กำหัวใจของพ่อเลี้ยง

37.0K · ยังไม่จบ
พิมพลอย / Phimploy 9482
13
บท
186
ยอดวิว
8.0
การให้คะแนน

บทย่อ

{อารัมภบท} “ฮึ บุรนีย์ หากหล่อนคิดจะออกไปจากไร่แห่งนี้ก็เอาเงินจำนวนเท่ากับสินสอดที่ฉันไปขอหล่อนมา หล่อนมีไหมล่ะ ถ้าไม่มีก็อย่าคิดในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้!” {เรื่องย่อ} เมื่อ บุรนีย์ หญิงสาวเจ้าของใบหน้าที่สวยหวาน จิตใจงดงาม เก่งงานบ้านงานเรือน สดใส แต่ก็แอบดื้อ ภายนอกดูอ่อนไหวแต่ภายในกลับเข้มแข็ง อายุเพียง 18 ปี ได้ตกลงแต่งงานกับ รณพัชร์ พ่อเลี้ยงแห่งจังหวัดจันทรบุรี ชายหนุ่มในวัย 28 ปี ผู้ที่มีใบหน้าหล่อคมเข้ม ซึ่งมีนิสัยที่ชอบทำงาน โหด ดิบ เถื่อน สวนทางกับเจ้าสาวป้ายแดงของเขาแบบสุดๆ สาวน้อยอย่างบุรนีย์จะใช้วิธีใดมาปราบพ่อเลี้ยงสุดโหดแบบรณพัชร์จนเขาต้องยอมสยบหัวใจให้เธอติดตามได้ใน “กำหัวใจของพ่อเลี้ยง” บทประพันธ์โดย : บารณีย์ จัดเรียง/เผยแพร่ : บารณีย์ ออกแบบปกโดย : บารณีย์

นิยายรักโรแมนติกนิยายย้อนยุคผู้ชายอบอุ่นพ่อเลี้ยงนางเอกเก่งแต่งงานสายฟ้าแลบรักแรกพบยุค70ตลก18+

ตอนที่ 1 คำสัญญา

พุธศักราช 2499

ณ.บ้านก้องประกาศในพระนคร

“หนูไม่แต่งหรอกนะคะ ใครก็ไม่รู้ อีกอย่างทำสวนทำไร่อยู่ในซอกหลืบ ความเจริญก็คงจะยังเข้าไม่ถึง ดูท่าคงจะลำบากกว่าบ้านเราเป็นไหนๆ หนูไม่แต่งหรอกค่ะ”

เสียงของบัวชมพู หญิงสาวที่มีรูปผอมเพรียวผิวสีน้ำผึ้งมีใบหน้าสวยคมพูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจ เพราะสเปกของเธอไม่ใช่ผู้ชายไทยเลยสักนิด เธอชอบต่างชาติ แล้วแต่งไปก็ต้องไปทำสวนทำไร่จะให้เธอตอบปากรับคำไปได้อย่างไร

“มันไม่ใช่แบบที่เราคิดหรอกลูก บ้านเมืองเขาก็คล้ายที่นี่แหละ”

“คุณพ่อ คุณแม่ พี่บัว ปรึกษาหารือเรื่องใดกันอยู่หรือคะ ลูกนั่งด้วยได้ไหมคะ”

“ได้ลูก มา ลูกมานั่งข้างแม่”

“ค่ะ คุณแม่”

