1. เสียงเพลงข้ามมิติ
ญาณิสายืนอยู่ริมหน้าต่างบานใหญ่สูงจนถึงเพดานในห้องหอสมุดของปราสาทโบราณแห่งหนึ่ง ดวงตาของเธอส่องประกายกระทบกับแสงสุดท้ายของวัน เสียงเพลงโบราณที่เธอได้ยินในความฝันทุกคืนยังคงดังแว่วอยู่ในหัวใจ
“เพลงนี้...มันคืออะไร” เธอกระซิบอย่างแผ่วเบา
ในขณะที่เธอกำลังจะละสายตาออกจากหน้าต่าง จู่ ๆ ท้องฟ้าก็สว่างวาบราวกับถูกฉีกออก เผยให้เห็นประตูมิติที่พร่าเลือนราวกับกระจกแตก
“นี่มัน...โลกคู่ขนาน?” ญาณิสาไม่เชื่อสายตาตัวเอง
แล้วเสียงนั้นก็ดังก้องขึ้นอีกครั้ง คราวนี้มาจากฝั่งตรงข้ามของมิติ เสียงของพีรภัสนาคินทร์
“ณิสา... ผมรอมานาน นานจนเกือบจะยอมแพ้แล้ว” น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความหวังและความเจ็บปวด
หัวใจของเธอเต้นรัวไม่อาจควบคุมได้ ญาณิสารู้ว่าการก้าวผ่านประตูมิตินี้ อาจหมายถึงทุกอย่าง ทั้งความรัก ความลับ และการเสียสละที่ยิ่งใหญ่
แต่ก่อนที่เธอจะได้ตัดสินใจ… เงาดำทะมึนก็ลอยเข้ามาใกล้ ทำให้เธอรู้ว่า โลกคู่ขนานไม่ได้มีแค่ความมหัศจรรย์ แต่ยังซ่อนอันตรายที่อาจทำลายทุกสิ่งที่เธอรัก
“ถ้าอยากอยู่กับเขา ต้องพร้อมจะแลกทุกอย่าง...” เสียงลึกลับเตือนเธอเบา ๆ
ญาณิษาสูดลมหายใจลึก เธอพร้อมแล้วที่จะเดินทางข้ามมิติ ไปสู่โลกที่ไม่เคยรู้จัก และตามหาความรักที่ถูกพรากไป
ลมหายใจของญาณิสาสะดุดลงเพียงเสี้ยววินาทีเมื่อสายตาของเธอจับจ้องไปยังรอยแยกกลางอากาศตรงหน้าบานประตูแห่งมิติที่สั่นไหวราวกับถูกสายลมกระซิบคำสาปกลืนกินจากภายใน
เธอน่าจะรู้สึกตื่นเต้นที่ความฝันกำลังกลายเป็นจริง แต่กลับมีบางอย่างเย็นเยียบไล่ขึ้นจากสันหลัง ความหนาวเหน็บที่ไม่ใช่ลมหนาวจากภายนอก แต่มาจาก... การปรากฏตัวของบางสิ่ง
เสียงดนตรีที่เคยไพเราะในความฝันเริ่มแปรเปลี่ยน กลายเป็นทำนองที่บิดเบี้ยวและต่ำลึก ราวกับบรรเลงจากเงามืดอันไร้ตัวตน
แล้วเธอก็เห็นมัน … เงาดำ
ไม่ใช่เพียงเงาสะท้อนจากต้นไม้หรือเงาในยามเย็น แต่เป็น เงาที่มีชีวิต มันคลืบคลานออกมาจากขอบประตูมิติ ลักษณะของมันไร้รูปร่างที่แน่นอน เหมือนหมอกควันดำทะมึนที่เปล่งพลังเย็นยะเยือกออกมาทุกครั้งที่เคลื่อนไหว
เสียงกระซิบแผ่วเบาเริ่มดังรอบกาย ไม่ใช่ภาษาที่ญาณิสาเคยได้ยิน แต่เธอเข้าใจมัน... อย่างน่าประหลาด
“เธอ...คือกุญแจ...”
“เลือดของเธอ...จะปลดผนึกเขา...”
“อย่าไว้ใจแสงสว่าง มันคือคำหลอกลวง...”
