บท
ตั้งค่า

10.หาเงินเช่าเรือน

“กินข้าวบนเรือน ก็อย่าขี้รดบนหลังคาเช่นแม่เจ้าล่ะ”

“หัดแต่งเนื้อแต่งตัวให้มิดชิดเสียบ้าง รักนวลสงวนตัว อย่าใจง่ายอย่างแม่เจ้า”

“เมื่อใดจะรีบตบแต่งออกไปเสีย จะได้เอาแม่กับน้องไปอยู่ด้วย” คำพูดมากมายที่สายธารจะต้องได้ยินทุกวัน ตลอดสองเดือนที่ผ่านมา ช่วงแรกๆ เขาก็พอจะคิดว่าเป็นเรื่องตลกขบขันได้อยู่หรอก แต่นานวันเข้ามันก็เริ่มจะไม่ไหว

“เห้อ~ เหตุใดเราต้องอยู่ที่เรือนนี้ด้วยหรือพี่ปริก” คนถามนอนแผ่นราบไปกับเตียงนอน วันนี้เขาก็โดนคุณหญิงกระแนะกระแหนเช่นเคย ทั้งยังว่ากระทบคุณแม่ของเขาอีก

“บ่าวเองก็มิเคยได้ถามคุณผกาเจ้าค่ะ คุณเธอเอ่ยเพียงว่าให้อดทนไปก่อน”

“เราไปซื้อเรือนอยู่ที่อื่นดีหรือไม่พี่ปริก”

“ก็คงจะดีเจ้าค่ะ แต่ราคาค่าที่ก็หลายบาทนะเจ้าคะ”

“นั่นสินะ คุณแม่ก็มิได้ทำงาน ข้าเองก็มิได้ทำ เงินทองคงจะหวังพึ่งเพียงเรือนของคุณลุงเป็นแน่”

“บ่าวได้ยินจากพี่ปุกว่า คุณหญิงผกาได้เงินจากที่คุณนพทิ้งไว้ให้ ติดตัวมาด้วยเจ้าค่ะ” นางปริกป้องปากพูด

“แต่นี่ก็ผ่านมากว่าหกปีแล้ว ตั้งแต่คุณพ่อจากไป เงินทองที่ได้มาคงจะร่อยหรอลงมากแล้วกระมัง คุณแม่จึงต้องทนอยู่ที่เรือนนี้” พวกเขามาอยู่ที่นี่ตั้งแต่ สายธารอายุได้เพียงสิบสองขวบปี แต่นี่เขาอายุได้สิบแปดขวบปีแล้ว

“คงจะเป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะ” เมื่อได้รับคำตอบจากบ่าว สายธารก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ หากจะให้ทนอยู่มันก็อยู่ได้ แต่สภาพจิตใจคงจะหม่นหมองลงทุกวัน ไม่แน่ว่าอยู่ในสังคม toxic ตัวเราก็จะกลายเป็นคน toxic ไปด้วย ยิ่งช่วงนี้พ่อพนัสกำลังอยู่ในวัยเรียนรู้ ยิ่งน่าเป็นห่วงเข้าไปใหญ่

“เห็นทีข้าต้องเก็บเงินไว้เช่าเรือนเสียแล้ว”

“แล้วจะเก็บเงินจากที่ใดเล่าเจ้าคะ”

“พี่ปริกคิดว่า ฝีมือตัดเย็บและปักผ้าของข้า พอจะขายได้หรือไม่” สายธารหันไปถาม และรอคำตอบอย่างคาดหวัง

“ฝีมือดีอย่างคุณธาร อย่างไรก็ต้องขายได้เจ้าค่ะ แต่หากทำเสื้อผ้าส่วนมากจะมีเพียงคุณหญิงคุณนายที่ซื้อนะเจ้าคะ”

“อืม จริงอย่างพี่ว่า แต่ข้าจะลองดูก่อน เพราะข้าเองก็ทำเป็นอยู่อย่างเดียว”

“หากคุณธารว่าเช่นนั้น บ่าวจะช่วยอีกแรงเจ้าค่ะ บ่าวก็ไม่อยากให้คุณคุณต้องมาทนกับคำว่าร้ายเหล่านั้นอีกแล้ว”