หญิงสาวในชุดเดรสสีชมพูอ่อนลายดอกไม้ ดวงตาสองชั้นกลมโตสีน้ำตาลเข้ม ผิวขาวอมชมพู แก้มทั้งสองข้างมีเลือดฝาด ผมยาวถึงกลางหลังดัดลอนใหญ่ดำขลับ มีลักยิ้มที่มุมปากทั้งสองข้าง ใบหน้าสวยหยดย้อย ปากกระจับสีชมพูระเรื่อ เป็นลูกสาวคนสุดท้องของครอบนี้ เธอมีชื่อว่า นางสาวบุรนีย์ ก้องประกาศ หรือ บุ ตอนนี้เธออายุ 18 ย่าง 19 ปี ส่วนสูง 165 เซนติเมตร น้ำหนัก 48 กิโลกรัมบุรนีย์เป็นสาวมีน้ำมีนวลไม่ผอมแห้ง ซึ่งเธอเป็นผู้หญิงที่มีใบหน้าหวานและยิ้มสวย เพราะเธอเหมือนผู้เป็นมารดา ทั้งใบหน้าและผิวพรรณที่ผุดผ่อง ส่วนพี่สาวคนโตเหมือนบิดา และทุกคนในครอบครัวก็ต่างรักและเป็นหวงเธอมากไม่เว้นแม้แต่พี่สาว ซึ่งพี่สาวและเธออายุห่างกันเพียง 1 ปี บุรนีย์เดินมานั่งที่โซฟาข้างๆ มารดาพร้อมเอ่ยถามออกไปเนื่องจากเห็นหน้าพี่สาวที่คล้ายว่าจะไม่สบอารมณ์อะไรบางอย่าง

“พี่บัวมีเรื่องที่ไม่สบายใจหรือคะ ทำไมดูเครียดจัง”

“ก็คุณพ่อกับคุณแม่จะให้เราแต่งงานกับพ่อเลี้ยงที่ไหนก็ไม่รู้ ตัวดูเอาเองเถอะ แบบนี้จะไม่ให้เราคิดมากได้ยังไง”

“เฮ้อ ก็พ่อกับแม่รับปากทางนั้นเอาไว้แล้ว มันไม่ใช่เด็กเล่นขายของเสียเมื่อไหร่ล่ะลูก สัญญากันแล้วเราก็ต้องทำตามสัญญาเช่นกัน แล้วเรากับทางนั้นก็มีมิตรไมตรีที่ดีต่อกัน ไอ้ครั้นจะหักหารน้ำใจต่อกันมันก็ไม่สมควร อีกอย่างเราก็ยังไม่มีคนศึกษาดูใจไม่ใช่หรือ แล้วพ่อเลี้ยงรณพัชร์เขาก็เป็นคนที่ใช้ได้”

วรพลพูดกับลูกสาวด้วยใบหน้าจริงจัง เพราะเขาเองก็เป็นเกลอเก่ากับพ่อของวรกร แล้วเด็กคนนี้ก็ถือว่าเป็นคนที่ใช้ได้ ถึงแม้จะดูเหมือนเป็นการบังคับลูกสาวคนโตไปกรายๆ แต่เมื่อเป็นการรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับเพื่อนที่ร่วมเป็นร่วมตายกันมาเขาเองก็ต้องทำ

“อืม นั่นสิลูก แม่เห็นด้วยกับพ่อเขานะ”

คุณหญิงบัวงามพูดสมทบผู้เป็นสามี เพราะเธอก็เห็นว่าทางนั้นก็มีมาไม่น้อย แต่ใช่ว่าทางครอบครัวของเธอจะไปเพื่อกอบโกยเสียเมื่อไหร่ เมื่อลูกสาวแต่งเข้าไปก็ต้องทำหน้าที่ภรรยาให้ทางนั้นอย่างดีที่สุด เพียงแค่เบาใจว่าอย่างน้อยลูกสาวของตนจะไม่ได้ลำบาก แต่เมื่อมีเรื่องที่เบาใจก็ต้องมีเรื่องที่แอบหนักใจเช่นเดียวกัน ด้วยที่ว่าลูกสาวคนโตของเธอทำงานบ้านงานเรือนไม่ได้เลย ยิ่งงานเย็บปักร้อยยิ่งไปกันใหญ่ ซึ่งเธอเองพยายามสอนก็แล้วไม่เป็นผล เห็นที่จะมีแต่ลูกสาวคนเล็กที่ได้ครบหมดทุกอย่างที่เธอถ่ายทอดให้ เพราะสกุลเก่าดั้งเดิมของครอบครัวของเธอก็เป็นถึงหม่อมเจ้า ความรู้เรื่องงานบ้านงานเรือนรวมถึงงานเครื่องหอมจึงได้ตกทอดมาตั้งแต่รุ่นสู่รุ่น เธอเองก็ตั้งใจถ่ายทอดให้ลูกสาวทั้งสองคนจนหมดสิ้น แต่เห็นทีคนที่ได้ทุกอย่างไปก็น่าจะเป็นบุรนีย์เพียงคนเดียว

