8.ใจปลาซิว
“…พ่อเป็นผู้ใดก็ไม่รู้ บ้านช่องก็ไม่มี ข้ามิยอมให้แต่งกับพ่อเพลิงเด็ดขาด”
ปัง! ฝ่ามือใหญ่ตบลงบนโต๊ะเสียงดังลั่น ใบหน้าแดงก่ำของคุณเดช ทำเอาบ่าวไพร่ที่เห็นต้องก้มหน้าหลบหลีก สายธารเองก็ตกใจไม่น้อย หันไปมองผู้เป็นมารดาและน้องชายก็มีท่าทีไม่ต่างกัน
“คุณเดชใจเย็นลงก่อนเถิด” คุณหญิงผกาว่า พลางโอบกอดบุตรชายคนเล็กไว้ในอ้อมอก
“คะ คุณลุงขอรับ เรื่องนี้อย่าให้เป็นเรื่องใหญ่เลย ตัวข้ามิได้มีเจตนาจะทำให้ตนเองหรือคุณเพลิงเสียหาย อย่างไรก็ให้เลิกแล้วต่อกันเถิดขอรับ”
“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร พ่อธารเสียหายไปแล้ว คุณหญิงผกาช่วยข้าตัดสินใจทีเถิด ว่าจะเอาอย่างไรดีกับเรื่องนี้” คุณหญิงผกาคิดหนัก แน่นอนว่าบุตรชายของนางย่อมเสียหาย แต่หากบังคับให้คุณเพลิงตบแต่งกับพ่อธาร บุตรชายของนางคงมิแคล้วเป็นเมียชังไปทั้งชีวิต สู้ให้อับอายผู้คนเสียยังดีกว่า ทำให้ลูกไม่เป็นสุขใจ
“คุณแม่ขอรับ เรื่องนี้ข้าขอออกความเห็นเถิดขอรับ”
“เช่นนั้นลูกคิดเห็นอย่างไร”
“ทำราวกับเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นเถิดขอรับ ตัวข้าบริสุทธิ์ใจ ทั้งเรื่องที่พาคุณเพลิงไปดื่มเหล้า และเรื่องที่ช่วยประคองบนเรือ ล้วนเป็นเพียงความห่วงใยประสาคนรู้จักเท่านั้น”
“…”
“มิใช่ความรักใคร่อย่างที่ทุกคนคิด ทั้งข้าเองก็เป็นชาย มิจำเป็นต้องให้ใครมารับผิดชอบ” เพลิงกฤษฎ์ได้ยินดังนั้นก็เสียหน้าไม่น้อย นอกจากอีกฝ่ายจะไม่เรียกร้องอันใด ยังเอ่ยว่าตนเองมิได้รักใคร่เขาอีก ทั้งที่ห่วงใยเขาถึงเพียงนั้น
“หึ! ในเมื่อพ่อธารมิต้องการอันใดก็ดี ข้าเองก็มิอยากจะแต่งเจ้ามาเป็นเมียดอก อยู่ด้วยรังแต่จะมีเรื่องให้ปวดหัว ขอเพียงอย่ามาเรียกร้องในภายหลังก็แล้วกัน”
“เหอะๆ ข้าไม่เรียกร้องแน่ แต่งกับคุณเพลิง ข้าก็คงต้องหูดับ เพราะฟังคำด่าของคุณเพลิง บุรุษปากร้าย!” ว่าไปก็กลอกตา ทำท่ารังเกียจรังงอน
“หูเจ้าจะดับเพราะเสียงตนเองต่างหาก พูดจามากความ ราวกับผีเจาะปากมาพูด ข้าคร้านจะพูดกับเจ้าเสียจริง”
“คร้านจะพูดก็-”
“พอๆ หากพวกเจ้าไม่หยุดเถียงกัน คงเป็นข้าที่หูดับ” คุณหญิงของเรือนทนฟังการโต้เถียงของทั้งสองไม่ไหวจึงได้เอ่ยห้าม
“ขออภัยขอรับคุณหญิงนวลจันทร์”
“หากไม่มีกระไรแล้ว ข้าขอตัวพาลูกกลับหอนอนก่อนนะเจ้าคะ” คุณหญิงผกาว่าขึ้น ก่อนจะพยักหน้าให้บุตรชายทั้งสองเดินตาม
