บท
ตั้งค่า

บทที่8. เกิดอะไรขึ้นมากมายจนแทบรับมือไม่ทัน

ณัชชาล้มตัวลงนอนบนเตียงหนานุ่มพลางระบายลมหายใจอย่างเหนื่อยล้า เกิดอะไรขึ้นมากมายประดังประเดเข้ามาจนแทบรับมือไม่ทัน แต่มันก็เป็นเรื่องบังเอิญอันแสนประหลาดใจที่เธอได้มาเจอกับเขา อันโตนิโอ ซิวีลิอาโน่ เธอควรจะได้ท่องเที่ยวในโรมอย่างมีความสุขกับมนตรีและกลับเมืองไทยทำงานบรรณรักษ์ของตัวเองพร้อมกับรับจ็อบเป็นผู้ช่วยนักวิจัย

แต่เปล่าเลย…การมาอิตาลี่ครั้งแรกของเธอผิดความคาดหมายไปหมดทุกอย่าง แม้เธอจะพักบ้านเดียวกับมนตรีแต่ก็มีบางอย่างที่ทำให้สัมผัสได้ถึงความห่างเหินจนใจเหงา ทั้งๆ ที่พรุ่งนี้เธอจะเดินทางกลับเมืองไทยแต่เขาก็ยังไม่มีเวลาให้เธอเลย แล้วร่างบางก็ลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว หรือว่าการบ้านเช่าของเขากับเพื่อนถูกรื้อค้นและมีคนมาตามไล่ล่าเกี่ยวกับที่เขาไม่เคยมีเวลาให้เธอ เขามักได้รับโทรศัพท์ระหว่างที่จะพาเธอออกไปเที่ยวและต้องไปอย่างยกเลิกไม่ได้ แม้ว่าเขาจะอ้างเรื่องงานหรือเรื่องเรียนก็ตามที

เสียงเคาะประตูทำให้เธอหยุดความคิดของตัวเอง มือเรียวดันแว่นตาชิดใบหน้าแล้วรีบก้าวยาวๆ ไปเปิดประตูห้องนอนที่เจ้าของบ้านจัดการให้เธอพักอาศัย ซึ่งใกล้กับห้องนอนของอลองโซ ลูกชายวัยสิบขวบที่เธอต้องดูแลเป็นการแลกเปลี่ยนที่เขาช่วยเหลือเธอ

“ค่ะ”

ร่างสูงใหญ่ในเสื้อเชิ้ตเนื้อดียืนรอด้วยใบหน้าเคร่งขรึมเขาหรี่ตามองหญิงสาวเล็กน้อยแล้วพยักหน้าเป็นเชิงเรียกให้เธอออกมา หญิงสาวปัดปอยผมที่เคลียแก้มแล้วเดินตามแผ่นหลังของเขาอย่างว่าง่าย คฤหาสน์หลังใหญ่ทำให้เธอรู้สึกว่าถ้าเดินคนเดียวคงต้องหลงเป็นแน่ แต่ในส่วนที่เป็นที่พักอาศัยก็จะอยู่ใกล้ๆ กัน

“เมื่อครู่คุณหลับอยู่หรือเปล่า” อันโตนิโอเอ่ยถามโดยไม่หันกลับมามอง

“เปล่าค่ะ” เธอส่ายหน้าทั้งที่รู้ว่าเขาไม่สนใจคำตอบเท่าไหร่นัก

มือใหญ่ผลักบานประตูขนาดใหญ่แล้วเบี่ยงตัวให้เธอก้าวเข้าไปด้านใน แล้วดวงตาหลังแว่นตากรอบหนาสีดำก็เบิกกว้างอย่างตื่นเต้น เธอลืมเรื่องมารยาทไปเสียสนิทเท้าทั้งสองพาร่างบางเดินตรงไปที่ชั้นหนังสือที่อัดแน่นด้วยหนังสือมากมาย เธอมองไปรอบตัวคะเนได้คราวๆ ว่ามีหนังสือในห้องไม่ต่ำกว่าสามหรือสี่พันเล่ม

อันโตนิโอดูจะไม่แปลกใจที่เธอจะหลงใหลและดื่มด่ำไปกับห้องหนังสือของตระกูลซิวีลิอาโน่ เมื่อสองชั่วโมงก่อนเขาปล่อยให้เธอพักผ่อนหลังจากที่เจอเรื่องวุ่นๆ มาเยอะ เขาเลือกห้องนอนที่ใกล้กับห้องนอนของลูกชายของเขาและมันก็ใกล้กับห้องนอนของเขาด้วย แน่นอนว่าหากมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับลูกชายของเขา เขาจะได้เข้ามาดูได้ทันเวลา ก่อนหน้านี้ไม่กี่ชั่วโมงเขาโทรศัพท์ทางไกลกลับเมืองไทยพูดคุยกับซาร่าเกี่ยวกับหญิงสาวที่ได้นามบัตรของเขามา อย่างน้อยเขาต้องตรวจสอบเบื้องต้นเกี่ยวกับผู้หญิงแปลกหน้าที่จะมาอยู่ใกล้อลองโซ

“เธอเจอกับณัชชาแล้วเหรอ” ซาร่าถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นปนดีใจ “เด็กคนนั้นเป็นยังไงบ้าง”

“ก็สบายดีครับ” เขาไม่ได้เล่าว่าทั้งคู่เจอกันได้ยังไงและหญิงสาวคนนั้นกำลังเผชิญปัญหาอะไรอยู่ “ตอนนี้เธอพักอยู่กับผม”

“คงจะอยู่เที่ยวโรมต่อละซิ” ซาร่าหัวเราะ “ฉันบอกยัยหนูแล้วว่าแค่สี่ห้าวันไม่พอเที่ยวหรอก”

“ท่าทางซาร่าจะชอบเด็กคนนี้มากนะครับ” เขาลองหยั่งเชิงดู

“แน่นอน...ณัชชาเป็นคนดีมีชีวิตที่น่าสงสารเป็นเด็กที่โตมาสถานสงเคราะห์เด็ก แต่เธอก็มุ่งมั่นเรื่องเรียน เธอเก่งเรื่องภาษามากเลยล่ะถึงได้ช่วยสามีฉันจัดการเอกสารงานวิจัย”

อันโตนิโอเข้าใจในทันทีที่เธอสามารถพูดภาษาอังกฤษได้คล่องแลดูเหมือนเธอจะเข้าใจภาษาอิตาเลี่ยนด้วย

“ลูกชายผมก็ชอบเธอ”

“โอ้ว! จริงหรือนี่ ฉันว่านะ...ณัชชาอาจจะช่วยให้อลองโซดีขึ้นก็ได้”

“ผมก็หวังอย่างนั้นครับ”

“เอาอย่างนี้ บอกณัชชาด้วยว่าไม่ต้องห่วงงานที่กรุงเทพฉันจะให้สามีช่วยลางานให้ละกัน”

“ครับ”

“ยังไงฉันฝากดูแลณัชชาด้วยนะ”

“ครับ”

อันโตนิโอรับคำแล้ววางโทรศัพท์ไป อย่างน้อยเขาก็สบายใจว่าผู้หญิงคนนี้คงไม่ได้เลวร้ายอะไรนักเขายืนมองร่างบางในชุดเดรสลายดอกไม้สีสันสดใสที่กำลังไล่นิ้วไปบนสันหนังสือแต่ละเล่ม ไม่รู้ว่าคนรับใช้ของเขาไปเอาเสื้อผ้าจากไหนมาให้เธอทำให้เขารู้สึกขัดหูขัดตาชอบกล

“ผมคิดว่าเราควรทำความรู้จักกันเสียหน่อย”

“ค่ะ” ณัชชาสะดุ้งเฮือกแล้วรีบหันกลับมาเผชิญหน้าเขา มือเรียวประสานกันตรงหน้าราวเด็กนักเรียนรอคอยคำสั่งจากอาจารย์

“มีแต่เรื่องยุ่งๆ ผมยังไม่ได้แนะนำตัวอย่างเป็นทางการ ผมอันโตนิโอ ซิวีลิอาโน่ ส่วนลูกชายผมที่คุณเจอก่อนหน้านี้คืออลองโซ ซิวีลิอาโน่ แล้วคุณก็จะได้เจอคนสนิทของผมอีกคนเขาชื่อเปาโล”

“ค่ะ” ณัชชารับคำอย่างรับรู้ “ดิฉันณัชชา อาภาภัทร ค่ะ เรียกณัชก็ได้ค่ะ”

“ได้ยินจากซาร่าว่าคุณเป็นเด็กกำพร้า”

“ใช่ค่ะ ฉันโตมาในสถานสงเคราะห์เด็กค่ะ พวกเราเอ่อฉันหมายถึงคนที่ไม่รู้ที่มาที่ไปอย่างฉัน เราได้ใช้นามสกุลเดียวกันกับเจ้าของมูลนิธิที่ดูแลพวกเราค่ะ”