“หนูไม่ยอมแต่งแน่ๆ ค่ะ หนูว่าจะไปเรียนต่อที่ต่่างประเทศ หากแต่งงานหนูก็ต้องถึงความฝันของหนูไป คุณพ่อกับคุณแม่อยากเห็นลูกคนนี้ตรอมใจตายต่อหน้าต่อตาหรือคะ”

บัวชมพูเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ เพราะเธอก็เครียดและกดดันเช่นเดียวกัน และนิสัยของเธอคือไม่ชอบให้ใครมาบังคับ เธออยากมีสิทธิ์ที่สามารถตัดสินใจทางเลือกของตัวเธอเอง หากคุณพ่อกับคุณแม่บังคับให้เธอแต่งงานเห็นทีเธอคงต้องตรอมใจจริงๆ

“คุณคะ แล้วเราจะทำยังไงดีล่ะคะ”

วรพลหันมามองภรรยาสุดรักที่เป็นคู่ชีวิตด้วยใบหน้าเคร่งเครียดพร้อมถอนหายใจออกมาเบาๆ เพราะเขาก็รู้จักนิสัยของลูกทั้งสองคนดี คนพี่เป็นสาวที่มั่นใจในตนเอง ภายนอกเป็นคนแข็ง ชอบเข้าสังคมและออกไปสังสรรค์ ส่วนคนน้องเป็นสาวน้อยที่สดใสอยู่ตลอดเวลา คนนอกดูเป็นคนอ่อนโยนแต่เมื่อต้องเข้มแข็งก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้ เห็นทีลูกสาวคนโตก็ไม่คงจะไม่เหมาะกับพ่อเลี้ยงรณพัชร์เช่นเดียวกัน เพราะทางนั้นก็เป็นคนแข็งแรง หนักไปทางบู้และสู้กับงาน ไม่เกรงกลัวความตายเลยแม้แต่น้อย หากกลับบ้านมาเจอภรรยาที่เอาใจไม่เป็นก็ดูคงจะไม่เข้าที ผู้ชายแบบนี้หากได้ภรรยาที่อ่อนหวาน แต่ก็มีมุมที่ไร้เดียงสา ชอบที่จะเรียนรู้ ชอบเข้าครัวทำงานบ้านและชอบอยู่กับบ้านแต่ก็แอบหัวดื้อบ้างในบางที เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วเห็นทีบุรนีย์น่าจะสมกับรณพัชร์มากกว่าบัวชมพู วรพลเลยหันไปที่ลูกสาวคนเล็กที่นั่งอยู่เงียบๆ ถึงแม้ว่าจะทำใจลำบากหากลูกต้องไปอยู่ไกลหูไกลตาแต่เขาเองก็ต้องตัดใจเมื่อเรื่องราวมาถึงตรงนี้แล้ว วรพลเลยตัดสินใจพูดกับลูกสาวคนเล็กโดนที่ไม่ได้เอ่ยออกไปแบบเต็มเสียงนัก

“เอออ ยัยบุ งั้นลูกแต่งงานกับพ่อเลี้ยงรณพัชร์แทนพี่บัวเขาได้ไหมลูก พ่อมาชั่งใจดูแล้ว ลูกเหมาะสมกับพ่อเลี้ยงรณพัชร์มากกว่าพี่บัวเขา”

“คุณคะ!”