“ขอบใจมากนะพี่ปริก ข้าว่าเราเริ่มจากเอาผ้าที่เหลืออยู่มาดูกันเถอะ”

สองนายบ่าววุ่นวายอยู่กับการเลือกผ้ามาใช้ตัดเย็บ สายธารตัดสินใจจะใช้งานทำบุญเรือนที่จะถึง เป็นสถานที่ในการโฆษณาสินค้าของเขา เริ่มจากสไบพาดไหล่สำหรับสตรีและอัญญะ

“งานทำบุญเรือนที่ว่า เป็นงานใหญ่หรือไม่พี่ปริก”

“ใหญ่พอควรเจ้าค่ะ คุณเดชมีคนรู้จักมากมาย จึงมักจะเชิญมาสังสรรค์กันในรอบปี เพราะปีหนึ่ง จะจัดงานทำบุญเพื่อเสริมสิริมงคลหนึ่งคราเท่านั้น”

“แล้วจะจัดเมื่อใด”

“อีกครึ่งเดือนเจ้าค่ะ”

“แค่ครึ่งเดือนหรือ! เช่นนั้นก็ต้องเร่งแล้วพี่ปริก” สายธารกระตือรือร้นมากกว่าเดิม จัดการคัดแยกผ้าให้ไว้เป็นกอง ตามเนื้อผ้า โดยเด็กหนุ่มจะเลือกเพียงผ้าที่มีเนื้อไม่หนา หรือบางจนเกินไป

แต่ดูแล้วผ้าที่ซื้อมาจะเป็นผ้าที่มีสีเรียบเสมอกันหมด เขาอยากได้ผ้าที่มีการไล่สี หรือไม่ก็เป็นสีเข้มบ้างอ่อนบ้างตามลายผ้า คงต้องทำผ้ามัดย้อมเองเสียแล้ว

“พี่ปริก พี่คัดเลือกผ้าที่มีสีอ่อนออกมา แยกสีขาวไว้อีกที่ด้วยนะ” ว่าแล้วทั้งสองก็ทำการคัดแยกผ้า นางปริกที่พึ่งจะเคยเห็นผู้เป็นนายจริงจังกับงานก็นึกทึ่งอยู่ไม่น้อย เพราะทุกทีคุณธารมักจะติดเล่นเป็นเด็กๆ

สายธารเริ่มจากการวัดขนาดตัวของมารดาเป็นบรรทัดฐาน เพราะคุณแม่ของเขาเป็นคนรูปร่างสมส่วน แต่ก็เจ้าเนื้อพอตัว

เมื่อวัดได้ตามขนาดที่ต้องการแล้ว มือเล็กจึงค่อยๆ เย็บเก็บขอบให้เรียบร้อย เพียงแค่การตัดและเย็บเก็บขอบสไบสิบห้าผืน สายธารกับนางปริกก็ใช้เวลาทั้งวัน พ่อพนัสที่แวะเวียนมาเล่นกับพี่ชายก็ต้องคอตกกลับไป

“พ่อธาร วันนี้ลุงมิเห็นหน้าคร่าตามาทั้งวัน ทำอันใดกันอยู่หรือ” คุณเดชเอ่ยถามขึ้นระหว่างที่กำลังนั่งสนทนากับบุตรชาย

“ข้ากำลังเตรียมผ้าจะทำสไบขอรับคุณลุง”

“หืม พ่อธารของลุงตัดเย็บเป็นด้วยหรือนี่”

“เป็นสิขอรับ มิได้ทำเป็นเพียงตัดเย็บนะขอรับ วันพรุ่งข้าจะย้อมผ้าเองด้วย เอาไว้ข้าจะทำให้คุณลุงสักผืนดีหรือไม่ขอรับ” สายธารเดินเข้ามานั่งพูดคุยกับเจ้าของเรือนด้วย

“เจ้าจะให้คุณพ่อห่มสไบหรือไร พูดจามิรู้จักคิด” เสียงทุ้มดังขึ้น พร้อมกับประโยคที่ไม่เป็นมิตร แต่สายธารก็ตอบโต้สิ่งใดมากไม่ได้ ทำได้เพียงเมินเฉย แล้วพูดกับผู้เป็นลุงต่อเท่านั้น

“ของคุณลุง เอาเป็นผ้าเช็ดหน้าดีหรือไม่ขอรับ ข้าจะปักลายลงไปด้วย”

