ตอนที่ 3
‘หนูดาว... คิดให้ดีนะลูก แม่เข้าใจว่าไม่มีใครหรอกที่อยากจะแต่งงานหลายครั้ง แต่แม่ก็อยากให้หนูตรองดูให้ดี คุณทวิชเขาดีกับแม่กับยายมาก จะมีผู้ชายคนไหนล่ะลูกที่เขาจะมาสนใจแม่ม่ายอย่างหนู นี่มัน 2 ปีแล้วนะลูก ที่เขาเทียวไปเทียวมาแบบนี้ หนูจะไม่ลองให้โอกาสตัวเองและให้โอกาสเขาดูสักครั้งหรือลูก จะมีผู้ชายคนไหนที่จะดีกับแม่กับยายได้เท่าพ่อวิชอีกล่ะลูก’
‘ยายก็อยากเห็นหนูดาวมีความสุขนะลูก อยากให้ครอบครัวของเรากลับมามีความสุขเหมือนเดิม ยายอยากอุ้มเหลนสักครั้งก่อนที่ยายจะหมดลม หนูดาว... ลืมเรื่องที่ผ่านไปแล้วเริ่มต้นใหม่อีกครั้งเถอะลูก นะหนูดาวของยาย ครั้งนี้คงเป็นครั้งสุดท้ายที่ยายจะได้เห็นหนูแต่งงาน ขอให้ยายได้เห็นหนูมีความสุข ให้พ่อธนินเขาหมดห่วง ยายก็จะได้นอนตายตาหลับซะที’
‘รับปากแต่งงานกับพ่อวิชเถอะนะลูก ถือว่าแม่กับยายขอร้องเป็นครั้งสุดท้ายนะหนูดาว ทำเพื่อแม่กับยายอีกครั้งได้มั้ย’
น้ำตาของยายที่เอ่อคลอยามเอ่ยถึงพ่อของเธอและน้ำเสียงสั่นเครือของแม่ นั่นคือเหตุผลที่เธอตกลงปลงใจแต่งงานครั้งที่ 3 กับทวิช แม้จะไม่ได้รักเขาก็ตาม อาจเพราะว่าเธอก็อยากจะพิสูจน์ว่าเธอไม่ใช่ ‘ผู้หญิงกินผัว’ อย่างที่ผู้ชายทุกคนหวาดกลัว อย่างที่ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้มาสนิทชิดเชื้อ
แต่หากเธอรู้ว่าผลแห่งการตัดสินใจในครั้งนั้นจะทำให้มีวันนี้ เธอจะไม่มีวันยอมแต่งงานกับใครอีกแน่ จะได้ไม่มีใครต้องตายเพราะเธออีก
“พี่วิช... ดาวขอโทษ ดาวไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนี้ ฮือ... ดาวขอโทษ...”
ธนิษฐาเปล่งเสียงร้องไห้โฮ เพราะเธอรับไม่ได้อีกแล้ว เธอไม่ได้อยากเป็นเช่นนี้ ไม่อยากอยู่กับคำประณามหยามเหยียด ไม่อยากต้องอดทนต่อสายตาดูถูกดูแคลนปนรังเกียจจากญาติพี่น้องของเจ้าบ่าวที่จ้องมองมาที่เธอด้วยความแค้นเคือง จนบางครั้งเธอก็รู้สึกว่ามันเจือไปด้วยความเกรงกลัวในสิ่งที่เธอเป็นเสียด้วยซ้ำ
หยาดน้ำตาไหลอาบลงเป็นสายพร้อมกับก้อนสะอื้นที่ขึ้นมาจุกรั้งที่ลำคอ สิ่งที่เผชิญอยู่นี้ไม่ต่างจากเธอถูก ‘คำสาป’ ที่ไม่รู้เลยว่าตัวเองไปทำกรรมอะไรมา จึงทำให้การแต่งงานทั้ง 3 ครั้งต้องจบลงด้วยเจ้าบ่าวตายในวันวิวาห์ทั้ง 3 คน หรือจริงๆ แล้วเธอจะเป็นอย่างที่เขาพูดกัน
‘ผู้หญิงกินผัว’
“ดาวไม่ใช่... ดาวไม่เป็นอย่างนั้น... ฮือ... พ่อขา... ดาวไม่ได้เป็นอย่างนั้น... ฮือ...”
ธนิษฐายังคงคร่ำครวญกับตัวเองจนไม่รู้เลยว่า ณ ลานจอดรถไม่ได้มีเธออยู่เพียงผู้เดียว แต่ยังมีใครอีกคนที่ยืนหลบมุมอยู่ใต้ต้นลั่นทมใหญ่ภายในบริเวณลานวัด ใครบางคนที่มองเธอไม่ต่างจากคนในศาลาสวดศพ
ดวงตาคมเข้มฉายความร้อนแรงราวมีดวงไฟแผดเผานั้นกำลังมองมาที่เธออย่างมาดร้าย ซึ่งหากบ้านเมืองไม่มีขื่อมีแป เขาคงใช้ศาลเตี้ยพิพากษาเธอให้สมกับความผิดที่มั่นใจว่าเธอ ‘ร้ายลึก’ ไม่ได้ใสซื่อดังสิ่งที่เห็น
ทั้งหมดนั้นคือ ‘สิ่งลวง’ ที่หญิงเจนสนามอย่างเธอขยันทำเสียจนชาชิน จนกลายเป็นละครฉากหนึ่งที่เธอเล่นจริงอย่างสมบทบาทที่สุด แต่เพราะทำไม่ได้ เขาจึงต้องรอคอยผลการชันสูตรเพื่อชี้มูลความผิดของเธอเท่านั้น และรับรองว่าเธอจะได้รับการตอบแทนความผิดในครั้งนี้อย่างสาสม
เปลวไฟสีแดงโชติช่วงจากหัวจ่ายแก๊สด้านล่างพวยพุ่งขึ้นมาจนล้อมโลงสีขาวขลิบทองจนทั่ว ก่อนที่ประตูสี่เหลี่ยมกว้างเพียงพอที่จะนำพาบุคคลด้านในไปสู่สัมปรายภพจะปิดลง ดั่งเป็นสัญญาณให้รับรู้ว่าโลกแห่งความเป็นและโลกแห่งความตายได้ถูกแยกออกจากกันอย่างสิ้นเชิงแล้ว
ท่ามกลางเสียงร้องไห้ดังระงมของคนในครอบครัว กรามแกร่งต้องขบเข้าหากันแน่นจนเป็นสัน ดวงตาคมเข้มแดงก่ำจ้องมองไปยังรูปภาพหน้าศพ พยายามแล้วที่จะสะกดกลั้นหยาดน้ำตาไม่ให้รินไหลแต่ก็ทำไม่ได้ ต้องปล่อยให้ความทุกข์ละลายไปกับหยาดน้ำที่ค่อยๆ ไหลออกมา
หากเขารู้ว่าวันเวลาจะสั้นขนาดนี้ เขาจะไม่เห็นอะไรสำคัญเกินกว่าที่จะมาร่วมงานแต่งงานให้ได้ ได้เห็นหน้ากันเป็นครั้งสุดท้ายก็ยังดี อย่างน้อยที่สุดหากข้อสันนิษฐานของเหล่าญาติๆ เป็นจริง เขาก็อาจจะช่วยเหลืออะไรได้บ้าง ไม่ใช่ต้องจบสิ้นที่เมรุอย่างนี้
นิ้วมือปาดน้ำตาที่ยังคงรินไหลไม่ขาดสาย ญาติผู้พี่ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวคือรอยยิ้ม และความที่เป็นคนอารมณ์ดีอยู่เสมอจึงทำให้ที่ใดก็ตามที่มี ‘ทวิช’ อยู่ ที่นั่นจะเต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของคนรอบข้าง แต่ในวันนี้ล่ะ แม้ทวิชจะอยู่ใกล้แค่ประตูกั้น แต่เสียงรอบด้านของเขากลับกลายเป็นเสียงร้องไห้ดังระงม
“ผลชันสูตรมาแล้วนะฮาสท์”
เสียงของญาติที่เอ่ยบอกเป็นสัญญาณให้ทุกคนที่อยู่บนเมรุรีบรุดลงมาด้านล่าง เพราะอยากรู้ว่าสิ่งที่ทุกคนสันนิษฐานกับสิ่งที่เจ้าหน้าที่พิสูจน์ออกมาจะตรงกันมากน้อยเพียงใด สรุปแล้วมันคือความบังเอิญที่เจ้าบ่าวของเธอคนนั้นต้องมาตายในวันวิวาห์ทุกคน หรือมีใครจงใจให้เป็นอย่างนั้นกันแน่