“คุณพ่อ! คุณพ่อยังไม่ตัดใจอีกหรือคะ เราส่งจดหมายไปบอกทางนั้นเถอะค่ะว่าทางเราขอยกเลิกสัญญา เรากับทางนั้นก็ใช่ว่าจะติดต่อกันเป็นประจำเสียเมื่อไหร่ เพิ่งจะมาติดต่อก็ตอนที่ทวงสัญญาเรื่องแต่งงานไม่ใช่หรือคะ บุ ตัวไม่ต้องตอบรับนะ ตัวเชื่อเรา”

บัวชมพูและคุณหญิงบัวงามพากันตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น เพราะเธอไม่คิดว่าวรพลจะหันไปพูดเรื่องนี้กับบุรนีย์

“ยัยบัว ลูกเงียบไปก่อน ตอนนี้พ่อกำลังจะคุยกับน้อง และแน่นอนว่าถ้าน้องไม่ตกลงต่อให้ตรอมใจพ่อก็ให้ลูกแต่ง! แล้วลูกอย่าพูดจาไม่น่าเช่นนี้ออกมาอีก พ่อฟังแล้วไม่รื่นหู”

“คุณพ่อ”

“ว่ายังไงลูก ยัยบุ ถือว่าช่วยพ่อสักครั้งนะลูก พ่อเชื่อว่าหนูจะทำหน้าที่ภรรยาได้เป็นอย่างดี หากรณพัชร์ได้ลูกเป็นภรรยาตามสมควรพ่อก็จะเบาใจ รณพัชร์ได้ภรรยาที่ดีแบบลูก ส่วนลูกเองก็จะได้มีคนคอยปกป้องและดูแล เป็นหลังบ้านที่เข้มแข็ง เชื่อสายตาของพ่อนะลูก”

บุรณีย์ใช้ความคิดอย่างหนักหลังจากได้ยินคุณพ่อเอ่ยถามขึ้นมา เพราะเธอเองอายุก็ยังน้อย หากแต่งงานไปตอนนี้จะเป็นเช่นไร แถมคนที่เป็นว่าที่เจ้าบ่าวเธอเองก็ไม่เคยเห็นและรู้จัก แต่ถ้าหากไม่ตอบตกลงพี่สาวเธอก็ต้องละทิ้งความฝัน บิดามารดาก็ต้องผิดคำสัญญาที่เคยให้ไว้ หากเธอตอบตกลงก็สามารถช่วยทั้งพี่สาวและบิดามารดาได้ บุรนีย์จึงตัดสินใจอย่างแน่วแน่พร้อมเงยหน้ามองผู้เป็นบิดาก่อนจะตอบตกลงในที่สุด

“ค่ะ บุตกลงค่ะคุณพ่อ บุจะแต่งงานกับพ่อเลี้ยงรณพัชร์แทนพี่บัวค่ะ”

“ดีๆ ขอบใจนะลูกนะ ประเดี๋ยวพ่อจะไปเขียนจดหมายและจะให้คนรถเอาไปส่งที่ทำการไปรษณีย์บอกกับทางนั้นว่าเราตอบตกลงและทำตามสัญญาที่เคยให้กันไว้”

วรพลที่กำลังนั่งคาดหวังอยู่กับคำตอบของลูกสาวด้วยใบหน้าเคร่งเครียดแต่เมื่อได้ยินคำตอบที่ได้ก็ทำให้เขายิ้มออก เพราะเขาเลือกภรรยาให้กับทางนั้นดั่งที่เคยบอกเอาไว้อย่างดี เมื่อกล่าวจบวรพลเลยลุกขึ้นและยกมือลูบศีรษะของลูกสาวคนเล็กจากนั้นก็เดินขึ้นไปที่ห้องหนังสือเพื่อเขียนจดหมายตอบกลับไปให้ทางนั้น

“ยัยบุ เราแน่ใจแล้วเหรอลูก”

“นั่นน่ะสิ เราว่าตัวตัดสินใจอีกทีดีกว่านะ ถ้าตัวไม่อยากแต่งก็ไม่จำเป็นต้องฝืนใจตัวเอง เราจะช่วยตัวหาทางออกเอง”