“ฮ่าๆ ขออย่าเอาสีฉูดฉาดเป็นพอ หากว่ายังพอมีเวลาก็ทำให้พี่เจ้าด้วยเถิด พ่อเพลิงอยากได้สีอย่างไรก็บอกน้องไปเสียสิ” คุณเดชเห็นสีหน้าบึ้งตึงของบุตรชายที่ถูกเมินก็นึกขำ ดูที หน้านิ่วคิ้วขมวดไปหมดแล้ว

“ข้ามิอยากได้ขอรับคุณพ่อ ของไร้ราคา ไร้-”

“เช่นนั้นข้าไปเตรียมตัวก่อนนะขอรับคุณลุง หากทำเสร็จแล้ว ข้าจะนำมาให้” ว่าแล้วสายธารก็เดินออกจากที่ตรงนั้น ปล่อยให้คนที่ถูกพูดแทรกอ้าปากค้าง มองตามแผ่นหลังบางไปจนสุดสายตา

“คุณพ่อดูเอาเถิดขอรับ นับวันยิ่งไม่เห็นหัวข้า”

“พ่อเพลิงก็อย่าได้พูดจากถากถางพ่อธารนักเลย หากพูดดีด้วย มีหรือพ่อธารจะไม่ตอบกลับด้วยวาจาน่าฟัง พ่อเห็นเขาก็พูดกับบ่าวไพร่ไพเราะนัก” คุณเดชว่า พลางยกตำราขึ้นมาอ่าน เพลิงกฤษฎ์จึงทำได้เพียงถอนหายใจเฮือกใหญ่เท่านั้น

หากวันใดคุณพ่อไม่อยู่เรือน เขาจะสั่งสอนเสียให้หลาบจำ

เช้าวันนี้สายธารกระตือรือร้นเป็นพิเศษ เพราะเขาจะต้องทำการย้อมสีผ้า หลังจากทานอาหารมื้อเช้าเสร็จ คุณลุงกับคุณหญิงนวลจันทร์ก็ไปดูกิจการที่ค้าขายกับชาวต่างชาติ ส่วนคุณแม่ของสายธารก็ไปฟังเทศน์ฟังธรรมที่วัด

“พี่ทับ พี่ปริก เอาวางไว้ตรงนี้เลยจ้ะ” ร่างเล็กสวมโจงกระเบนรั้งผ้าสูงขึ้นเหนือเข่า เสื้อที่ใส่ก็เป็นสีทึบ เพื่อความสะดวกในการทำงาน

“ได้เจ้าค่ะคุณธาร” สายธารให้บ่าวไพร่ของตนเตรียมหม้อขนาดใหญ่พอควร มาตั้งไฟรอจนน้ำเดือด ระหว่างนั้นสายธารกับน้องชายก็นำผ้าสไบและผ้าเช็ดหน้าที่เตรียมไว้มามัดด้วยด้าย เพื่อให้หลังจากที่ย้อมเสร็จจะได้เกิดลวดลายขึ้น

“น้ำเดือดแล้วเจ้าค่ะคุณธาร”

“เดือดแล้วหรือ พ่อพนัสหยิบเกลือให้พี่ที การทำผ้ามัดย้อมเราต้องใส่เกลือลงไปก่อน เพื่อให้ผ้าติดสีนานและมีสีสดขึ้น” สายธารหยิบเกลือมาใส่หม้อ ก่อนจะตามไปด้วยดอกอัญชัน เพราะหม้อแรกเขาจะทำเป็นสีฟ้าอมม่วงก่อน

“ถ้าได้สีตามที่ต้องการแล้ว เราก็จะใส่ผ้าที่เราเตรียมไว้ลงไปได้เลย”

“เหตุใดวิธีการมัดผ้าจึงไม่เหมือนกันเจ้าคะ”

“มัดต่างกัน ก็จะได้ลายผ้าที่ต่างกันไปด้วย แต่จะเป็นลายแบบใด ข้าอธิบายไม่ถูก พี่ต้องรอตอนแห้งเสียก่อน”

