2.เรื่องราวของกาฝาก
“…จักสร้างความวุ่นวายไปถึงเมื่อใด ไอ้กาฝาก”
“เอ่อ ว่าหนูหรอคะ หนูแค่จะตามหาเพื่อนค่ะ” เด็กหนุ่มงงเป็นไก่ตาแตก เขากำลังตามหาเพื่อนอยู่ ไม่ได้เข้าไปยุ่งกับคุณป้าหน้าโหดนี่สักนิด
“พูดจาอันใด วิปลาสไปแล้วหรือ แล้วนี่เหตุใดจึงใส่เสื้อผ้าบางถึงเพียงนี้…หึ! คงคิดจะมายั่วยวนบ่าวชายพวกนี้กระมัง พวกอัญญะก็เป็นเสียอย่างนี้” สายธารมองสำรวจตัวเอง ก็พบว่าสิ่งที่ใส่อยู่ไม่ได้โป๊เปลือย ท่อนล่างนุ่งโจงกระเบนสีทึบ ท่อนบนก็ใส่เสื้อ แล้วยังมีผ้าคลุมอีก ไม่เห็นจะมีตรงไหนที่บาง แล้วอัญญะเป็นใครอีก เขางงไปหมดแล้วนะ
“อัญญะ อะไรคืออัญญะ แล้วป้าเป็นใครไม่ทราบ มายืนด่าคนอื่นฉอดๆ แบบนี้” ในเมื่อทำตัวเป็นป้าข้างบ้าน น้องธารคนนี้ก็จะไม่ไว้หน้า แขนเล็กจึงยกขึ้นมาเท้าสะเอว จ้องหน้าคนที่แก่กว่าอย่างไม่ลดละ
“คุณธารเจ้าขา ทำเช่นนี้มิเหมาะเจ้าค่ะ” นางปริกรีบเข้าไปห้ามปราม กลัวว่าจะทำให้คุณหญิงของเรือนต้องเกรี้ยวโกรธ จนคุณหนูของนางถูกลงโทษ
“ไร้มารยาท กิริยาต่ำ สันดานชั่ว อีปริก! เหตุใดมึงมิรู้จักสั่งสอนนายของมึง หือ! โบยสักสิบไม้เป็นกระไร”
“ขะ ขออภัยเจ้าค่ะคุณหญิง” นางปริกรีบคุกเข่า หมอบกราบลงกับพื้นอย่างสั่นกลัว
“พี่ปริกลุกขึ้นมา ไม่ต้องกลัวๆ ป้าจะมาสั่งโบยคนนั้นที คนนี้ทีไม่ได้นะ คนอื่นเขาก็เจ็บเป็น ลองโดนดูไหมล่ะ”
“ยังจะเถียงอีกหรือ เพียงเท่านี้ เจ้ายังสร้างความเดือดร้อนให้เรือนของข้าไม่พอหรืออย่างไร” มือหนาของสตรีท้วมง้างขึ้นสุดแขน หมายจะสั่งสอนเด็กหนุ่มตรงหน้าให้รู้จักที่ต่ำที่สูง
“หยุด!!! เกิดสิ่งใดขึ้น เหตุใดต้องลงไม้ลงมือ” สายธารที่กำลังตั้งท่ารับก็หันไปมองตามเสียง เห็นบุรุษสองคนนุ่งเพียงโสร่ง เปลือยท่อนบนที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม คนหนึ่งท่าทางมีอายุ แต่อีกคนยังหนุ่มยังแน่น ทั้งยังหล่อเหลาอย่างกับพวกดารานักร้อง
จากที่กำลังจะวางมวยกับคุณป้าข้างบ้าน น้องสายธารคนงามก็รีบห่อไหล่ทำทีเป็นผู้ถูกกระทำทันที
แน่ล่ะ! เห็นผู้ชายหล่อขนาดนี้ ไม่อ่อยถือว่าเสียชาติเกิด
“คุณพี่ดูเอาเถิดเจ้าค่ะ ฟื้นตื่นขึ้นมาก็วิ่งไปทั่วบ้าน ตะโกนโหวกเหวกโวยวายเสียงดัง นี่ยังไม่รวมเรื่องที่ใส่เสื้อผ้าเนื้อบาง บ่าวชายคงมองกันตาถลนแล้วกระมัง” พัดในมือถูกสะบัดกางออกด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว
“พวกมึงอยากตายหรือ!!!” คุณเดช อดีตขุนนางรั้งตำแหน่งหลวงสรเดช ผู้เป็นเจ้าของเรือนตวาดดังลั่น จนบ่าวไพร่ชายต่างก้มหน้าหลบตากันเป็นแถบ
“ลงไปเสียให้หมด อย่าให้คุณพ่อต้องอารมณ์ขุ่นมัว” ขุนเพลิงกฤษฎ์ บุตรชายคนเดียวของคุณเดชออกปากไล่
“หึ! เดือดร้อนไปทั่วเช่นนี้ เลี้ยงไว้ไม่ได้แล้วนะเจ้าคะคุณพี่” คุณเดชตวัดหางตามองภรรยา จนคุณหญิงนวลจันทร์ถึงกับสะดุ้งโหยง
“พ่อธาร อาการดีขึ้นแล้วหรือ ลุงเป็นห่วงเจ้านัก หากว่าเจ้าเป็นอันใดไป ลุงคงชดใช้ให้มารดาของเจ้ามิหมดมิสิ้น” น้ำเสียงนุ่มนวล ทำให้สายธารใจชื้นขึ้นมา อย่างน้อยคนผู้นี้ก็ไม่ได้รังเกียจเขากระมัง
“ดีขึ้นแล้วค่ะ”
“หืม เหตุใดลงท้ายคำเช่นนั้น”
“ครับ” เมื่อถูกทัก สายธารก็รีบเปลี่ยนทันที ก็เขาลงท้ายด้วยค่ะ มาตลอด เลยติดเป็นนิสัย
“…”
“เอ่อ ขอรับ” ทุกสายตาจดจ้องมาที่สายธารเป็นตาเดียว ไม่มีผู้ใดปริปากพูดออกมา ได้แต่นึกสงสัยอยู่ในใจ
เกิดสิ่งใดขึ้นกับเด็กหนุ่ม เหตุใดจึงมีกิริยาแปลกเหลือทน
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว วันพรุ่งลุงจะให้หมอมาตรวจอีกครา วันนี้ไปพักเสียเถิด อยากได้สิ่งใดก็เรียกใช้บ่าวมัน อย่างพึ่งออกมาเดินเหินเลย ตนเองพึ่งจะหายไข้…พวกเจ้าก็แยกย้ายกันเถิด” ว่าแล้วคุณเดชก็ส่งยิ้มอ่อนโยนมาให้ ก่อนจะเดินกลับออกไป ส่วนคุณหญิงนวลจันทร์ที่ไม่ได้ดังใจหวัง ก็เดินสะบัดกลับเข้าหอนอน เหลือเพียงสายธาร ขุนเพลิง และนางปริกเท่านั้น
“มองหน้าทำไมคะ สุดหล่อ”
“หึ! น่ารังเกียจสิ้นดี คิดทำร้ายตัวเอง หวังให้ข้าหันมาสนใจ” ทั้งน้ำเสียงและสีหน้าของคนพูด ทำให้สายธารรู้ว่าชายตรงหน้า เกลียดเขาจริงอย่างที่ปากว่า
“ห๊า หนูเปล่านะคะคุณพี่”
“หยุดเรียกข้าว่าคุณพี่ และอย่ามาทำไขสือ คราก่อนก็ใช้มนต์ดำ เล่นของต่ำใส่ข้า ครานี้ก็โดดน้ำเรียกร้องความสนใจ เจ้านี่มันน่าสมเพชเสียจริง”
“…”
“ข้าจะบอกให้…ต่อให้เจ้าตายตกอยู่ตรงหน้า ข้าก็มิมีทางแบ่งเสี้ยวใจของข้าไปให้เจ้า” ว่าแล้วก็ร่างสูงใหญ่ก็เดินกลับไป ทิ้งคนถูกว่าให้อ้าปากหวอ
“เป็นแม่ลูกกันแน่ๆ ปากร้ายเหมือนกันขนาดนี้ ใช่ไหมพี่ปริก”
“ชะ ใช่เจ้าค่ะ ขุนเพลิงเป็นบุตรชายคนเดียวของคุณเดชและคุณหญิงนวลจันทร์เจ้าค่ะ คุณธารจำมิได้เลยหรือเจ้าคะ”
“เห้อ~ เอาเถอะ จำอะไรไม่ได้เลย พี่ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยสิ” สายธารถอนหายใจอย่างปลงตก ดูท่าว่าทุกอย่างจะไม่ใช่ความฝัน หรือห้วงจินตนาการอะไรทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นเขาต้องรู้เรื่องราวทุกอย่าง จะได้ตั้งรับถูก ส่วนเรื่องอีกัส ก็ขอให้มันปลอดภัย อย่าให้เป็นอะไรมากเลย สาธุ~
สองนายบ่าวพากันเข้ามาในหอนอน เมื่อรู้ว่าผู้เป็นนายลืมสิ้น กระทั่งตัวเจ้าของก็จดจำมิได้ นางปริกจึงร้องไห้โฮออกมาอีกครั้ง จนสายธารต้องทำหน้าที่ปลอบ