บุรนีย์มองพี่สาวและมารดาของตนก่อนจะส่งยิ้มหวานให้ เพราะเธอเองก็คิดว่าอย่างไรเสียการแต่งงานก็ต้องเกิดขึ้นกับตัวเธอ ไม่ว่าจะตอนนี้หรือภายภาคหน้ามันก็คงจะเป็นเช่นนี้ แล้วแต่งงานครั้งนี้ก็ช่วยทั้งพี่สาวและที่บ้านได้ เธอจึงเต็มใจที่จะตอบตกลง

“เราเต็มใจจริงๆ ตัวไม่ต้องคิดมากหรอกนะ สำหรับเราแล้ว จะแต่งวันไหนหรือเมื่อไหร่มันก็คล้ายกันอยู่ดี”

“แต่ตัวต้องไปอยู่ไกลเชียวนะ”

“ไม่ไกลหรอกลูก แค่จันทรบุรีเอง”

“แต่การเดินทางล่ะคะคุณแม่ แล้วที่นั่นใช่ว่าจะเหมือนที่พระนครนะคะ”

บัวงามและบัวชมพูต่่างก็พากันเป็นห่วงบุรนีย์เช่นเดียวกัน เพราะถึงแม้ว่าจะเดินทางไปมาหาสู่กันได้แต่ก็ต้องใช้เวลาในการเดินทางเช่นเดียวกัน คิดไปแล้วภายในใจมันก็อดห่วงไม่ได้

“เดี๋ยวเราจะเขียนจดหมายมาที่บ้านบ่อยๆ นะ เดี๋ยวเราจะไปดูท่าทีก่อน หากไม่ลำบากมากเท่าที่คิดเราจะเขียนมาบอกนะ”

“บุ ตัวยังตอบแบบยิ้มๆ อีกนะ”

บุรนีย์จับมือพี่สาวและคุณแม่พร้อมใช้นิ้วลูบไปมาที่หลังมือเบาๆ ก่อนจะเอ่ยออกไปด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่มั่นใจในคำตอบของตนเอง

“เราไม่เป็นอะไรจริงๆ ตัวไม่ต้องคิดมากหรอกนะ ตัวไปเรียนที่ต่างประเทศแบบที่ตัวตั้งใจเอาไว้เถอะนะ ไม่ต้องเป็นห่วงเรา ถึงแม้เราจะไม่ได้อยู่ใกล้กันแต่เราจะขยันเขียนจดหมายและส่งกลับมา”

“ตัวต้องสัญญานะ อย่างน้อยหนึ่งเดือนก็หนึ่งฉบับ เราจะได้รู้ว่าตัวสบายดี หากตัวไม่เขียนมาเราก็จะไปรับตัวกลับมา”

“เอาๆ เราพอแล้วยัยบัว บุ ลูกก็ไม่ต้องฟังพี่เขามากหรอกนะ หากไม่ว่างก็ไม่เป็นไร แต่ถ้ามีเร่งด่วนก็เขียนส่งมานะลูกนะ”

“ค่ะคุณแม่”

“คุณแม่คะ แล้วทางนั้นเขาอายุเท่าไหร่หรือคะ”

คุณหญิงบัวงามครุ่นคิดอยู่สักพักก็ตอบลูกสาวคนโตออกไป แต่เมื่อได้ยินสิ่งที่บัวชมพูพูดออกมาก็ทำให้เธออดที่ใช้มือตีลงที่ต้นแขนของลูกสาวคนโตไม่ได้

“ถ้าแม่จำไม่ผิดรณพัชร์เขาอายุ 28 ปี แล้วล่ะ”

“แก่จัง”

เพี๊ยะ

“โอ๊ะ หนูเจ็บนะคะ แต่หนูพูดจริงนี่คะคุณแม่ เขาคนนี้ห่างกับยัยบุเป็นสิบปีเลยนะคะ คุณแม่กับคุณพ่อไม่ตัดสินใจอีกครั้งหรือคะ”