หลังจากที่กลับมาถึงหอนอน สายธารก็โดนดุอีกครา ทั้งยังถูกสั่งห้ามมิให้ออกไปที่ใดเป็นเวลาห้าวัน กระทั่งจะไปเดินเล่นรอบเรือนก็ไม่ได้
เด็กหนุ่มจึงเกิดอาการเบื่อหน่ายอย่างเห็นได้ชัด วันแรกๆ บ่าวไพร่ก็หาการละเล่นมาให้เล่น บางวันคุณแม่ก็สอนการบ้านการเรือน บางวันสายธารก็ไปเดินเฉียดๆ คุณหญิงนวลจันทร์ให้โดนด่าเล่น
แต่วันนี้ทั้งคุณแม่ของเขา และคุณหญิงนวลจันทร์ ต่างลงไปคุมบ่าวไพร่ที่โรงครัวกันหมด
“พี่ปริก เหตุใดคุณแม่กับคุณหญิงนวลจันทร์จึงญาติดีกันได้เล่า”
“คงเพราะคุณหญิงนวลจันทร์อยากให้คุณหญิงผกา ช่วยจัดขนมมงคลเจ้าค่ะ เรื่องนี้คุณผกาเธอเชี่ยวชาญนัก”
“งั้นหรือ แล้วเหตุใดต้องจัดขนมมงคลด้วยเล่า เรือนเราจะมีงานหรือ”
“เห็นว่าจะส่งไปให้เรือนหลวงพิชิตเจ้าค่ะ คุณหญิงนวลจันทร์เห็นสภาพท่านขุนแล้วคงจะปวดใจ เลยอยากจะทำให้เรือนนั้นรู้ว่าทางเรามิพอใจที่หักหน้ากัน” ในหมู่คุณหญิงคุณนายต่างรู้ ว่าคุณบัวผันและขุนเพลิงเป็นคู่รัก แต่ทางนั้นกลับกล้าหักหน้ากันเสียได้
“อ่อ เหมือนเป็นการประชดประชันใช่หรือไม่พี่ ทำราวกับว่ายินดีที่มิได้คุณบัวมาเป็นสะใภ้”
“คงจะทำนองนั้นเจ้าค่ะ”
“คิดไปคิดมา ก็สงสารคุณเพลิงเนอะพี่ ทั้งที่รักกันมาก่อนแท้ๆ” สายธารเห็นสภาพเมามายของอีกคน ก็ได้แต่ถอดถอนหายใจ นับตั้งแต่พูดคุยกันวันนั้น คุณเพลิงก็ทำอยู่เพียงสองอย่าง คือทำงานกับดื่มเหล้า ขนาดว่าคุณลุงกับคุณหญิงนวลจันทร์ไปขอร้อง ก็ไม่เป็นผล
“เจ้าค่ะ คงปวดใจน่าดู นี่มิรู้ว่าจะไปงานแต่งหรือไม่”
“เห้อ ช่างเขาเถิด เรามาหาอะไรทำกันเถอะ ข้าซื้อผ้ามา” ว่าแล้วสายธารก็ไปรื้อเอาผ้าที่ซื้อจากตลาดมาดู เขาคิดจะลองตัดชุดใส่ แต่มันคงจะใช้เวลานาน ทั้งเขายังไม่ได้ได้ออกแบบไว้
“คุณพี่ ทำกระไรอยู่หรือขอรับ ข้าเข้าไปได้หรือไม่”
“เข้ามาสิพ่อพนัส พี่กำลังจะทำผ้าโพกผม”
“เป็นอย่างไรหรือขอรับ” เจ้าพนัสเข้าไปนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงหน้า คอยมองว่าพี่ชายทำสิ่งใด
สายธารเลือกผ้าสีเหลืองอ่อน ให้เข้ากับชุดที่ใส่วันนี้ โดยใช้ผ้าที่เบาบางตัดเป็นแถบผ้า กว้างหนึ่งศอก ยาวสามศอก เพราะเขาต้องการจะปล่อยชายผ้าให้ยาวหน่อย
คุณพนัสและนางปริกจึงกลายมาเป็นผู้ช่วย คอยจับผ้าให้สายธารตัดได้สะดวกขึ้น
“เสร็จแล้ว สวยหรือไม่พ่อพนัส” สายธารเย็บเก็บขอบผ้าที่ตัด ก่อนจะยื่นให้น้องชายดู ในชีวิตก่อน ที่บ้านของเขาเป็นร้านตัดเย็บ พอเข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ เขาเองก็เลือกเรียนวิทยาลัยที่เกี่ยวกับ การออกแบบและตัดเย็บเสื้อผ้า จึงได้มีความรู้เรื่องนี้อยู่พอตัว