ญาณิสาถอยหลังไปในทันที มือของเธอกำแน่นราวกับหาอะไรยึดเหนี่ยว ก่อนจะสะดุ้งสุดตัวเมื่อเงาดำนั้นพุ่งเข้าหาเธอรวดเร็วเกินตาเห็น
แต่ไม่ทันที่มันจะสัมผัสผิวเธอ เสียงแหลมสูงแหวกอากาศก็ดังขึ้น สะท้อนจากทุกทิศทาง แสงสีเงินบางอย่างพุ่งลงมาจากฟ้า แทงตรงใส่เงาดำนั้นจนมันกระจายตัวแตกออกเป็นฝุ่นสีดำ
ญาณิสาหายใจหอบ ใจเต้นแรง เธอทรุดลงคุกเข่าท่ามกลางความเงียบชั่วขณะ และเมื่อเงยหน้าขึ้น... ชายหนุ่มผู้มีนัยน์ตาสีเทาเข้มดั่งเถ้าถ่านก็ก้าวออกมาจากความมืด
'พีรภัสนาคินทร์'
เขาสวมเสื้อคลุมยาว ผ้าคลุมสีดำปักลายเรืองแสงคล้ายสัญลักษณ์เวทโบราณ ในมือถือดาบยาวที่ปลายดาบยังมีละอองดำติดอยู่
“เธอไม่ควรจะอยู่ที่นี่ตอนนี้” เขาพูด น้ำเสียงนั้นแข็งแต่กลับสั่นเล็กน้อย เหมือนอดกลั้นอะไรบางอย่างไว้
“มัน...คืออะไร?” ญาณิสาถามเสียงแผ่ว เธอรู้ว่าเธอเห็นบางอย่างที่ไม่ควรเห็น แต่ก็ไม่อาจละสายตาได้
พีรภัสนาคินทร์หันมาสบตาเธออย่างจริงจัง
“มันคือ ‘เศษเงา’ ที่หลุดรอดจากมิติที่ปิดตาย…พลังเก่าแก่ที่ไม่ควรถูกปลุกขึ้นมาอีกครั้ง”
“แล้ว...ทำไมมันถึงพูดถึงฉัน?” เธอถามต่อ ทั้งกลัวและอยากรู้ความจริง
เขานิ่งไปเพียงครู่ ก่อนจะตอบช้า ๆ
“เพราะเธอคือ ‘ผู้แบกรอยลำนำ’…สายเลือดของผู้เชื่อมโยงทั้งสองโลกเอาไว้”
ญาณิสาเบิกตากว้าง
“หมายความว่า…ฉันเกี่ยวข้องกับโลกนี้?”
“มากกว่าที่เธอคิด” เขากล่าวเบา ๆ ดวงตาสะท้อนความลำบากใจ
“และยิ่งเธออยู่ที่นี่นานเท่าไร... เงาดำนั่นจะยิ่งตามเธอมาเร็วขึ้น”
แสงจากประตูมิติค่อย ๆ เลือนจางลง แต่ก่อนที่มันจะหายไปจนหมด เงาดำอีกเส้นหนึ่งปรากฏขึ้น คราวนี้ไม่ใช่เศษหมอก แต่เป็นรูปร่างของมนุษย์ สูงใหญ่ คลุมด้วยผ้าคลุมสีดำทั้งตัว
มันไม่พูดอะไร ไม่แม้แต่จะขยับ... แต่เพียงการปรากฏตัวของมันก็ทำให้รอบข้างเงียบกริบ เสียงลมหายใจของญาณิสาชะงักค้างในลำคอ
พีรภัสนาคินทร์ยกดาบขึ้นด้วยท่าทางระแวดระวังทันที
“ไปจากที่นี่ ณิสา!”
“แต่นั่น“
เธอยังไม่ทันพูดจบ แรงกระแทกจากสายลมที่พุ่งมาจากเงาดำก็ซัดเธอกระเด็นออกไป
พีรภัสนาคินทร์รีบคว้าตัวเธอไว้ทัน ก่อนจะใช้เวทป้องกันกางออกมาเป็นโล่สีเงิน
“เงานั้นไม่ใช่ศัตรูธรรมดา... มันคือ ‘ภาวะย้อนแสง’ สิ่งที่ถูกสร้างขึ้นจากความกลัวของคนในโลกทั้งสอง!” เขาตะโกน
เงาดำนั้นแค่ยกมือขึ้น โลกทั้งใบก็สั่นสะเทือน
ญาณิสารู้แล้ว… นี่ไม่ใช่แค่การเดินทางข้ามมิติ แต่มันคือสงครามระหว่างความหวัง กับอดีตที่ถูกลืม