“ห่างแบบนี้สิดี พี่เขามีความคิดที่เป็นผู้ใหญ่แถมยังมั่นคงเขาจะได้ดูแลปกป้องยัยบุได้ งั้นประเดี๋ยวพรุ่งนี้เราไปตัดชุดกันนะยัยบุ เตรียมชุดเอาไว้เยอะหน่อย”

“ทำไมถึงคุณแม่จึงดูเร่งรีบจังเลยคะ ไหนว่างานแต่งจะมีขึ้นในอีกสองเดือนข้างหน้าไม่ใช่หรือคะ”

บุรนีย์พยักหน้าเห็นด้วยกับคำถามของพี่สาว เพราะเธอก็ยังพอที่จะมีเวลาเตรียมตัว แต่เมื่อได้ยินคุณแม่ตอบกลับมาก็ทำให้บุรณีย์และบัวชมพูตกใจไปตามๆ กัน

“เห็นว่าทางนั้นเขาจะให้ทางเราเดินทางลงไปก่อนสักเดือน ไปวัดชุดเจ้าสาว เพราะทางผู้ใหญ่ตกลงกันว่าจะให้จัดงานแต่งที่นั่น ทางนั้นเขาก็มีหน้ามีตาไม่น้อย เห็นเขาเขียนจดหมายมาบอกคุณพ่อว่ากำลังตัดต้นไม้เพื่อเตรียมพื้นที่เอาไว้สำหรับให้จัดโต๊ะและเก้าอี้ตอนกินเลี้ยงสำหรับแขกเหรื่อที่มาร่วมงาน”

“ห๊ะ! ทำไมถึงรวดเร็วถึงเพียงนี้ล่ะคะคุณแม่”

“แม่ก็ไม่แน่ใจ แต่ทางนั้นขอมาแบบนี้ อีกสองอาทิตย์นับจากนี้ยัยบุก็ต้องเดินทางไปแล้ว”

“งานแต่งงานอะไรทำไมถึงรวดเร็วเสียจริง ไม่ใช่ว่าที่เจ้าบ่าวกำลังเสียใจเพราะผิดหวังในความรักแล้วให้ทางเราไปแต่งเพื่อรักษาแผลใจหรือคะคุณแม่”

“จิ๊ ยัยบัว ลูกพูดอะไรออกมาน่ะ พูดไม่เป็นมงคลเอาเสียเลย ประเดี๋ยวน้องจะคิดมากไปด้วย ทางนั้นเขาเห็นว่าอายุของรณพัชร์ถึงเวลาสมควรที่จะเป็นฝั่งเป็นฝาก็คงอยากจะรวบรัด เพราะจดหมายที่เขาส่งมาเล่าให้ฟังก็เห็นว่าพ่อเลี้ยงเขาทำงานอยู่ตลอดเวลา ไอ้เรื่องที่เรากล่าวออกมาคงไม่ใช่หรอกลูก”

เมื่อได้ยินแบบนี้บุรนีย์ก็มีคำถามเกิดขึ้นภายใจเช่นเดียวกัน เพราะในลึกๆ ก็แอบเห็นด้วยกับที่พี่สาวตนได้เอ่ยถามออกมาเช่นเดียวกัน เธอก็ได้แต่หวังว่าอย่าให้มันเป็นนั้นเลย แต่งงานกันโดยที่ยังไม่ได้ศึกษากันเธอก็ยังคิดว่าศึกษากันหลังจากนี้มันก็ยังไม่สาย แต่หากไปเป็นตัวแทนของใครเธอเองก็คงเจ็บไม่น้อย หากเป็นเช่นนี้จริงๆ เธอก็คงต้องใช้ความพยายามและความอดทนเป็นอย่างมากไปตลอดชีวิต เมื่อนึกถึงสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นความรู้สึกและหน้าที่อันแสนหนักอึ้งก็เริ่มมากองอยู่บนบ่าเสียแล้วสิ