“แล้วเมื่อใดจะทำเสร็จหรือขอรับคุณพี่” เด็กน้อยนั่งคอยอย่างใจจดใจจ่อ

“อีกประเดี๋ยว รอให้พี่พลิกผ้าให้ทั่วถึงเสียก่อน” ว่าแล้วสายธารก็ทำการพลิกผ้าสไบที่นำไปต้ม รออยู่ชั่วครู่ ผ้าหลายผืนก็ถูกนำขึ้นมาจากหม้อ แล้วร่างอ้อนแอ้นจึงให้บ่าวไปเปลี่ยนน้ำ เพื่อที่จะย้อมผ้าสีอื่นกันต่อ

ส่วนผ้าที่เอาขึ้นมาจากหม้อแล้วก็ทิ้งไว้ให้เย็นสักพัก แล้วจึงนำผ้าไปขยี้กับน้ำปูนใสที่เตรียมเอาไว้

“ข้าช่วยขอรับคุณพี่”

“ได้สิจ๊ะ พ่อพนัสของพี่ขยี้เบาๆ เช่นนี้ พี่ปริกอย่าลืมพลิกผ้าด้วยเล่า” มือขยี้ผ้าไป ปากก็ออกคำสั่งกับบ่าวไปด้วย

“เสร็จแล้วทำอย่างไรต่อขอรับ”

“หากเสร็จแล้วก็แกะด้ายออกได้เลย มานี่มา พี่จะทำให้ดู” ใบหน้าสดใสยิ้มกว้าง ขณะกำลังแกะด้ายที่ใช้มัด เมื่อแกะออกมาแล้ว ก็คลี่ผ้าออก เผยให้เห็นลวดลายที่งดงาม บ้างก็เป็นลายดอกไม้ ใบไม้ บางผืนก็มีการไล่สีกันอย่างสวยงาม

“สวยงามยิ่งนักขอรับคุณธาร ขนาดว่าบ่าวเป็นชาย ไม่สันทัดเรื่องพวกนี้ ยังรู้สึกอยากได้เลยขอรับ” อ้ายทับเอ่ยชมออกมาจากใจ

“ฮ่าๆ ประเดี๋ยวข้าจะแบ่งผ้าเช็ดหน้าให้ เป็นค่าแรง อยากทำลายเองหรือไม่เล่า”

“บ่าวก็ทำได้หรือขอรับ”

“ทำได้สิ พ่อพนัสตัวน้อยยังทำได้เลย” เสียงพูดคุยหัวเราะทำให้ บ่าวไพร่ในเรือนที่ทำหน้าที่เสร็จสิ้น แวะมาดูว่าคุณธารทำสิ่งใด บ้างก็มาช่วยทำ บ้างก็มายืนดู อย่างอ้ายจั่นก็แวะเขามาถามไถ่ว่าทำสิ่งใด ก่อนจะวิ่งแจ้นไปบอกผู้เป็นนาย

“มาแล้วขอรับๆ คุณธารกำลังย้อมผ้าขอรับท่านขุน”

“ย้อมผ้าหรือ” หรือจะเป็นผ้าที่บอกว่าจะทำให้คุณพ่อ

“ขอรับ ลวดลายงดงามยิ่งนักขอรับ เห็นว่าใกล้จะเสร็จแล้ว เหลือเพียงตากให้แห้งขอรับ”

“ใกล้เสร็จแล้วอย่างนั้นหรือ”

“ขอรับ เห็นว่ากำลังเก็บของกันแล้ว รอผ้าแห้งก็จะนำมาปักต่อขอรับ”

“อืม” เพลิงกฤษฎ์รู้ดังนั้น ก็หันมาสนใจงานที่อยู่ตรงหน้าต่อ หากว่าส่วนนี้เสร็จจะลงไปดูเสียหน่อย ที่ว่างามนั้นจริง หรือว่าอ้ายจั่นมันตาถั่วกันแน่

ทว่านั่งทำงานต่อได้ไม่นาน ร่างสูงก็ต้องลุกพรวดพราดลงเรือนไป

“โอ๊ย! ร้อนๆ ฮื่อ” เสียงหวานร้องดังขึ้น จนคนที่จดจ่ออยู่กับการทำงานต้องรีบวิ่งลงไปดู

“เกิดอันใดขึ้น!”

“คุณธารเจ้าค่ะ คุณธารโดดน้ำร้อนลวก ผิวแดงเถือกเลยเจ้าค่ะ”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel