9.เพียงแค่คนอาศัย
“พ่อเพลิง ทานปลาเสียหน่อย แม่เอาก้างออกให้หมดแล้ว” คุณหญิงนวลจันทร์หยิบปลาใส่จานให้บุตรชาย ช่วงนี้พ่อเพลิงของนางทานอาหารได้น้อยนัก ยิ่งใกล้วันแต่งของแม่บัวผัน ยิ่งแล้วใหญ่
นี่ก็ว่าจะไปงานแต่ง แต่หนวดเคราก็ยังไม่โกน สีหน้าก็ไม่สดชื่นสดใสสักนิด ผู้เป็นมารดาอย่างนางจึงวางใจไม่ค่อยจะได้
“ขอบพระคุณขอรับคุณแม่” เพลิงกฤษฎ์ตอบ แล้วก้มหน้าก้มตาทานอาหารต่อ
“พ่อพนัสนี่ทานเก่งเสียจริง เอาอันนี้หรือไม่ พี่ตักให้”
“เอาขอรับคุณพี่ ข้าอยากโตไวไว จะได้แข็งแรงเหมือนคุณเพลิง” สายธารยิ้มกริ่ม ที่น้องชายเล่นตามละครฉากใหญ่ที่เขาวางไว้
“ฮ่าๆ พ่อพนัสของพี่ เข้าใจผิดแล้ว คุณเพลิงเธอกินข้าวก็น้อย ทั้งยังดื่มแต่สุรา หากเจ้าอยากโต เจ้าก็ต้องทานให้น้อย-”
“อย่าสอนเรื่องผิดๆ ให้น้อง! พ่อพนัสทานเท่าที่อยากทานเถิด” เพลิงกฤษฎ์หันมาทำตาดุใส่สายธาร เด็กคนนี้ทำเขาโมโหได้ทั้งวันเสียจริง
“คุณเพลิงทานเยอะหรือไม่ขอรับ”
“ข้าทานข้าวหมดจานทุกมื้อ จึงได้สูงเช่นนี้ มิเหมือนพี่เจ้า ต่ำเตี้ยราวกับต้นกล้วยแคระหลังบ้าน” คำเปรียบเปรยของคุณเพลิง ทำเอาคนที่ได้ยินหัวเราะขำ ไม่เว้นแม้แต่คุณหญิงผกา ที่ขบขันกับใบหน้ามู่ทู่ของบุตรชายคนโต
ตั้งแต่ที่ตกน้ำตกท่าไปครานั้น บุตรชายของนางก็เปลี่ยนไปมาก ทั้งนิสัยใจคอ คำพูดคำจา แต่นางก็ไม่คิดจะหาต้นตอหรือสาเหตุของเรื่องที่เกิดขึ้น เพียงแค่บุตรชายมีชีวิตอยู่อย่างทุกวันนี้ ก็ดีเกินพอแล้ว
หลังจากทานข้าวปลาอาหารเสร็จ เพลิงกฤษฎ์ก็กลับมาที่หอนอน เพื่อจัดการกับตนเอง แน่นอนว่าเขายังคงตัดใจจากคนรักมิได้ แต่ทุกอย่างต้องเดินหน้าต่อไป ในเมื่อแม่บัวลืมเขาไปจนสิ้นแล้ว ก็มิมีประโยชน์ที่เขาจะมัวยึดติดกับคุณเธอ
อีกอย่าง เขาไม่อยากโดนเจ้าเด็กอัญญะนั่นกระแนะกระแหนอีก ยิ่งฟังก็ยิ่งรำคาญหู ช่วงก่อนยังเป็นเด็กเรียบร้อยราวกับผ้าพับไว้ ดูตอนนี้พูดมากเสียจนปวดหู
“อ้ายจั่น เอ็งโกนหนวดเคราให้ข้าที”
“แต่บ่าวไม่ละเอียดอ่อนเหมือนบ่าวหญิงนะขอรับ”
“เอ่อ เอ็งรีบมาทำเข้าเถิด บัดนี้สตรีพวกนั้นคงวุ่นอยู่กับการเก็บสำรับ ไหนจะเรื่องตัดเย็บชุดที่พวกข้าจะใส่ไปงานแต่งอีก” เมื่อก่อนเป็นนางไผที่จัดการเรื่องนี้ให้ เขาจึงมิค่อยได้ทำเอง เลยไม่ชินมือนัก
“ขะ ขอรับ” ว่าแล้วอ้ายจั่นก็รีบไปหยิบคันฉ่องและมีดโกนออกมา มือสั่นเทาของอ้ายจั่น ค่อยๆ โกนเอาเคราออก แต่ตัวเขาก็ใช่ว่าจะเชี่ยวชาญ ยามที่โกนให้ตนเองก็มักจะบาดเนื้อจนได้เลือด
“เป็นอันใดของเอ็ง สั่นอย่างกับเจ้าเข้า”
“บ่าวกลัวเข้าเนื้อท่านขุนขอรับ”
“เอ็งนี่มันไม่ได้เรื่อง เอามา ข้าจะทำเอง” มือใหญ่คว้าเอามีดโกนมาทำเอง แต่ด้วยความที่ไม่เคยทำมาก่อน ก็เก้ๆ กังๆ ยิ่งกว่าอ้ายจั่นเสียอีก
ขุนนางหนุ่มจึงต้องตั้งสติใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่า ทว่าสติสตางค์ที่ตั้งมาก็หดหายไปหมด เพียงเพราะเสียงเล็กที่ดังขึ้น
“ทำอันใดกันอยู่หรือขอรับคุณเพลิง” สายธารเดินจูงมือน้องชาย เดินเข้ามาหน้าหอนอนของชายหนุ่มด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม อารมณ์ดี
“เงียบเสียบ้างมิได้หรือไร”
“มิได้ขอรับ ว่าแต่นี่ทำอันใดอยู่ ดูลำบากชอบกล” เพลิงกฤษฎ์อ้ำอึ้งไม่ยอมบอก จะให้เขาเอ่ยว่ามิเคยโกนหนวดเอง เจ้าเด็กนี่ต้องหัวเราะเยาะเขาเป็นแน่
“ท่านขุนกำลังจะโกนหนวดขอรับ แต่ทุกทีมีคนมาคอยทำให้ พอต้องทำเองเลยไม่ถนัดขอรับ บ่าวเองก็ไม่เชี่ยวชาญ บาดเข้าเนื้ออยู่ประจำ” อ้ายจั่นห่อไหล่ลงทันใด ที่เห็นสายตาคาดโทษของผู้เป็นนาย
“อ่า ข้าทำให้ดีหรือไม่เล่า พี่ปริกพึ่งจะสอนมา”
“หึ พึ่งจะเรียนรู้ ยังเสนอหน้ามาช่วยผู้อื่น” เป็นเพลิงกฤษฎ์ที่หัวเราะเยาะออกมาบ้าง แต่ก็ต้องหุบยิ้มลง เพราะอีกคนดูจะมีประสบการณ์มากกว่าเขา
“แต่ข้าก็เคยโกนของตนเองมาแล้วนะ พ่อพนัส ไปหยิบขวดน้ำมันมะพร้าวมาให้พี่ที วางอยู่บนโต๊ะริมหัวนอน”
“ได้ขอรับ ข้าจะไปประเดี๋ยวนี้ คุณพี่กับคุณเพลิงรอก่อนนะขอรับ” ว่าแล้วเด็กน้อยก็วิ่งแจ้น ไปเอาน้ำมันมะพร้าวมาให้พี่ชาย ที่บัดนี้นั่งเก้าอี้ ประจันหน้ากับคุณเพลิงอยู่
“ขอบใจจ้ะ คุณพนัส” พูดจาจ๊ะจ๋าอย่างที่เคยหยอกล้อกัน ก่อนที่สายธารจะหันมาสนใจคนตรงหน้า ใช้สองนิ้วแตะน้ำมันมะพร้าวพอให้ชุ่มมือ ปาดลงส่วนที่มีหนวดเคราบนใบหน้าคม นิ้วชี้นวดวนให้น้ำมันมะพร้าวซึมเข้าผิวเล็กน้อย ก่อนจะเริ่มโกนจากกรอบหน้าทางซ้าย
“หากเจ็บบอกนะขอรับ”
“ไม่เจ็บ” เสียงทุ้มเอ่ยตอบ พลางมองสำรวจเด็กหนุ่ม เขาพึ่งเคยเห็นอีกฝ่ายชัดเจนขนาดนี้ ดวงตากลมโต แก้มขาวเนียน จมูกงอน และปากบางที่พูดเก่งเสียเหลือเกิน
“คิก หายใจได้นะขอรับ”
“ข้ามิได้กลั้น-”
“ชู่ว! ไม่เอาขอรับ ไม่พูด ประเดี๋ยวจะเข้าเนื้อเอาได้” สายธารเห็นสายตาไม่ยินยอมของชายตรงหน้าก็ยกยิ้มอย่างพอใจ มือเล็กก็ค่อยๆ โกนหนวดเคราออกจนเกลี้ยง กว่าจะเสร็จก็ใช้เวลานานพอควร
“พ่อพนัส ขอผ้าให้พี่หน่อยจ้ะ”
“นี่ขอรับ” ผ้าขาวสะอาดถูกนำมาเช็ดเศษหนวดเคราที่ติดอยู่บนหน้าหล่อเหลา ก่อนสายธารจะชโลมน้ำมันมะพร้าวและนวดคลึงเบาๆ ป้องกันมิให้ระคายเคือง
“เรียบร้อยแล้วหรือ”
“เรียบร้อยแล้วขอรับ เท่านี้ก็หล่อเหลาเหมือนเดิม ขาดก็แต่รอยยิ้ม” พูดจบ คนว่าก็ยิ้มตาหยี จนคนมองอดที่จะกระตุกยิ้มตามไม่ได้
ยิ้มสดใสราวกับไม่เคยมีเรื่องทุกข์ใจมาก่อน ช่างน่าทึ่งเสียจริง
“นั่นขุนเพลิงมิใช่หรือ มางานแต่งด้วยหรือนี่” เสียงซุบซิบนินทาดังขึ้นทันที เมื่อเห็นว่าขุนเพลิงกฤษฎ์เดินเข้างาน มาพร้อมกับครอบครัว จากที่คิดว่าอีกฝ่ายคงมิยอมมางาน เพราะยังทำใจไม่ได้ เรื่องที่คนรักตกลงปลงใจแต่งกับชายอื่น
“อ่าว คุณเดชก็มาด้วยหรือ”
“ขอรับ คนคุ้นเคยกัน ตบแต่งทั้งที จะไม่มาได้อย่างไร” สายธารลอบยิ้ม ไม่คิดว่าคนใจดีอย่างคุณลุง จะมีวาจาเชือดเฉือนใช้ได้
“เช่นนั้นก็เชิญเข้าไปในงานก่อนเถิด” หลวงพิชิตผายมือเชิญ คุณลุงกับคุณหญิงนวลจันทร์จึงเดินนำเข้าไปในงาน คุณเพลิงเองก็ดันหลังเขาและพ่อพนัสให้เดินตามทั้งคู่ไป
เมื่อเข้ามานั่งภายในงาน พวกเขาก็เป็นที่สนใจของแขกเหรื่อทันที สายตาที่ทุกคนมองมามีทั้งความแปลกใจและความสงสารไปในตัว
ทว่านอกจากคุณเพลิงแล้ว สายธารก็ตกเป็นที่สนใจของเหล่าชายหนุ่มไม่น้อย ด้วยหน้าตาที่น่ารักจิ้มลิ้ม ไหนจะรูปร่าง ผิวพรรณก็ดูน่าทะนุถนอมไปเสียทุกส่วน
“พ่อพนัสเอาขนมหรือไม่”
“เอาขอรับคุณเพลิง ขอบพระคุณขอรับ” สายธารเห็นน้องชายได้รับขนม เขาก็จ้องไปที่คนตัวโตอย่างคาดหวัง เขาเองก็อยากกินขนมบ้าง แต่ฝั่งของเขาไม่มีขนมให้หยิบเลย
“จ้องข้าด้วยเหตุใด เจ้าโตแล้ว มิต้องกินดอก”
“คุณยายที่นั่งตรงนั้นยังกินได้เลย! ท่านอย่าแกล้งข้า” เพลิงกฤษฎ์จิ๊ปากรำคาญ แต่ก็ยอมหยิบขนมให้เด็กหนุ่ม ตัวก็โต ยังจะอยากกินขนมอย่างกับเด็กๆ
“ค่อยๆ กิน ประเดี๋ยวคนเขาจะว่าตะกละตะกลาม มิมีผู้ใดสั่งสอน”
“ชิ! พูดมากเสียจริง”
ปวดหัว เป็นคำเดียวที่แทนความรู้สึกของเพลิงกฤษฎ์ได้ดีที่สุดในตอนนี้
ศีรษะใหญ่ส่ายไปมาอย่างเอือมระอา ก่อนจะหันมาสนใจงานพิธีตรงหน้า สตรีในชุดเจ้าสาว ประดับประดาไปด้วยเครื่องทองมากมาย เป็นภาพที่เขาใฝ่ฝันอยากจะเห็น ทว่าวันนี้เจ้าบ่าวกลับมิใช่เขา เป็นชายแก่ มากด้วยบารมี ช่างเป็นภาพที่ชวนให้ปวดใจยิ่งนัก
“อะฮึ่ม! อย่าร้องไห้ล่ะ อายคนอื่นเขา” เสียงกระซิบข้างหู ทำให้เพลิงกฤษฎ์หลุดออกจากภวังค์
“ข้ามิร้องไห้”
“เช่นนั้นก็ดี แต่ถือผ้าเช็ดหน้าเอาไว้ เผื่อว่าร้องจะได้เอาซับน้ำตาทัน” เด็กหนุ่มยัดผ้าใส่มือเพลิงกฤษฎ์ ก่อนจะทำหน้าทำตาดูแคลนเขาเสียเต็มประดา เจ้าเด็กนี่รนหาที่เสียจริง
“เอาไว้เช็ดปากตนเองเถิด ทานขนมอย่างไรให้เลอะเทอะถึงเพียงนี้” ผ้าผืนเล็กถูกนำมาเช็ดมุมปากของร่างบาง แทนที่จะเป็นน้ำตา แต่ก็มิได้ถือว่าเป็นการเช็ดที่นุ่มนวลนัก
กระนั้น ทั้งสายตาและการกระทำของชายตรงหน้า ทำเอาสายธารถึงกับชะงักนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนที่เจ้าตัวจะรีบดึงผ้ามาเช็ดมุมปากด้วยตนเอง
พิธีการต่างๆ ดำเนินมาจนเสร็จสิ้น แขกเหรื่อถูกเชิญให้อยู่ทานอาหารร่วมกัน ถือเป็นการแสดงความยินดีให้กับบ่าวสาว แน่นอนว่าสายธารและพนัสเองก็นั่งร่วมวงกับคุณเพลิงด้วย
“ขุนชิด และหมื่นหาน พวกเขาทำงานในกรมเดียวกันกับข้า ส่วนนี่พ่อธารและพ่อพนัส” เพลิงกฤษฎ์กล่าวแนะนำ
“ไหว้ขอรับ ข้าและน้องชายเป็นคนอาศัยในเรือนของคุณเพลิงขอรับ”
“อ่า ไม่คิดว่าเรือนขุนเพลิงจะมีคนงามอยู่ด้วย หากรู้คงจะแวะไปเที่ยวเล่นที่เรือน” ขุนชิดเอ่ยเย้า เขาเองก็รู้มาบ้างว่าคุณเดชพาสตรีเข้าเรือนมาพร้อมกับบุตรชาย ผู้คนจึงเล่าลือไปว่าสตรีผู้นั้นจะมาเป็นเมียรองของอดีตขุนนาง ทั้งยังมีลูกติดมาเป็นอัญญะ เขาเองก็เคยเจอผ่านๆ ตอนยังเป็นเด็ก ไม่คิดว่าโตมาจะงดงามถึงเพียงนี้
“จะแวะไปก็ย่อมได้ แต่ก็คงต้องนำงานไปทำด้วย”
“ท่านนี่วกกลับเข้าเรื่องงานเสียจนได้ มาๆ ทานข้าวกันเถิด” ทุกคนหันมาสนใจสำรับตรงหน้า พ่อพนัสที่นั่งอยู่ระหว่างเพลิงกฤษฎ์และสายธาร ก็ได้รับการดูแลจากทั้งสอง คนที่ร่วมวงทานข้าวจึงยิ้มกริ่มไปตามๆ กัน
เห็นเช่นนี้ทั้งขุนชิดและหมื่นหานก็สบายใจ พวกเขาหวาดกลัวเหลือเกินว่าเรื่องคุณบัวผัน จะทำให้ชายหนุ่มเสียหลักจนหมดสิ้นทุกอย่าง
“คุณบัวผันตบแต่งไปเช่นนี้ ก็ถือว่าขุนเพลิงมิมีผู้ใดในใจแล้วสิหนา ข้าคงพอมีโอกาส”
“เจ้าพูดสิ่งใด มิเห็นหรือ ว่าขุนเพลิงเขาพาหนุ่มรูปงามมาด้วย มิแคล้วเป็นคนรักกระมัง” เสียงซุบซิบจากเหล่าสตรีที่นั่งไม่ห่าง ทำเอาเพลิงกฤษฎ์และสายธารถึงกับสำลักอาหาร
“แค่กๆ อะฮึ่ม”
“แคก มิ มิใช่ขอรับ ข้าเป็นเพียงคนอาศัยในเรือนท่านขุนเท่านั้น มิใช่คนรักของท่านขุนหรอกขอรับ” สายธารรีบโบกไม้โบกมือปฏิเสธ หากวันหน้ามิมีสตรีมาชอบพอกับท่านขุน คุณหญิงนวลจันทร์คงได้ฆ่าเขาเป็นแน่
“หึ! ใช่ เขาเป็นแค่กาฝากมาอาศัยที่เรือนของข้าเท่านั้น มิใช่คนรักอย่างที่เข้าใจดอก” ว่าแล้วก็ทำท่ากระฟัดกระเฟียดราวกับไม่พอใจ เด็กหนุ่มถึงกับเกาหัวด้วยความงุนงง ต้องเป็นเขาที่ไม่พอใจมิใช่หรือไรกัน ครั้นก้มลงมองน้องชาย ก็สนใจแต่อาหาร ครั้นหันไปมองสองหนุ่มที่นั่งร่วมโต๊ะ พวกเขาก็เพียงส่งยิ้มแห้งมาให้
เอาอกเอาใจยากเสียจริงนะคุณเพลิง เห้อ~
