บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 3 บุอยู่ได้ค่ะ

ผกาแก้วหันไปตวาดลูกชายของตนทันทีเมื่อได้ยินสิ่งที่ลูกชายพูดออกมาก็ทำให้หัวใจของเธอแทบจะหลุดออกมาเต้นอยู่ด้านนอกเสียตอนนี้ หากหนูคนนี้เปลี่ยนใจกลับไปเธอจะทำอย่างไร เพราะไม่ว่าจะกี่คนต่อกี่คนที่แม่สื่อแม่ชักพากันมาแนะนำก็ถูกเจ้าลูกชายคนนี้แพลงฤทธิ์ใส่เขาเสียหมด จนคนเขาลื่อไปให้ทั่วและเกรงกลัวลูกชายของเธอไปทั้งหมู่บ้าน เมื่อหันไปปรามลูกชายผกาแก้วก็หันมามองหญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้า

“หนูบุ อย่าไปฟังพี่เขานะลูก พี่เขาก็ปากแบบนี้แต่ใจเขาไม่ได้หมายเหมือนที่พูดหรอกลูก”

“ผมพูดเรื่องจริงครับแม่ หากเขาคิดว่าอยู่ไม่ได้ก็กลับไปเสียตั้งแต่ตอนนี้”

บุรนีย์ค้อนให้ผู้ชายตัวสูงใบหน้าดุที่ยืนอยู่ด้านหลัง เขามองว่าเธอเป็นคนเรื่องมากขนาดนั้นหรือไร คนอื่นเขาอยู่กันได้เธอเองก็อยู่ได้เช่นเดียวกัน ไฟดับแล้วยังไง ก็ดับทั่วหมู่บ้านไม่ใช่หรือ ใช่ว่าที่นี่ที่เดียวเสียเมื่อไหร่ ที่สำคัญเธอมาพร้อมหน้าที่ และเมื่อตกลงแต่งงานกับเขาเป็นภรรยาของเขาแล้วแน่นอนว่าตัวของเธอเองก็ต้องช่วยเขาหยิบจับอยู่แล้ว ที่สำคัญในระหว่างเตรียมตัวเดินทางเธอก็ได้อ่านหนังสือศึกษาเกี่ยวกับการดูแลพืชผักรวมถึงการเก็บเกี่ยวมาบ้างแล้ว แถมบรรยากาศที่นี่ก็ดีมากเสียด้วย มีผลไม้ให้ทานทั้งวัน แบบนี้มีอะไรให้น่ากลัวกัน

“บุทราบแล้วค่ะ บุไม่กลับค่ะ บุอยู่ได้ค่ะ”

รณพัชร์เลิดคิ้วเล็กน้อยหากเขาตาไม่ได้ฝาดล่ะก็ ผู้หญิงตัวเล็กค้อนให้เขาอย่างนั้นหรือ เมื่อได้ยินบุรนีย์ยืนยันว่าจะอยู่เขาจึงสวนกลับไปด้วยความมันเขี้ยว

“อย่าให้เห็นว่าแอบร้องไห้กลับบ้านก็แล้วกัน”

“ตาพัชร์ พูดกับน้องดีๆ สิ ปะ หนูบุ เราเข้าไปทานข้าวกันดีกว่า หนูชอบทานส้มไหม บ้านเราส้มดกมาก เดี๋ยวหนูลองชิมนะลูกนะ ผลไม้อื่นๆ ก็มีเต็มไปหมด อยากทานอะไรหนูบอกแม่เลยนะลูก”

“ค่ะ”

“แล้วเดี๋ยวทานข้าวเสร็จลูกก็พาน้องเข้าไปดูที่สวนของเราด้วยนะ ไปแนะนำให้พนักงานรู้จักน้องด้วย และแนะนำให้ถูกว่าน้องคือว่าที่ภรรยาของเรานะ ห้ามแนะนำแบบแผลงๆ เด็ดขาด ไม่งั้นคอยดูสิว่าแม่จะจัดการเราอย่างไร”

เมื่อพากันเดินเข้ามานั่งทานมื้อเช้าผกาแก้วก็อยากให้หนุ่มสาวได้มีโอกาสทำความรู้จักกัน หากอีกคนอยู่แต่บ้านอีกคนก็เข้าไร่ตั้งแต่เช้าจนเย็นบางวันตะวันลับขอบฟ้าก็ยังไม่กลับไม่ถึงเรือนเห็นทีหากเป็นอย่างนี้แต่งงานกันเป็นแรมปีก็คงจะไม่คุยกัน เมื่อนึกขึ้นได้ผกาแก้วจึงหันไปกำชับกับลูกชายของตนเด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง

“ครับ หากจะไปด้วยก็ไปเปลี่ยนชุดที่มันเป็นกางเกง ถ้าใส่ชุดนี้ก็อยู่ที่บ้าน”

“ค่ะ”

“เออ พากันยกของใช้ของหนูบุไปไว้ใกล้ห้องของตาพัชร์นะ ห้องที่บอกให้เตรียมไว้น่ะ”

“ค่ะ”

“ตายจริง แม่ลืมไปสนิทว่าหนูเพิ่งจะเดินทางมาถึง และระหว่างการเดินทางมาคงจะเหนื่อยน่าดู งั้นเอาอย่างนี้ หนูขึ้นไปพักผ่อนให้หายเหนื่อยก่อนนะลูกนะ หากหายเหนื่อยค่อยไปกับพี่เขา”

“จริงสิ พ่อก็ลืมนึกไป ตอนอยู่บนรถระหว่างเดินทางหนูคงได้พักผ่อนไม่เต็มที่ เอาอย่างที่แม่เขาว่าก็ได้ลูก หายเหนื่อยแล้วค่อยไป พักเอาแรงเสีย่อน ไร่ของเราก็ใช่ว่าจะหนีหายไปไหน”

“ฮึ”

รณพัชร์หัวเราะในลำคอเบาๆ หนึ่งที เพราะดูท่าทางของหญิงสาวตรงหน้าก็พอจะเดาได้ไม่ยากว่าเธอคงไปต่อสู้กับแดดกับลมด้านนอกได้เสียที่ไหนกัน รูปร่างบอบบางเอาปานนี้ แถมบิดามารดาของตนก็ยังให้ท้ายว่าที่สะใภ้คนนี้เสียเหลือเกิน

“บุไปได้ค่ะ คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องห่วงนะคะ บุเดินทางมาที่นี่ไม่เหนื่อยค่ะ”

บุรนีย์ตอบว่าที่พ่อตาและแม่ยายออกไปพร้อมส่งยิ้มเพื่อเป็นการยืนยันว่าเธอสามารถเข้าสวนไปกับรณพัชร์ได้ ถึงแม้ร่างกายก็รู้สึกเหนื่อยและเพลียอยู่บ้างก็ตาม แต่เมื่อเห็นสายตาของผู้ชายที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามก็ทำให้เธออยู่เฉยไม่ได้ ก็ดีเหมือนกัน ไปใช้ร่างกายให้เต็มที่ตอนค่ำจะได้นอนหลับสนิท เนื่องด้วยพอแปลกที่ก็ทำให้เธอนอนหลับยากพอสมควร เมื่อทานข้าวเสร็จเรียบร้อยบุรนีย์ก็ขอตัวขึ้นมาที่ห้องพักเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า ซึ่งชุดที่เธอเลือกใส่ไปก็คือกางเกงเอวสูงสีชมพูกะปิความยาวจึงบริเวณหน้าแข้งคู่กับเสื้อเชิ้ตแขนยาวแบบผูกเอวและพับแขนมาถึงข้อศอกจากนั้นเธอก็รวบผมยาวๆ เป็นหางม้าและหยิบผ้าผูกผมลายดอกดอกไม้เล็กๆ มาผูกลงไป เมื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อยเธอก็หยิบรองเท้าหุ้มส้นสีดำและรีบลงด้านล่าง ซึ่งบ้านหลังนี้เป็นบ้านสไตล์ไทยประยุกต์ พื้นที่ใช้สอยก็เยอะมากพอสมควร

“เสร็จสักที ฉันคิดว่าต้องเปลี่ยนไปวันพรุ่งนี้ซะอีก”

รณพัชร์เอ่ยขึ้นหลังเห็นร่างเล็กๆ ที่วิ่งลงมาจากชั้นบนของบ้าน แล้วเสื้อที่มัดผมด้านหน้าก็ทำให้เห็นบริเวณหน้าท้องและช่วงเอวเมื่อเห็นดังนั้นก็ทำให้คิ้วหน้าชนกัน ถึงแม้ว่าเขาเองจะทำเป็นไม่สนใจผู้หญิงคนนี้แต่ก็อดไม่ได้อยู่ดี ร่างสูงของเขาเลยตัดสินใจเดินนำออกมาด้านนอกบ้าน

“งั้นบุขอตัวก่อนนะคะ สวัสดีค่ะ”

“พระคุ้มครองนะลูก”

“หากพี่เขารังแกก็บอกแม่นะลูก แม่จะว่าพี่เขาให้เอง”

“ค่ะ”

วิโรจน์และผกาแก้วพากันมองตามลูกสะใภ้ที่เดินตามลูกชายของตนออกไปด้วยความหนักใจ เพราะคนทั้งคู่กลัวว่าลูกสะใภ้จะทนเข้าไม่ได้ในสักวัน ก็ได้แต่แอบภาวนาอยู่ในใจว่าขอให้เป็นบุรนีย์ที่สามารถกำหัวใจของรณพัชร์เอาไว้ได้

“เอ่ออ พ่อเลี้ยงเอารถเครื่องไปหรือคะ”

บุรนีย์เดินตามร่างสูงใหญ่ของรณพัชร์ออกมาที่บริเวณโรงจอดรถก่อนจะเอ่ยถามออกไปหลังเห็นว่ารณพัชร์ถอยรถจักรยานยนต์ออกมา ซึ่งบุรนีย์เองก็อยากจะเรียนขับทั้งรถเครื่องและรถยนต์ แต่ทว่าคุณพ่อและคุณแม่ไม่ยอมให้เรียน หากขอให้ว่าที่เจ้าบ่าวคนนี้สอนให้เขาจะคงจะไม่ยอมสอนเป็นแน่ บุรนีย์ก็กำลังมองและหาวิธีขึ้นนั่ง เพราะอย่าว่าแต่ขับเลย ขนาดนั่งเธอก็ยังไม่เคยนั่งรถจักรยานยนต์แบบนี้มาก่อน เพราะตั้งแต่เล็กจนโตที่บ้านก็ใช้รถยนต์เป็นการไปรับและไปส่งตอนที่เธอศึกษาเล่าเรียน เมื่อมาที่นี่เธอเองคงได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เยอะพอสมควร ซึ่งบุรนีย์เองก็ชื่นชอบที่จะเรียนรู้และทำสิ่งใหม่อยู่ตลอดเวลาเช่นเดียวกัน

“ใช่ ทำไม นั่งไม่ได้หรือ”

รณพัชร์ที่ขึ้นคร่อมรถจักรยานยนต์คู่ใจก็หันมาถามบุรนีย์ด้วยความงุนงง แล้วหากเจ้าหล่อนไม่สามารถนั่งรถเครื่องไปกับเขาได้รณพัชร์ก็จะไม่ให้เธอติดตามไปด้วย เพราะเขาเองคงจะไม่ตามใจเจ้าหล่อนโดยการที่เอารถใหญ่เข้าไร่เป็นแน่

“เปล่าค่ะ บุนั่งได้ค่ะ เพียงแต่ว่าบุไม่เคยนั่งมาก่อนเลยบุเลยขึ้นไม่เป็นค่ะ”

บุรนีย์ตอบกลับไปโดยที่ไม่กล้าสบตารณพัชร์ เพราะเธอเองก็อายในคำตอบเช่นเดียวกันกลัวเขาจะหาว่าตนเรื่องมาก เพียงแต่เธอก็ไม่ขึ้นนั่งมาก่อนก็จำเป็นต้องเอ่ยบอกเขาออกไป

“เฮ้อ หล่อนถอยออกไป เดี๋ยวฉันจะทำให้ดู”

“ค่ะ”

รณพัชร์ลอบถอนหายใจออกมาหลังได้ยินบุรนีย์ตอบเขากลับมา คิดเอาไว้ไม่มีผิดจริงๆ รณพัชร์จึงจำเป็นที่ต้องบอกวิธีการขึ้นรถให้หญิงสาวอย่างเสียไม่ได้ เมื่อบุรนีย์เข้าใจรณพัชร์ก็สตาร์ทรถจักรยานยนต์พร้อมทั้งถอดเสื้อคลุมที่ตนใส่อยู่ส่งให้หญิงสาวที่อยู่ด้านหลัง

“ใส่คลุมเอาไว้”

“ขอบคุณค่ะ”

บุรนีย์รับเสื้อแจ็คเก็ตยีนส์มาแบบงุนงงและเมื่อเห็นว่ารณพัชร์หันมาจ้องเธอนิ่งๆ เสมือนบังคับเธอแบบกรายๆ บุรนีย์จึงตัดสินใจใส่เสื้อคลุมตัวใหญ่ของเขาก่อนจะสะดุ้งขึ้นมาเล็กน้อยหลังมือหยาบกร้านจับมือทั้งสองข้างของเธอไปวางไว้ที่บริเวณเอวของเขา

“จับไว้ แล้วนั่งให้ดี ไม่เช่นนั้นหล่อนคงได้ล้มกลิ้งลงไปตามไหล่ทาง”

“ค่ะ”

เมื่อเห็นว่าบุรนีย์ที่นั่งซ้อนอยู่ด้านหลังไม่ได้มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้วรณพัชร์จึงขับรถออกจากบ้านตรงเข้าไร่ด้วยความเร็วที่ลดลงมาจากปกติที่เขาขับคนเดียว เนื่องด้วยที่วันนี้มีหญิงสาวว่าที่คู่หมั้นนั่งซ้อนมาด้วย หากขับด้วยความเร็วที่ขับประจำเกรงว่าเจ้าหล่อนคงได้เกร็งไปทั่วทั้งตัว

“สดชื่นจังเลย”

บุรนีย์ที่นั่งซ้อนอยู่ด้านหลังสอดส่ายสายตาไปตามระยะทาง ทั้งสองข้างมีพืชผักและผลไม้ปลูกอย่างเป็นระเบียบ หมอกจางๆ ที่สัมผัสเข้าที่ใบหน้าและปกคลุมไปทั่วทั้งไร่ มีคนกระจายอยู่ทั่วทั้งบริเวณโดยที่มือของทุกคนกำลังตัดผักและผลไม้ใส่เข่งไม้ไผ่สาน ยิ่งแสงของพระอาทิตย์เริ่มเจิดจ้าขึ้นเรื่อยๆ และเมื่อแสงสีทองกระทบกับหมอกและใบไม้เลยทำให้ทิวทัศน์มันช่างสวยงามและชวนหลงไหลเหลือเกิน สวยยิ่งกว่าที่เธอจินตนาการเอาไว้เสียอีก สวยคล้ายรูปวาดเลย

“หื้ออ นั่นใครนั่งซ้อนรถมากับพ่อเลี้ยงน่ะ”

“ไม่ใช่ว่าแม่เลี้ยงหรอกหรือ ว่าที่คู่หมั้นของพ่อเลี้ยงอย่างไรเล่า เพราะดูไปแล้วก็ไม่คล้ายคนบ้านเรา ผิวขาวราวกับไข่ปอก ใบหน้าก็สวยงามเหมือนตุ๊กตา ฉันละอิจฉาเสียจริง”

“งามขนาดนี้จะมาอยู่ที่นี่ได้หรือ”

“ก็นั่นน่ะสิ แต่พ่อเลี้ยงก็ไม่ได้ชอบพอใครในหมู่บ้านเราเลยสักคน เห็นเขาว่าคุณคนนี้เป็นลูกสาวเกลอเก่าของพ่อใหญ่”

“ว่าแล้ว สวยงามถึงเพียงนั้นคงไม่ใช่คนไร้สกุลเหมือนพวกเราๆ”

คนงานภายในไร่พากันมองผู้หญิงคนหนึ่งที่พ่อเลี้ยงพัชร์พาซ้อนรถมาด้วย แล้วว่าที่คุณนายช่างสวยแบบไร้ที่ติเสียจริง แบบนี้พ่อเลี้ยงจะใจอ่อนก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แถมยังเป็นลูกผู้ลากมากดีไม่คล้ายชาวสวนชาวไร่ที่ทำงานหนักผิวหน้าเริ่มมีฝ้าขึ้นสีผิวสีน้ำผึ้งทว่าหยาบกร้านไม่เรียบเนียนเพราะขาดการบำรุงรักษา พวกเธอจึงพูดคุยถึงเรื่องของแม่เลี้ยงคนใหม่โดยที่มือก็ทำงานของตนไปด้วย

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel