2. รอยแผลแห่งอดีต
เปลวแสงของโล่เวทสะท้อนประกายสว่างวาบในพริบตา ราวแสงดาวที่ถูกจุดขึ้นกลางความมืด ก่อนจะจางหายไปเมื่อพีรภัสนาคินทร์ ถอนคาถา มือข้างหนึ่งของเขายังโอบกอดญาณิสาไว้แน่นแนบอกของเขา ราวกับจะกั้นเธอไว้จากทุกอันตรายที่แฝงตัวอยู่ในความมืดที่ไร้แสง
ไอเย็นจากหุบเขาแผ่ซ่านเข้ามาราวกับจะกลืนกินลมหายใจ ความเงียบปกคลุมรอบตัว มีเพียงเสียงลมหอบแผ่วผ่านยอดไม้สูง และเสียงหัวใจของญาณิสาที่เต้นระรัวอยู่ในอกของเธอเอง
เธอยังตัวสั่น ดวงตาเบิกกว้างจับจ้องไปยังเงาดำซึ่งปรากฏตัวเมื่อครู่ ราวกับภาพหลอนที่ฝังอยู่ในม่านตาแต่เมื่อกะพริบตาอีกครั้ง มันก็หายไปแล้ว เหลือไว้เพียงลมหายใจเย็นเยียบกับความเงียบที่บีบรัด
“มัน...ไปแล้วเหรอ” ญาณิสาถามเสียงแผ่ว ริมฝีปากแทบไม่ขยับ ใจยังเต้นไม่เป็นจังหวะ
“ยังไม่ไปไหนหรอก” พีรภัสนาคินทร์ ตอบเรียบ ๆ เสียงของเขานุ่มแต่หนักแน่นราวแผ่นหินที่ยืนหยัดท่ามกลางพายุ สายตายังคงจ้องแน่วไปยังความว่างเปล่าที่เบื้องหน้า
“มันแค่ถอยเพื่อรอเวลา...”
ญาณิสา พยายามตั้งสติ หายใจเข้าออกช้า ๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืนด้วยความช่วยเหลือของเขา กลิ่นหอมอ่อน ๆ จากเสื้อคลุมของเขากลิ่นดินชื้น ยางไม้ และสมุนไพรแปลก ๆทำให้เธอรู้สึกปลอดภัย อย่างประหลาด ราวกับกลิ่นที่คุ้นเคยที่จากมานานแสนนาน
“เมื่อกี้คุณพูดว่า...ฉันคือผู้แบกรอยลำนำ” เธอเอ่ยถามด้วยเสียงที่มั่นคงขึ้น แม้ภายในยังสั่นไหว “บอกฉันทีเถอะว่าทั้งหมดนี้มันคืออะไร”
พีรภัสนาคินทร์ เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ แล้วชี้ไปยังเส้นทางแคบ ๆ ที่ทอดยาวเข้าไปในป่าลึก ด้านหน้านั้นเต็มไปด้วยหมอกจาง ๆ ลอยเอื่อยเหนือผืนดินชื้น และเสียงแมลงกลางคืนที่ขับกล่อมแผ่วเบา
“ตามผมมา ที่นั่นปลอดภัยกว่า แล้วผมจะเล่าให้ฟังทุกอย่าง…”
เส้นทางในป่าเงียบสงัด มีเพียงเสียงฝีเท้าของทั้งสองคนที่ก้าวย่ำบนใบไม้ และเสียงหรีดเรไรที่ดังก้องในความมืด ดอกไม้เรืองแสงเล็ก ๆ ผลิดอกอยู่ใต้พุ่มไม้ ราวกับหยาดน้ำค้างที่ส่องแสง ด้านบน ผีเสื้อปีกใสดั่งคริสตัลบินวนล้อมรอบกิ่งไม้ สะท้อนประกายสีรุ้งเมื่อปีกกระพือแผ่ว
ญาณิสา รู้สึกเหมือนตัวเองเดินเข้าสู่โลกในนิทาน โลกที่งดงาม น่าพิศวง แต่ก็แฝงไปด้วยสิ่งที่ยังไม่เข้าใจ เมื่อมาถึงกระท่อมไม้กลางป่าหลังหนึ่ง กระท่อมนั้นดูเก่าแก่แต่แข็งแรง ประตูไม้สลักอักขระโบราณที่เปล่งแสงอ่อน ๆ ราวกับมีชีวิต
พีรภัสนาคินทร์ เปิดประตูให้เธอเข้าไป ด้านในเต็มไปด้วยกลิ่นชาอุ่น ๆ ผสานกลิ่นไม้แห้งและเปลือกสมุนไพร เตาผิงที่มุมห้องให้ความอบอุ่นที่ไม่ใช่แค่ต่อร่างกาย แต่ยังปลอบประโลมหัวใจ แสงเทียนที่ไม่มีไส้เปล่งแสงนิ่งสนิทแม้ลมจะพัดผ่านเบา ๆ จากหน้าต่าง
“ที่นี่คือ ‘เขตปลอดเงา’ หนึ่งในไม่กี่แห่งที่พลังของเงาดำเข้ามาไม่ได้” เขาอธิบายขณะเทน้ำชาสีทองอ่อนใส่ถ้วยแก้วให้เธอ
ญาณิสา นั่งลงบนเก้าอี้ไม้ใกล้เตาผิง ยกถ้วยชาขึ้นจิบ กลิ่นชาหอมละมุนอย่างที่ไม่เคยลิ้มรสมาก่อน มันให้ความรู้สึกทั้งอุ่นและเศร้า เหมือนความทรงจำที่กลับคืนมาโดยไม่รู้ตัว
เธอเงยหน้ามองเขา แววตาเต็มไปด้วยคำถาม พีรภัสนาคินทร์ มองถ้วยชาของตัวเองครู่หนึ่งก่อนจะเริ่มเล่า เสียงของเขาเรียบนิ่ง แต่แฝงความโศกในน้ำเสียง
“เมื่อหลายพันปีก่อน โลกของผมกับโลกของณิสาเคยเชื่อมต่อกัน แต่เกิดสงครามขึ้นทำให้จักรวาลต้องสร้างเส้นแบ่งโลกทั้งสองที่ถูกผนึกออกจากกัน เพื่อไม่ให้พลังของ ‘ภาวะย้อนแสง’ กลืนกินทั้งจักรวาล”
“และฉัน…เกี่ยวข้องยังไงกับเรื่องนี้”
“ณิสา คือทายาทของผู้พิทักษ์เส้นแบ่งคนสุดท้ายที่เคยกักขังภาวะย้อนแสงไว้ได้ ด้วยเสียงเพลงโบราณที่ได้ยินในฝันนั่นแหละ ‘ลำนำแห่งรอยร้าว’ เป็นพลังเดียวที่สะกดเงาดำนั่นได้”
“เพลงนั่น…อยู่ในหัวฉันตั้งแต่เด็กเลยนะ” เธอพูดเบา ๆ
“ตอนแรกฉันคิดว่าฉันแค่ฝันซ้ำ ๆ หรือมีภาพหลอน แต่มันเหมือนมีใครเรียกฉัน…”
“ใช่” เขากระซิบ “นั่นไม่ใช่ความฝัน แต่เป็นเสียงเรียกจากโลกนี้…จากอดีตของณิสาเอง”
ญาณิสา เบิกตากว้าง หัวใจเต้นแรงขึ้นโดยไม่รู้ตัว
“ณิสาเคยอยู่ที่นี่มาก่อน” เขาพูดชัดถ้อยชัดคำ
“เราเคยพบกันแล้วรักกัน...ในช่วงเวลาหนึ่ง”
“หมายถึง...หลายพันปีก่อนหราค่ะ”
พีรภัสนาคินทร์พยักหน้า ดวงตานั้นสะท้อนภาพบางอย่างเศร้า ปวดร้าว และฝังลึก
“ณิสาเคยเป็นผู้ที่เสียสละชีวิต เพื่อผนึกภาวะย้อนแสง... และตอนนี้ มันตื่นขึ้นอีกครั้ง และพลังของณิสาก็กลับคืนมาเช่นกัน”
พีรภัสนาคินทร์ พยักหน้า ดวงตานั้นสะท้อนภาพบางอย่างเศร้า ปวดร้าว และฝังลึกเขายื่นมือออกไปปลายนิ้วของเขาแตะเบา ๆ ที่หน้าผากของเธอ แสงอุ่นจาง ๆ แผ่ซ่านเข้ามาในความคิด ความทรงจำเก่าเลือนรางที่เคยแว็บผ่านในฝัน ปรากฏขึ้นช้า ๆ… ชัดขึ้น… จนกลายเป็นภาพ
เสียงดนตรีเบา ๆ ดังแว่วมาจากสายลม พระจันทร์เต็มดวงลอยอยู่เหนือทะเลสาบที่เงียบสงบ ท้องฟ้าเต็มไปด้วยแสงดาวระยิบระยับ กลีบดอกไม้โปรยปรายจากต้นไม้เรืองแสงสีเงิน
หญิงสาวในชุดขาวยืนอยู่ริมสระน้ำ ดวงตาเธอเปล่งประกายราวดวงดาว เขาเดินเข้ามาเงียบ ๆ จากด้านหลัง แววตาเขาเต็มไปด้วยความรักไม่เอื้อนเอ่ย
“ท่านมาช้า” เธอพูดยิ้ม ๆ
“เราอยากให้ณิสารอ...เพราะช่วงเวลานี้จะนานกว่าที่เคย” เขาตอบ และยื่นมือให้ เธอรับไว้แนบแน่น ใต้แสงจันทร์ที่อาบทาทุกสิ่ง ทั้งสองเดินเคียงกันไป ท่ามกลางเสียงเพลงในอากาศ
“พรุ่งนี้...ท่านจะต้องไป” ญาณิสาเอ่ยขึ้น
“อืม...” เขากระซิบต่อ “แต่เราจะพบกันอีกและรักกันอีก ไม่ว่าในชาติภพใด...”
เขาก้มลงจูบหน้าผากเธอช้า ๆ เป็นคำสัญญาที่ข้ามภพชาติ
ญาณิสาสะดุ้งเล็กน้อย น้ำตาหยดหนึ่งไหลจากหางตาโดยไม่รู้ตัว
“นั่นคือ...เรา” เธอถามเบา ๆ
“ใช่” พีรภัสนาคินทร์พยักหน้า “และตอนนี้เราก็ได้กลับมาแล้ว”
เขากุมมือเธอไว้แน่น
“ผมจะช่วยณิสา จำให้ได้ ไม่ว่าต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม...”
