ฉันไม่ใช่คนเดิมอีกแล้ว 1.2
“ท่าทางแกคงจะแกล้งเป็นลมใช่ไหม พอได้พักเข้าหน่อยถึงได้มาแสดงท่าทีโอหังแบบนี้ ตอนนี้ได้เวลาไปทำกับข้าวแล้ว รีบออกไปทำซะ ก่อนที่สามีของฉันจะกลับมาถึงบ้าน”
“หน้าที่ทำงานภายในครัว หรือภายในบ้านเป็นหน้าที่ของสะใภ้ แล้วมันเรื่องอะไรจะต้องมาใช้คนที่ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าของบ้าน และเป็นหลานสาวของสามี เธอนี่ท่าทางจะประสาทนะ” จางลู่ซือไม่มีทีท่าทุกข์ร้อนที่โต้ตอบอีกฝ่าย เพราะถึงอย่างไรเธอก็มองว่าตัวเองไม่จำเป็นต้องทำตามคำสั่งคนตรงหน้า
เมื่อถูกหลานสาวของสามีที่ไม่เคยต่อต้านหรือโต้แย้งใด ๆ ตอบโต้กลับมาอย่างเจ็บปวด อาสะใภ้อย่างเธอที่เคยกดขี่ข่มเหงอีกฝ่ายมาได้ตลอดจึงไม่พอใจมาก ทำให้กรีดร้องออกมาด้วยเสียงสูงปรี๊ด จนคนข้างบ้านเดินผ่านไปผ่านมาได้ยินเข้าก็รีบมาแอบฟังด้วยความสนใจ
“กล้ามาก กล้าดียังไงถึงได้มาเถียงฉันแบบนี้ คอยดูนะฉันจะต้องหาวิธีการจัดการแกให้ได้ นังลู่ซือ!!”
“คิดได้แล้วค่อยกลับมาก็แล้วกันนะ ตอนนี้ฉันมีเรื่องที่ต้องคิดและต้องทำ อาสะใภ้คิดได้เมื่อไรค่อยจดใส่กระดาษมาว่าจะเอายังไง แต่ตอนนี้เชิญกลับไปทำหน้าที่ของอาให้ดีเถอะ เพราะถ้าทำงานภายในบ้านและดูแลครอบครัวไม่เรียบร้อย นั่นก็ถือว่าบกพร่องต่อหน้าที่ ระวังให้ดีก็แล้วกันไม่แน่อาของฉันอาจจะคิดหาภรรยาใหม่มาแทนที่คนเดิม”
พูดจบจางลู่ซือก็ปิดประตูใส่หน้าอาสะใภ้ทันที เธอไม่ได้ให้ความสนใจกับเสียงหวีดร้องด้านนอก
เมื่อเข้ามาในห้องและอยู่ตามลำพังอีกครั้ง จึงหันกลับมามองตัวเองภายในกระจกพร้อมกับใช้มือลูบคลำร่างกายและใบหน้า แม้แต่กระทั่งเรือนก็ไม่เว้นเพื่อตรวจสอบร่างกายที่เธอมาอาศัยอยู่ ถึงแม้จะได้ชื่อว่าเป็นเด็กสาวแต่สุขภาพนับว่าย่ำแย่ทั้งภายในและภายนอก จางลู่ซือจึงต้องเริ่มต้นด้วยการดูแลตัวเองก่อนเป็นอันดับแรก
เมื่อตัดสินใจได้จึงเปิดประตูห้องออกมา และพบว่าอาสะใภ้ยังคงเดินไปเดินมาเหมือนกับกำลังจะหาช่องทางเอาคืน พอเห็นว่าอีกฝ่ายรีบเดินปรี่เข้ามาหญิงสาวจึงรีบชี้หน้าหล่อนทันที
“อย่าเข้ามาใกล้ฉันเด็ดขาด รู้เอาไว้ด้วยว่าในตอนนี้ฉันไม่เหมือนคนเดิมอีกต่อไปแล้ว ถ้าอยากจะกินให้อิ่มนอนให้หลับ สมควรจะต้องดูแลตัวเองให้ดี จำเอาไว้ให้ดีเมื่อไรก็ตามที่ฉันหมดความอดทนกับเสียงแหลม ๆ นั่นแล้ว รับรองได้ว่าเธอจะต้องพบกับความปวดหัวมากกว่าเมื่อกี้”
หนิงเจินเหนียงอ้าปากค้างพูดอะไรไม่ออก แต่ยังคงเดินตามจางลู่ซือเข้าไปในครัว
จางลู่ซือเดินเข้าไปหาบางอย่าง เพื่อที่จะใช้ในการฟื้นฟูร่างกายก่อน เธอมองห็นหม้อข้าวซึ่งน่าจะเพิ่งถูกตั้งบนเตาไฟและคิดว่าข้าวในนั้นคงจะกำลังใกล้จะสุกแล้ว
ดังนั้นจึงเดินไปหยิบเอาผักสดที่มีอยู่ในตะกร้าออกมา จากนั้นจึงนำเอาข้าวที่สุกแล้วแต่ยังไม่ระอุดีออกมาจากหม้อเล็กน้อย พลางตักใส่ถ้วยแบ่งไว้ ก่อนจะนำเอาผักสดม้วนข้าวแล้วนำกลับไปใส่รังนึ่ง
หลังจากนั้นจึงนำเนื้อสัตว์ที่ยังพอมีอยู่เล็กน้อยมาสับให้ละเอียดแล้วใส่เข้าไปในใบผักกาด พร้อมกับม้วนไม่ต่างจากข้าวที่ทำก่อนหน้านี้ และนำลงนึ่งไปอีกครั้ง เมื่อเสร็จแล้วจึงค่อยใช้ซีอิ๊วขาวที่มีอยู่ภายในครัวเป็นซอสจิ้ม
เธอนำอาหารใส่จานแล้วกลับไปนั่งกินในห้อง โดยไม่สนใจอาสะใภ้แม้แต่นิดเดียว หนิงเจินเหนียงทั้งตกใจและประหลาดใจมาก
ในใจนั้นคิดว่าหลานสาวขอสามีนั้นได้เปลี่ยนไปแล้ว แถมทำตัวเหมือนกับไม่เห็นเธออยู่ในสายตา ก่อนจะรีบเดินตามไปยังห้องนอนของอีกฝ่ายเพื่อหวังจะหาเรื่อง
แต่จางลู่ซือระวังตัวอยู่แล้ว แม้ว่ามือจะถือถาดอาหารไว้ แต่เมื่อเดินเข้ามาในห้องแล้ว เธอก็ใช้ปลายเท้าตวัดเข้าที่บานประตู จนทำให้ใบหน้าของอาสะใภ้ชนเข้ากับบานประตูอย่างแรง
“กรี๊ดดด! นังลี่ซือ!!”
เสียงกรีดร้องของหนิงเจินเหนียงดังมาก จนคนข้างบ้านตกใจต้องรีบวิ่งมาดู
“เป็นอะไรไปเจินเหนียง ทำไมถึงได้ร้องเหมือนกับเสียงแม่หมูถูกเชือดแบบนั้น” นางเหมย หญิงวัยกลางคนเดินเข้ามาถามด้วยความเป็นห่วง แม้จะไม่ค่อยชอบอีกฝ่ายที่เอาเปรียบหลานสาวของสามีก็ตาม
หนิงเจินเหนียงกลัวว่าจะเสียหน้าจึงรีบพูดกลบเกลื่อนขึ้นมา
“ไม่มีอะไรหรอก พอดีว่าฉันเดินไปชนกับประตูน่ะ”
พอเห็นว่าอีกฝ่ายเดินชนประตูเองก็รีบเดินออกมาจากบ้านจาง
ส่วนหนิงเจินเหนียงนั้นไม่กล้าที่จะอยู่สู้หน้าหลานสาวเพราะทั้งเจ็บทั้งอาย จึงทำได้เพียงรีบเดินหนีออกไปจากตรงนั้น ปล่อยให้หลานสาวตัวแสบนั่งอมยิ้ม พร้อมกับเคี้ยวอาหารด้วยความอร่อย
