บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 2 หากคิดว่าอยู่ไม่ได้ก็กลับไป

จังหวัดจันทรบุรี

ณ.ครอบครัวอัศวทรัพย์

เวลา 05.50 นาที

ปัง ปัง ปัง!

“เอาอีกแล้วสิเนี่ย เฮ้อ พัชร์ พัชร์เอ๊ย!”

ผกาแก้วหญิงสาววัยกลางคนที่มีใบหน้าตาดุแต่ใจดี พอเข้าครัวทำกับข้าวเสร็จเธอก็ให้คนใช้พากันตั้งโต๊ะ แต่เมื่อได้ยินเสียงปืนดังขึ้นก็ทำให้เธอถอนหายใจออกมาอย่างเสียไม่ได้ ก็จะมีใคร บริเวณนี้ก็มีแต่ลููกชายหัวแก้วหัวแหวนของเธอเพียงคนเดียวนั่นแหละที่ลุกขึ้นมาประลองฝีมือตั้งแต่เช้ามืด ตะวันยังขึ้นไม่พ้นขอบฟ้าก็เรียกลูกน้องในสวนมาลองปืนกันแล้ว แล้วความห่ามความดิบในที่แห่งนี้เห็นทีจะไม่มีใครสู้ลูกชายของเธอได้เลย

“ครับแม่!”

ชายหนุ่มเจ้าของรูปร่างกำยำสูง 195 เซนติเมตร น้ำหนัก 70 ตามเนื้อตัวเต็มไปด้วยมัดกล้าม ใบหน้าคมสัน ดวงตาสองชั้นเรียวยาว จมูกโด่งรับกับริมฝีปากหนาได้รูป ตัดผมรองทรงสูง ผิวกายสีน้ำผึ้ง หล่อเข้มตามฉบับหนุ่มไทย นี่ก็คือ นายรณพัชร์ อัศวทรัพย์ หรือพ่อเลี้ยงพัชร์ เขาเป็นลูกคนเดียว ไม่มีพี่น้อง นิสัยใจคอของเขา รณพัชร์เป็นคนที่ทั้งโหด ดุ และจริงจังกับการทำงานมาก เป็นคนที่ปากร้ายแต่ใจดีคล้ายมารดาของตน ชีวิตในหนึ่งวันของรณะัชร์ก็ทำงานดูแลความเรียบร้อยภายในไร่ ซึ่งที่ดินที่เป็นของครอบครัวของเขาครอบครองมีอยู่ 200 ไร่ ส่วนหนึ่งมาจากมรดกของบิดามารดาของเขา บางส่วนก็มาจากคนที่เขาติดต่อจะขายให้ และส่วนที่เหลือก็มาจากที่ดินที่คนนำมาจำนำ เมื่อไม่มีเงินมีไถ่คืนแน่นอนว่าที่ดินผืนนั้นก็เป็นของเขาไปโดยปริยาย ซึ่งที่ดินทั้งหมดนี้เขาทำทั้งสวนผลไม้และสวนผักรวมถึงยังมีสวนดอกไม้อีกด้วย นอกจากนี้ยังเลี้ยงไก่ไข่ ไก่เนื้อ หมู ม้า ควาย และวัวนม รายรับที่ได้จากผลผลิตผลทั้งหมดต่อเดือนก็เรียกว่ามหาศาลเลยทีเดียว และวันนี้ก็เหมือนเช่นทุกวัน ก็คือเขาลุกขึ้นมายิ่งปืนตั้งแต่เช้ามืดพอได้ยินเสียงของมารดาจึงทำให้เขาลดปืนลงพร้อมกับขานรับ

“พอกันได้แล้ว แม่ทำกับข้าวเสร็จแล้ว มากินข้าวได้แล้วลูก”

“ครับแม่ ไอ้ชัย พวกมึงเก็บของให้เรียบร้อย กูกินข้าวเสร็จก็ค่อยเข้าไร่”

“ครับพ่อเลี้ยง”

รณพัชร์ส่งปืนให้ลูกน้องคนสนิทจากนั้นก็หมุนตัวเดินเข้าไปภายในบ้าน พอเดินเข้ามาก็ขายหนุ่มก็กำลังจะนั่งลงเพื่อทานข้าวมื้อเช้าแต่ได้ยินเสียงของมารดาห้ามเอาไว้เสียก่อน

“หยุดก่อน เราอย่าเพิ่งนั่ง มือมันเปื้อนอยู่ไม่ใช่หรือ ไป ลุกไปล้างไม้ล้างมือให้สะอาดเสียก่อน”

“กินเลยก็ได้แม่ มันไม่ได้เปื้อนอะไรเสียหน่อย ผมจับแค่ปืนเอง อีกอย่างเรามีช้อนแล้วนะแม่ มันไม่เป็นไรหรอก”

ผกาแก้วเบิกตากว้างมองลูกชายที่นั่งตรงข้ามตนหลังจากได้ยินไอ้ลูกคนนี้มันตอบกลับมา เห็นทีพูดเฉยๆ จะไม่เป็นผล เธอเลยบอกให้ลูกชายไปล้างมืออีกครั้งด้วยน้ำเสียงจริงจังกว่าในคราแรก

“มันจะไม่เปื้อนได้อย่างไร เราจับแค่ปืนอย่างเดียวเสียเมื่อไหร่ ไป ลุกไปล้างมือให้มันสะอาด ให้เช่นนั้นวันนี้ก็อย่าได้กินข้าว”

ร่างสูงของพ่อเลี้ยงพัชร์จำใจลุกขึ้นและเดินตรงเข้ามาในครัวเพื่อมาล้างมือแบบขอไปที พอล้างมือเสร็จชายหนุ่มก็หยิบผ้าเช็ดมือที่พับอยู่ภายในครัวมาเช็ดแล้วก็วางไว้บนโต๊ะและเดินออกมานั่งทานข้าว ซึ่งเวลานี้เป็นเวลาประจำที่เขา บิดา และมารดาจะมานั่งทานข้าวเช้าด้วยกัน เพราะเขาต้องไปดูลูกน้องที่ตัดผักและผลไม้ในช่วงเช้ามืดเพื่อส่งให้กับพ่อค้าแม่ค้าที่เข้ามารับสินค้าภายในไร่ แต่เมื่อพัชร์เห็นแกงข่าไก่ก็ทำให้คิ้วเขาเลิกขึ้นและเงยหน้าถามผู้เป็นมารดาทันที

“แม่ อีกแล้วหรือครับ”

“เออ รอบนี้แม่ใส่น้ำตาลน้อยมาก ไม่หวานเหมือนบัวลอยหรอก คุณก็ชิมด้วยสิ”

ผกาแก้วบอกลูกชายด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจ เพราะเมนูต่างๆ เธอทำได้ แต่เมนูต้มข่าไก่กับต้มยำเท่าที่เธอจำความได้เธอก็ยังไม่เคยทำมันประสบความสำเร็จเลยสักครั้ง รอบนี้เธอก็ตัดสินใจว่าหากมันยังเหมือนเดิมเธอก็จะเลิกทำมันแล้วล่ะ เมื่อเห็นลูกชายกับวิโรจน์ ผู้เป็นสามีของเธอชิมผกาแก้วก็รีบเอ่ยถามออกไปในทันที

“เป็นอย่างไรบ้างคะ”

พัชร์และวิโรจน์ต่างหันมามองหน้ากันหลังจากที่ชิมต้มข่าไก่เข้าไป จากนั้นก็เป็นวิโรจน์ที่พยักหน้าบอกให้พัชร์เป็นคนตอบ เพราะเขาเองจะกล้าตอบไปตรงๆ ได้อย่างไรล่ะ เขาเกรงว่าภรรยาจะเสียใจ ถึงแม้ภรรยาจะบอกให้เขาพูดตรงๆ ก็ได้ก็ตามที

“แม่ หากผมพูดแม่อย่าโกรธผมนะ”

“เออ แม่ไม่โกรธหรอก”

“มันจืดมาก มันไม่มีรสชาติอะไรเลย”

พัชร์ตัดสินใจเอ่ยกับมารดาของตนแบบตรงไปตรงมา เพราะหากเขาโกหกเพื่อให้มารดาดีใจ ครั้งต่อไปถ้าต้องกินรสชาตินี้อีกก็เกรงว่าจะไม่ไหว แล้วเขาเองก็จะบอกมารดาแบบนี้อยู่แล้วว่ารสชาติของอาหารในแต่ละวันเป็นอย่างไร

“เฮ้อ งั้นต่อไปก็ไม่ทำมันละ ทำยากเสียจริง ปรุงรสนั้นเป็นรสนี้ พอๆ กล้วย กล้วยเอ๊ย”

“มาแล้วจ่ะ”

“เออๆ เอาต้มข่าไก่ไปทิ้งซะ เอ๊ย ไม่ต้องทิ้ง ประเดี๋ยวเอาไว้คลุกกับข้าวแล้วให้หมา”

“ได้จ่ะๆ”

“จริงสิ เมื่อวานผมได้รับจดหมายจากวรพลแล้วนะ”