“เรื่องเป็นเช่นนี้ บ่าวจะแจ้งกับคุณหญิงผกาอย่างไรเล่าเจ้าคะ ฮื่อ~”
“พอก่อน หยุดร้องก่อน หากว่าพี่ปริกไม่พูด แล้วหนู- แล้วข้าจะรู้ได้อย่างไร” คำต่างๆ ที่เคยได้ยินผ่านหู ถูกนำมาใช้ เพราะสายธารรู้ว่า หากพูดตามความเคยชินของตัวเอง คนที่นี่คงฟังไม่เข้าใจ
เห้อ! ทั้งที่เป็นภาษาไทยเหมือนกันแท้ๆ
“ฮึก เจ้าค่ะ บ่าวเล่าเจ้าค่ะ” เสียงสะอื้นเงียบลง แทนที่ด้วยเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับเจ้าของร่างนี้
เจ้าของร่างนี้ก็มีชื่อว่าสายธารเช่นกัน สายธารเป็นบุตรของคุณนพและคุณหญิงผกา เดิมทีอาศัยอยู่ที่เมืองชุมพร ห่างไกลจากที่นี่อยู่มากโข แต่เมื่อสายธารอายุได้เพียงสิบสองขวบปี ก็เกิดสงครามขึ้นที่เมืองชุมพร
“เดี๋ยวนะพี่ ตอนนี้พ.ศ. อะไร ไม่สิ…ตอนนี้เมืองหลวงชื่ออะไร” สายธารเปลี่ยนคำถาม เพราะถ้านางปริกบอกพ.ศ.มา เขาก็ไม่รู้หรอกว่าอยู่ในช่วงไหน
“เมืองหลวง…”
“เอาเป็นว่าที่ที่เราอยู่ คนเขาเรียกว่าเมืองอะไร”
“อ่อ เมืองกรุงเทพมหานครเจ้าค่ะ”
“รัตนโกสินทร์สินะ แล้วใครครองราชย์”
“เรื่องนี้บ่าวมิอาจรู้ได้เจ้าค่ะ รู้เพียงว่าเป็นแผ่นดินที่สอง” รู้ดังนั้น สายธารก็พยักหน้าเข้าใจ แผ่นดินที่สองที่ว่าคงหมายถึงรัชกาลที่สอง
“อืม พี่เล่าต่อเถอะจ้ะ”
“พอเกิดสงครามขึ้น คุณพ่อของคุณธารก็เข้าร่วมกับกองทัพ…” ครานั้นเมืองชุมพรมีผู้คนล้มตายมากมาย คล้อยหลังพ่อของสายธารออกจากเรือนไป ก็มีคนของเรือนคุณเดช ที่ตอนนั้นยังเป็นหลวงสรเดช มาพาตัวมารดาและสายธารออกจากเมืองชุมพร บ่าวไพร่ที่ติดตามมาก็มีเพียงสามคนเท่านั้น คือ นางปริก นางปุก และอ้ายทับ
“เป็นแค่คนมาขออาศัยนี่เอง”
“เจ้าค่ะ แต่คุณท่านของเรือนก็ดูแลพวกเราเป็นอย่างดีเลยนะเจ้าคะ”
“เพราะแบบนี้คุณหญิงนวลจันทร์กับขุนเพลิงถึงเกลียดเราสินะ”
“เดิมทีคุณทั้งสองก็มิได้จงเกลียดจงชังเราเจ้าค่ะ…” นางปริกรีบขยับเข้าไปใกล้นาย ก่อนจะกระซิบเล่าเรื่องราวความบาดหมางที่เกิดขึ้น
ครั้นตอนมาอยู่ที่นี่คราแรก คนในเรือนต่างต้อนรับขับสู้ แขกของคุณเดชเป็นอย่างดี แม้คุณเดชจะมิได้เอ่ยอธิบายสิ่งใด แต่คุณหญิงนวลจันทร์ก็เข้าใจ ทั้งยังรักใคร่สายธารราวกับบุตรอีกคน กับคุณหญิงผกาก็สนิทสนม จนกลายเป็นสหายคุยเล่นกันถูกคอ
ทว่านานวันเข้า เป็นเดือน เป็นปี ครอบครัวของสายธารก็มิย้ายออกเสียที ทำให้คุณหญิงนวลจันทร์เริ่มแคลงใจ ทั้งคุณเดชยังดูจะเกรงใจคุณหญิงผกามากเหลือเกิน จนคุณหญิงนวลจันทร์เกิดความมิพอใจขึ้น
“โอ้โห เป็นข้า ข้าก็คงหึงหวง”
“แต่ตอนนั้น คุณหญิงนวลจันทร์ก็ยังปฏิบัติกับพวกเรา เป็นอย่างดีนะเจ้าคะ ฟางเส้นสุดท้าย คงมาขาดตอนที่รู้ว่า คุณหญิงผกาตั้งครรภ์เจ้าค่ะ”
“หืม ข้ามีน้องด้วยเหรอ”
“มีเจ้าค่ะ คุณหญิงนวลจันทร์โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ก่นด่า ว่าคุณหญิงผกาพลีกายให้คุณเดชเชยชมจนตั้งครรภ์ กินบนเรือนขี้บนหลังคา คุณหญิงผกาเองก็ไม่ปฏิเสธสักคำ นับจากนั้นคุณเธอก็มีท่าทีบึ้งตึง โกรธเกลียด ทำทุกทางให้พวกเราออกจากเรือน แต่คุณเดชเธอก็ไม่เคยเอ่ยปากไล่พวกเรา” สายธารอ้าปากค้างทันที หากฟังจากที่เล่ามา คุณหญิงนวลจันทร์ก็น่าสงสารจริงๆ โดนเพื่อนกับผัวหักหลังขนาดนี้
“แล้ว…น้องชายข้าเป็นบุตรของคุณเดชจริงไหม” สายธารป้องปากพูด
“เอ่อ เรื่องนั้นบ่าวก็มิอาจรู้ได้เจ้าค่ะ”
“อืม แล้วจากนั้นล่ะ เกิดอะไรขึ้น ทำไมคุณธาร- เอ่อ ทำไมข้าถึงเป็นแบบนี้”
“เรื่องเกิดขึ้นเมื่อเดือนก่อนเจ้าค่ะ คุณหญิงนวลจันทร์ค้นเจอหุ่นดินปั้น ที่ซุกซ่อนไว้ใต้เตียงของท่านขุนเจ้าค่ะ คุณหญิงนวลจันทร์โวยวายเสียยกใหญ่ ให้คนค้นทั่วเรือนว่าผู้ใดทำของใส่ลูกชายหัวแก้วหัวแหวน และกรรมก็มาตกที่คุณธาร เพราะในหอนอนของคุณธารเองก็มีหุ่นลักษณะคล้ายกันอยู่ด้วย”
เรื่องที่คุณธารทำของใส่ท่านขุนจึงได้แดงไปทั่วคลุ้งน้ำ แม้คุณท่านจะสั่งให้ปิดเงียบเรื่องนี้ แต่ก็ไม่เป็นผล
คุณธารอับอายจนไม่กล้าก้าวออกจากหอนอน แม้เดิมทีคุณธารก็มิได้ออกไปนอกเรือนให้ผู้ใดพบเห็น แต่สายตาคนในเรือนนี่เองที่กดดันเด็กหนุ่ม จนมิกล้าแม้แต่จะออกไปทานข้าวร่วมกับผู้อื่น กระทั่งมารดาจะออกไปเยี่ยมญาติ เขาก็ไม่ยอมตามออกไปด้วย
“พอคุณหญิงผกาออกไปเพียงสามวัน คุณธาร คุณธารของบ่าวก็โดดลงบ่อน้ำหลังบ้าน จนความจำเลือนหายไปเช่นนี้ ฮึก!”
“อ่า ฆ่าตัวตายสินะ” แต่นี่ก็ไม่ใช่เหตุผลที่น้องสายธารคนนี้จะมายึดร่างของเจ้าตัว ไม่แน่ว่านั่นอาจเป็นเพียงความคิดชั่ววูบ ตอนนี้วิญญาณของเจ้าของร่างอาจจะอยากกลับเข้าร่างก็ได้ ยังไงก็ต้องหาทางคืนร่างให้กับเจ้าของ
ส่วนน้องสายธารจะยอมเป็นวิญญาณเร่ร่อนตามเวรตามกรรมเอง
ขลุก! ขลุก!
“ใครหลบอยู่ตรงนั้น ออกมานะ!” สายธารยืดตัวขึ้น เมื่อได้ยินเสียงดังมาจากด้านนอก เขากลัวว่าจะมีคนมาแอบฟัง แต่เมื่อเห็นว่าคนที่อยู่ด้านนอกเป็นเพียงเด็กชายตัวน้อยน่ารัก ที่ตัวสั่นอย่างกับเจ้าเข้า สายธารจึงโล่งใจ
“นั่นน้องชายคุณธารเจ้าค่ะ ชื่อคุณพนัส”
“อ่อ เข้ามานี่สิ คุณพนัส”
“ขะ ขออภัยขอรับ ข้าจะไม่มากวนคุณพี่อีก คุณพี่อย่าได้โกรธข้าเลย” สีหน้าหวาดกลัวของเด็กน้อย สร้างความฉงนงุนงงให้กับสายธารเข้าไปใหญ่
เรื่องอะไรอีกล่ะนี่ พี่น้องกันแท้ๆ ทำไมถึงกลัวกันได้ขนาดนี้