“สวยขอรับ”
“ฮ่าๆ เจ้าเด็กนี่ พี่เพียงเย็บขอบผ้า เจ้าก็ชมว่าสวยเสียแล้ว ประเดี๋ยวพี่จะลองผูกผมให้เจ้าดู” ว่าแล้วสายธารก็วางผ้าลงกับพื้น รวบผ้าเข้าด้วยกันตามแนวยาว ก็จะได้ผ้าที่ยาวสามศอกมา ก่อนจะเอาไปคาดไว้บนผมสั้นสลวยของตน และผูกเข้าหากันไว้ด้านหลัง จัดทรง บิดไปมาเล็กน้อย หมุนให้ชายผ้าที่เหลือจากการมัดมาพาดไว้บนไหล่
“งามนักขอรับคุณพี่ ราวกับคุณพี่มีผมยาวเลย”
“งามเจ้าค่ะคุณธาร ถึงจะแปลกๆ ไปบ้าง แต่งามยิ่งนัก”
“ฮ่าๆ คงจะไม่คุ้นตา เอาเป็นว่าข้าทำให้พี่ปริกกับพ่อพนัสด้วยดีกว่า” ว่าแล้วสายธารก็ตัดผ้าสีอื่นมาทำบ้าง ครานี้เลือกตัดเย็บผ้าโพกหัวสำหรับเด็กผู้ชาย ทั้งแบบคาดเปิดหน้าผากและแบบถักผ้าคาดกลางหน้าผากราวกับนักมวย
“แอ้ แอ่ แอ้ แอ่ ข้าเหมือนนักมวยแล้วหรือยังขอรับ”
“ฮ่าๆ เหมือนแล้ว” เสียงหัวเราะของสองนาย หนึ่งบ่าวดังไปทั่วเรือน แม้คนอื่นจะฟังแล้วไม่ได้เป็นเดือดเป็นร้อนอันใด แต่มิใช่กับคนที่กำลังทุกข์ใจเช่นเพลิงกฤษฎ์
“อ้ายจั่น เอ็งไปบอกให้พ่อธารเงียบเสียง ข้ามิมีสมาธิทำงาน!”
“ขอรับท่านขุน” อ้ายจั่นจำใจต้องทำตาม แม้เขาจะรู้อยู่แก่ใจ ว่าที่ท่านขุนไม่มีสมาธิในการทำงาน มิได้เป็นเพราะคุณธาร
“คุณธารขอรับ ท่านขุนขอให้คุณธารเบาเสียงลงหน่อยขอรับ ท่านจะทำงาน” อ้ายจั่นยิ้มแห้งไปให้เด็กหนุ่ม
“อ่าว เสียงดังไปหรือ ฝากขอโทษท่านขุนของพี่ด้วย ข้าจะเบาเสียงให้” แม้จะรับปากไปเช่นนั้น แต่เสียงก็ไม่ได้เบาลงจากเดิมสักเท่าใดนัก จนอ้ายจั่นได้เดินมาบอกครั้งแล้วครั้งเล่า
“ว่าอย่างไร!”
“เอ่อ คุณธารบอกจะเบาเสียงให้ขอรับ”
“รำคาญหูยิ่งนัก พวกนั้นทำกระไรกันจึงได้เสียงดังเช่นนี้” เพลิงกฤษฎ์วางงานลง เพราะอย่างไรก็ไม่มีสมาธิที่จะทำ
“เห็นว่าทำผ้าโพกผมขอรับ บ่าวได้มาชิ้นหนึ่ง” คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน ก่อนจะหยิบผ้ามาดู รูปร่างก็ประหลาด ชื่อก็ไม่คุ้นหู
“มันใช้อย่างไรวะ”
“คุณธารเธอบอกว่าใช้โพกได้หลายแบบขอรับ บ่าวเห็นที่คุณธารโพกอยู่ งามยิ่งนักขอรับ”
“…”
“ท่านขุนอยากได้หรือไม่ขอรับ บ่าวจะไปขอมาให้” เห็นว่านายถือผ้าไม่ปล่อย ทั้งยังมีท่าทีสนใจ อ้ายจั่นจึงได้เอ่ยถามขึ้น
“มะ ไม่! ข้าจะเอาเศษผ้าพวกนี้ไปทำกระไร เอาคืนไป แล้วเอ็งไปเอาเหล้ามาให้ข้าด้วย” ท่าทีกระฟัดกระเฟียดของผู้เป็นนาย ทำเอาอ้ายจั่นถึงกับเกาหัว อยู่ๆ เขาก็โดนเอ็ดเสียอย่างนั้น เห้อ~
ตกเย็นบ่าวไพร่ก็พากันมาจัดเตรียมสำรับขึ้นโต๊ะ วันนี้นายของเรือน ต่างก็พากันมาทานมื้อค่ำร่วมกัน แต่บรรยากาศก็น่าอึดอัดสำหรับสายธารเช่นเดิม จวบจนทานมื้อค่ำเสร็จ เจ้าของเรือนก็เอ่ยเรื่องน่าหนักใจขึ้น
“เรื่องที่เขาเชิญไปร่วมงานแต่งอีกสี่วันข้างหน้า จะไปกันหรือไม่”
“ข้าไปขอรับคุณลุง” เพราะคุณเดชมิได้ขานชื่อว่าถามผู้ใด สายธารที่อยู่แต่ในหอนอนมาหลายวัน จึงรีบตอบรับทันที
“มิได้ถามเจ้า สอดมิเข้าเรื่อง!” ยังคงเป็นคุณหญิงนวลจันทร์คนดีคนเดิมที่เอ่ยขัดสายธาร แต่ครานี้มีคุณหญิงผกาช่วยปรามลูกชายด้วยอีกคน
“พ่อธาร”
“เหตุใดเล่าขอรับ คุณลุงมิได้ขานชื่อ-” ยังไม่ทันที่สายธารจะกล่าวจบประโยค ขุนเพลิงก็พูดแทรกขึ้นมา
“ผู้ใดจะไปก็ไปเถิดขอรับ ข้าจะอยู่เรือนทำงานที่ค้างคา”
“ตัวก็ใหญ่ ใจปลาซิว” สายธารตั้งใจรำพึงรำพันออกมาให้เพลิงกฤษฎ์ได้ยิน
“สายธาร! ชักจะมากเกินไปแล้ว” คนถูกว่าหันขวับ จดจ้องคนตัวเล็กด้วยสายตาแข็งกร้าว คุณหญิงนวลจันทร์เห็นดังนั้น ก็คิดจะว่ากล่าวตักเตือนสายธารด้วยอีกคน แต่กลับถูกสามีห้ามปรามเอาไว้ จึงทำได้เพียงนั่งฟังนิ่งๆ
“ข้าพูดผิดหรือขอรับ”
“เจ้ามิรู้ตื้นลึกหนาบาง อย่ามาพูดเรื่องนี้”
“ขอรับ ข้าไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง แต่ข้ารู้ว่าหากคุณเพลิงไม่ไปงานแต่งของคุณบัวผัน คุณเพลิงจะถูกมองว่าเป็นคนอ่อนแอ น่าสงสาร ทำใจมิได้ ถึงขั้นเสียมารยาทไม่ไปตามคำเชิญ” คุณหญิงนวลจันทร์เผลอพยักหน้าให้กับคำพูดของสายธาร
“…”
“อ่อ แล้วถ้าไปในสภาพนี้ก็ไม่รอดนะขอรับ น่าเวทนากว่าเดิม”
“เจ้า!”
“เห้อ~ พูดไปคงเสียน้ำลายเปล่า” สายธารแสร้งถอนหายใจอย่างดูถูกดูแคลน
“ข้าจะไปด้วยขอรับคุณพ่อ ขอคุณแม่เตรียมชุดที่ต้องใส่ให้ข้าด้วย” ว่าแล้วคุณเพลิงก็เดินจ้ำอ้าวออกไป ลำบากอ้ายจั่นต้องรีบวิ่งตามนาย
“หึๆ ขอบใจพ่อธารมาก ที่ช่วยพูด”
“มิเป็นไรขอรับคุณลุง แต่ข้าขอรางวัลสำหรับผู้ทำดีได้หรือไม่ขอรับ ขอข้ากับพ่อพนัสออกไปเที่ยวที่งานด้วยนะขอรับ”
“นั่นปะไร ทำดีหวังผล” คุณหญิงนวลจันทร์ใช้พัดตบเข่าตนเอง
“โถ่ คุณหญิงขอรับ เรื่องที่ข้าต้องการมิได้หนักหนาอันใด แลกกับการที่ไม่ทำให้คุณเพลิงถูกนินทาว่าไร้มารยาท ไม่ไปงานแต่งของเจ้าพระยา ก็คุ้มค่านะขอรับ”
“…อืม ก็คุ้มอยู่หรอก” เมื่อได้รับคำตอบจากคุณหญิงนวลจันทร์ สายธารก็กระโดดโลดเต้นเสียใหญ่โต จนคุณหญิงผกาต้องเอ่ยตักเตือน