เมื่อวิโรจน์นึกขึ้นได้จึงเอ่ยบอกผู้เป็นภรรยาและลูกชายออกไปถึงเรื่องจดหมายที่เพื่อนรักอย่างวรพลตอบกลับมา เมื่อได้ยินดังนั้นสายตาของภรรยาและลูกชายก็จ้องมาที่เขาเป็นตาเดียว

“จริงหรือคะ แล้วเขาตอบมาว่าอย่างไรบ้าง ฉันอยากอุ้มหลานใจจะขาดอยู่แล้ว ครั้นเห็นคนอื่นเลี้ยงหลานฉันรึก็ได้แต่อิจฉา”

“เดี๋ยวผมก็มีหลานให้แม่เองแหละครับ”

“จิ๊ จะมีๆ แล้วเมื่อไหร่เล่า แม่รึเตรียมสั่งผ้ามาเย็บที่นอนให้หลานจนผ้าเปื่อย ลูกพูดแบบนี้ตั้งแต่อายุ 24 แล้วนะ ตอนนี้ปาไป 28 แล้ว ยังไม่เห็นจะมีวี่แวว แล้วแม่บอกเลยนะ หากเพื่อนของพ่อเขาตกลงไม่ว่าจะยังไงเราก็ต้องแต่ง ว่ายังไงคะคุณ”

“อืม เห็นทีผมกับคุณคงจะมีวาสนาเลี้ยงหลานกันคนอื่นเขาบ้างแล้วล่ะ เพราะฝั่งนั้นตอบตกลง แต่เห็นว่าคนน้องเป็นคนแต่ง แล้วในจดหมายเห็นว่าได้เดินทางมาแล้ว คาดว่าไม่วันนี้ก็วันมะรืนคงจะมาถึง”

“ดีจริงๆ ฉันไม่เคยมีความสุขเท่านี้มาก่อนเลย เราจะได้มีหลานกับเขาสักที”

พัชร์ขมวดคิ้วหนาขึ้นมาอย่างห้ามตนเองไม่ได้ เพราะขนาดว่าคนพี่ยังอายุน้อยกว่าเขาไปมาก แล้วนี่เป็นคนน้องแต่งอายุจะห่างจากเขาเท่าไหร่กัน อีกอย่างฝั่งนั้นก็อยู่ในพระนครก็คงคุ้นชินกับชีวิตทางนั้นมากกว่า มาที่นี่แม้แต่ไฟฟ้าบางพื้นที่ก็ยังเข้าไม่ถึง หากจะต้องแต่งสู้เอาผู้หญิงละแวกเดียวกันไม่ดีกว่าหรือ

“เขาจะมาอยู่กับเราได้เหรอครับ เห็นว่าครอบครัวของแม่เขาเป็นถึงหม่อมเจ้า คงเลี้ยงลูกคล้ายอยู่ในวัง ไอ้ที่ผมพูดถึงเรื่องการเลี้ยงดูไม่ได้หมายว่าเขาผิดนะครับ เพียงแต่ลูกสาวเขามาอยู่ชนบทแบบเรา เขาจะอยู่ได้หรือ บ้านเราแค่ฝนตั้งเค้าไฟฟ้าก็ดับแล้วนะครับ”

“เรายังไม่ได้รู้จักน้องเขาเสียหน่อย ทำไมถึงด่วนตัดสินเขาเสียล่ะ แบบนี้พ่อว่าไม่ดีเลยพัชร์ มันคล้ายว่าดูถูกเขากรายๆ หากเขาอยู่ไม่ได้จริงๆ เราก็ค่อยมาปรึกษาหารือกันแล้วกันนะ”

“อืม แม่เห็นด้วย”

“คุณนายคะ มีแขกมาค่ะ”

“หื้อ ใครกัน หรือจะเป็นแม่ค้าพ่อค้ามารับผัก”

“ไม่น่าใช่นะคะ เป็นหญิงสาวสวยคนหนึ่ง ผิวขาวมากๆ มีคนรถมาส่งค่ะ เห็นเอากระเป๋าลงด้วยค่ะ”

“ตายจริง แสดงว่าหนูคนนั้นเดินทางมาถึงแล้วล่ะสิ คุณคะ เราไปดูกันเถอะค่ะ รณพัชร์ ลูกก็ลุกด้วยสิ แขกมาบ้านเราควรไปต้อนรับ อย่าเสียมารยาท”

“ครับ”

พัชร์จำใจลุกขึ้นก่อนจะยกน้ำขึ้นมาดื่มจากนั้นก็เดินตามบิดาและมารดาของตนออกมาหน้าบ้าน และเมื่อท้องฟ้าเริ่มสว่างก็ทำให้เห็นทิวทัศน์ด้านนอกชัดเจนยิ่งขึ้น เมื่อเขามาหยุดอยู่ที่หน้าบ้านก็ยกมือขึ้นกอดอกและใช้สายตาคมมองไปยังร่างบางของผู้หญิงคนหนึ่งยืนหันหลัง จากที่ดูเป็นผู้หญิงที่ตัวเล็กพอสมควร สวมชุดเดรสสีชมพูลายสก็อตแขนกุด ผมยาวลงมาถึงกลางหลัง ตอนนี้กำลังยืนดูคนรถและแม่บ้านยกกระเป๋าลงจากรถ ตัวเล็กคล้ายต้นไม้เพิ่งโตจะทนแดดทนฝนได้ขนาดไหนกันเชียว

“เรียบร้อยแล้วค่ะคุณบุ”

“ขอบคุณนะคะ พี่แป้นกับลุงเจิดเดินทางกลับดีๆ นะคะ อุ้ย สวัสดีค่ะ หนูชื่อบุรนีย์ค่ะ เป็นลูกสาวของคุณพ่อวรพลค่ะ”

เมื่อบุรนีย์บอกแม่บ้านและคนขับรถที่มาส่งเธอจึงหมุนตัวกลับมา จากนั้นก็ตกใจเล็กน้อยเพราะมีหญิงชายวัยกลางคนยืนมองเธออยู่ก่อนแล้ว ก่อนสายตาจะไปสะดุดกับสายคมของผู้ชายสูงโปร่งที่ยืนกอดอกถัดไปทางด้านหลัว เธอจึงยกมือไหว้และส่งยิ้มเพื่อเป็นการกล่าวทักทาย

“หนู หนูเป็นลูกสาวคนสุดท้องของคุณวรพลอย่างนั้นหรือจ๊ะ”

ผกาแก้วเอ่ยถามหญิงสาวแสนสวยตรงหน้า เพราะไม่ว่าจะมองด้านไหนหนูคนนี้ก็งามแบบไร้ที่ติ หน้าตาราวกับตุ๊กตาเจ้าหญิงไม่มีผิดเพี้ยน ผิวขาวเนียนละเอียด เวลายิ้มโลกก็พลันดูสดใสขึ้นมาในทันใด แบบนี้ช่่างเหมาะกับลูกชายแข็งกระด้างของเธอเสียจริง อีกคนแข็งกราวดั่งภูผาอีกคนนุ่มนิ่มคล้ายปุยนุ่น ช่างเหมาะสมกันเสียจริง

“ค่ะ หนูชื่อบุรนีย์ หรือเรียกหนูว่าบุก็ได้ค่ะ พอดีหนูเดินทางมาก่อนเนื่องจากคุณพ่อและคุณแม่ไปร่วมงานแต่ง ท่านทั้งสองจึงฝากมาเรียนคุณลุงกับคุณป้าว่าจะตามทีหลังค่ะ”

“จ่ะ แม่ชื่อผกาแก้วนะลูก เรียกแม่แก้วก็ได้ ส่วนพ่อเขาชื่อโรจน์ ยังไงเสียก็ต้องตบต้องแต่ง เรียกพ่อกับแม่เหมือนพี่เขาไปเลยแล้วกันนะลูกนะ อ่อ นี่พี่พัชร์จ่ะ ตาพัชร์ ทักทายน้องสิ”

“คนรถยังไม่กลับ ที่นี่ไม่เจริญคล้ายบ้านของเธอ ฉันทำไร่ทำสวนหากเธอตกลงที่จะแต่งงานเธอก็ต้องไปทำงานในไร่ด้วยเช่นกัน ไฟฟ้าที่นี่แค่ฝนตั้งเค้าไฟฟ้าก็ดับแล้ว หากคิดว่าอยู่ไม่ได้ก็เดินทางกลับไปเสียตอนนี้”

พัชร์มองหญิงสาวตรงหน้าด้วยแววตาที่หลากหลายความรู้สึก ที่สำคัญหญิงสาวคนนี้ดูบอบบางมาก ผิวขาวมากเช่นกัน หน้าตาสวยงามหมดจดไร้ที่ติด มือน้อยๆ คู่นั้นคงไม่เคยผ่านการทำงานหนัก หากเจ้าหล่อนคิดว่าอยู่ไม่ได้พัชร์ก็อยากให้เธอกลับไปเสียตั้งแต่ตอนนี้

“ตาพัชร์!”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel