข้ามาจะได้มาเห็นอะไรแบบนี้รึไง
ติดอยู่แค่อย่างเดียวนั่นคือฉันหลัว
ไม่ได้กลัวคำถามที่จะถามออกไป หากแต่กลัวคำตอบที่จะได้รับมามากกว่า
“แล้วนี่คนอื่นๆ ไปไหนหมด”
“คือพวกเขา…โซกิกับวาคุไปคุยรายละเอียดเกี่ยวกับค่ารักษา ส่วนดีว่าเดี๋ยวก็คงตามมา ว่าแต่นาย…ตาของนายคล้ำมากเลยนะเรน เฝ้าเธอจนไม่ได้นอนเลยรึไง”
“นิดหน่อยน่ะ เธอเองก็ดูหน้าซีดๆ ไป คิดถึงฉันจนนอนไม่หลับสิท่า มานี่สิยัยโง่” ถึงจะรู้สึกค้างคาบ้างแต่ฉันก็ยอมเดินไปหาเรนแต่โดยดี มือหนาดันร่างฉันให้นั่งที่เก้าอี้ข้างๆ กันก่อนจะเลื่อนมาประคองใบหน้าของฉันให้เงยขึ้นสบตากับเขา
“ขอโทษนะ”
“ขอโทษ…ขอโทษเรื่องอะไรเหรอ”
“ขอโทษที่ฉันขอ…ขอที่ว่างเล็กๆ ที่เคยให้เธอแบ่งให้ผู้หญิงที่น่าสงสารคนนี้สักหน่อย เธอน่ารัก นิสัยดี ต้องเป็นเพื่อนกับเธอได้แน่ๆ” น้ำตาฉันแทบจะไหลเมื่อจู่ๆ ต้องมาฟังแฟนของตัวเองชมผู้หญิงต่อหน้าแบบนี้ ก่อนะสำนึกได้ว่าความอดทนที่เหลืออยู่น้อยนิดได้หมดลงไปตั้งแต่ที่เขาเอ่ยขอให้ฉันแบ่งพื้นที่เล็กๆ ให้เธอ
“นายบ้าไปแล้วเหรอเรน! นายทิ้งฉัน โอเคฉันทนได้ นายอยู่เฝ้าเธอตลอดทั้งคืนโอเคฉันพอเข้าใจว่านั่นมันคือหน้าที่ที่นายต้องทำ แต่นี่อะไร…”
“ฟังก่อนสิ”
“เธอน่าสงสาร เธอนิสัยดี นายรู้ได้ยังไง นายเคยรู้จักเธอเหรอ เธอเป็นแค่คนแปลกหน้าที่เราบังเอิญได้เจอเท่านั้นนะเรน”
“เธอไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับฉันหวานใจ!”
จบคำที่เรนตวาดใส่ฉันกลับมาดวงตากลมโตของผู้หญิงที่เป็นสาเหตุทำให้เราทะเลาะครั้งแรกในรอบหนึ่งเดือนก็ค่อยๆ ลืมขึ้นอย่างช้าๆ เรียกให้สายตาที่ดุดันของเรนอ่อนเบาลงอย่างเห็นได้ชัดก่อนที่เขาจะละสายตาจากฉันหันไปมองเธอ
และเป็นจังหวะเดียวกันกับที่ดีว่า วาคุและโซกิเข้ามาในห้องพอดี
“พวกคุณ…เป็นใครอย่างงั้นเหรอค่ะ”
“ฮันนะ!” การเรียกชื่อประสานเสียงของสามคนที่เข้ามาทีหลังทำให้ฉันรู้ได้ทันทีเลยว่าทุกอย่างนับจากวินาทีนี้เป็นต้นไปกำลังจะถึงจุดเปลี่ยนครั้งยิ่งใหญ่ที่สุด
และสิ่งเดียวที่ฉันทนไม่ได้เลยก็คือ…การที่ต้องมานั่งมองคนที่ตัวเองรักมองผู้หญิงด้วยสายตาอ่อนโยน
ฉันทนไม่ได้เลยจริงๆ