อันโตนิโอพยักหน้ารับเขาข้างหนึ่งลูบคางที่เริ่มมีเคราบางๆ ขึ้นมาแล้ว ดวงตาสีเทามองหญิงสาวอย่างพิจารณาดูเธอไม่พิษมีภัยและไม่ใช่ประเภทที่จะกระโจนใส่ผู้ชายและหวังว่าเขาจะดูคนไม่ผิด

“ผมโทรศัพท์คุยกับซาร่าแล้ว เธอบอกว่าจะให้สามีลางานให้ไม่ต้องเป็นห่วง”

“คุณได้บอกหรือเปล่าคะว่าฉันมีปัญหาอะไร” สีหน้ามีความกังวลขึ้นมาทันที “ฉันไม่อยากให้ซาร่าเป็นห่วง”

“ผมรู้และไม่ได้พูดเรื่องของคุณ แต่ถ้าคุณอยากจะบอกใครว่าอยู่ที่นี่ก็ได้ ผมไม่มีปัญหาอะไร”

“ขอบคุณค่ะ” เธอยิ้มบางๆ อย่างโล่งอก

“ผมให้คนสนิทของผมไปสืบเรื่องที่บ้านแฟนคุณแล้ว ถ้าได้ความคืบหน้ายังไงจะบอกคุณอีกที ระหว่างที่คุณพักกับเราที่นี่ไม่ต้องห่วงหรือกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย ผมจะเป็นคนจัดการให้เอง”

“เอ่อ..แต่ว่าฉันเป็นฝ่ายมาขอความช่วยเหลือจากคุณนะคะ” เธอแย้ง

“ฐานะของผมดูแลคุณได้” เขาพูดแบบไม่คิดจะดูถูกเธอหรอกนะ แต่มันก็เป็นเรื่องจริง “ผมไม่ได้ให้คุณอยู่ฟรีกินฟรีเสียหน่อย”

“เรื่องนั้นฉันทราบค่ะ แต่สิ่งที่คุณให้ฉันทำมันไม่ได้มากมายอะไรนักหากจะเปรียบเทียบกับสิ่งที่คุณทำให้ฉัน”

“เรื่องพาสปอร์ตของคุณ พรุ่งนี้ผมจะให้เลขาติดต่อไปให้เอง ผมมีคนรู้จักอยู่บ้างคิดว่าเรื่องแค่นี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร”

“ขอบคุณค่ะ” เขาพูดง่ายดีนะ ณัชชานึกในใจสำหรับเธอมันเรื่องใหญ่มากเลยละที่พาสปอร์ตหายไปแบบนี้

“อลองโซ ลูกชายผม” เขาเดินมานั่งที่โซฟากลางห้องแล้วปรายตามองเธอเล็กน้อย “เมื่อสามปีที่แล้วภรรยาและลูกชายของผมประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ ภรรยาของผมเสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุ แต่อลองโซรอดมาได้อย่างปาฏิหาริย์ เขาโคม่าอยู่ห้องไอซียูหลายวันแต่เมื่อเขาฟื้นเขาก็เปลี่ยนไปจากเด็กที่เคยร่าเริงก็นิ่งเงียบและที่สำคัญเขาไม่ยอมพูดกับใครแม้แต่พ่ออย่างผมก็ตาม”

“โธ่...เด็กน้อย” ณัชชาพึมพำ เธออยู่ในสถานสงเคราะห์เด็กมาหลายปีทำให้เข้าใจความรู้สึกของเด็กๆ ที่สูญเสียครอบครัวได้เป็นอย่างดี

“เขาชอบอ่านหนังสือ ชอบวาดรูป เห็นว่าคุณเป็นบรรณารักษ์แล้วก็เก่งเรื่องภาษาน่าจะเข้ากับอลองโซได้”

“ฉันจะพยายามดูแลลูกชายของคุณให้ดีที่สุดค่ะ”

อันโตนิโอพยักหน้ารับ “คุณใช้ห้องนี้ได้ตามสบายหรือถ้าอยากได้อะไรก็บอกคนรับใช้ของผมได้”

“ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวเอ่ยแล้วทำเสียงอึกอักเล็กน้อยจนอีกฝ่ายต้องเอ่ยปากถาม

“มีอะไรรึ”

“ฉันอยากกลับบ้านค่ะ”

“บ้านที่ไหน เมืองไทยนะเหรอ”

“ไม่ใช่ค่ะ” เธอยกมือยกไม้ปฏิเสธ “หมายถึงบ้านแฟนฉันค่ะ”

“ผมว่าตอนนี้คุณอย่าเพิ่งเข้าบ้านนั้นเลย คุณเองก็ยังติดต่อแฟนคุณไม่ได้เข้าไปตอนนี้มันจะอันตรายเปล่าๆ”

“คือ...ฉันต้องกลับไปเอาเสื้อผ้าค่ะ ฉัน...ไม่มีอะไรติดตัวออกมาเลย”

“อ้อ” เขาลากเสียงในลำคอแล้วยกนาฬิกาขึ้นดูเวลา เพิ่งจะหกโมงเย็น คืนนี้เขาไม่มีนัดหมายที่ไหน ชายหนุ่มมองหญิงสาวตรงหน้าอีกครั้ง เขาคิดจะให้คนรับใช้ไปซื้อข้าวของให้ณัชชาแต่ดูชุดที่เธอใส่ตอนนี้แล้วก็อดขัดใจไม่ได้

“ไม่ต้องกลับไปเอาหรอก ผมจะซื้อให้ใหม่มีอะไรที่คุณต้องใช้ก็ซื้อมาพร้อมกันเลย”

“ไม่ได้หรอกค่ะ ฉันเกรงใจ เสื้อผ้าที่บ้านน่าจะยังมีอยู่”

“เรื่องที่คุณต้องรู้อีกอย่างนะ” เขาลุกขึ้นแล้วแตะข้อศอกเธอ ความสูงที่ต่างกันทำให้เธอต้องแหงนหน้ามองเขา “ผมไม่ชอบให้ใครขัดใจ ถ้าคุณรู้สึกเกรงใจผมก็อย่าทำให้ผมรำคาญด้วยการขัดใจผม คุณเข้าใจใช่ไหม”

ณัชชาอยากจะส่ายหน้าแล้วบอกว่าไม่เข้าใจ แต่ตอนนี้เธอทำอะไรไม่ได้นอกจากเดินตามเขามาที่รถอย่างไม่มีปากมีเสียง เธอยังต้องพึ่งพาเขาและอาศัยอยู่ในบ้านของเขา แถมไม่รู้ว่าจะต้องอยู่กี่วัน ปกติเธอเองก็เป็นคนไม่มีปากมีเสียงอยู่แล้วเรื่องแค่นี้คงทำใจให้ยอมรับได้ไม่ยากนัก

รถหรูขับออกจากคฤหาสน์หลังใหญ่ราวๆ สี่สิบนาทีก็ถึงที่หมาย ห้องเสื้อแห่งหนึ่งที่อแมนด้าเป็นหุ้นส่วนอยู่เขาไม่ได้สนใจเรื่องแฟชั่นเท่าไหร่ เสื้อผ้าเขาเองก็โทนสีเดียวกันหมดแต่เขาไม่อยากให้หญิงสาวข้างๆ แต่งตัวไม่เข้ากับบุคลิกเท่าไหร่ อย่างน้อยอยู่บ้านเดียวกันก็อยากเห็นอะไรที่มันเจริญหูเจริญตาเสียหน่อยและไม่อยากให้ใครมองว่าเขาไม่อาจดูแลคนในปกครองได้ดีพอ

“สวัสดีค่ะคุณอลองโซ” พนักงานสาวคนหนึ่งปรี่เข้ามาทันทีที่เห็นร่างสูงใหญ่เข้ามาในร้าน “มาหาคุณอแมนด้าเหรอคะ”

“อแมนด้าอยู่เหรอ” เขาขมวดคิ้วนิดหนึ่งแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก เขากำลังมองหาร่างอิ่มเอิบของอแมนด้าอยู่แต่เมื่อรู้สึกตัวว่าตนเองยืนในร้านคนเดียวก็ทำให้ต้องหันไปมองที่นอกร้าน ณัชชายังยืนอยู่หน้าร้านทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดจนต้องก้าวยาวๆ ไปดึงข้อมือเธอเข้ามาในร้าน

“ต้องให้ฉันเชิญเธอเข้ามารึไง”

“ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ” ณัชชาส่ายหน้าไปมาเร็วๆ “ฉันนึกว่าคุณมาพบใครที่นี่ ฉันก็เลยรอข้างนอก”

“จะบ้าเหรอ ใครจะมานัดเจอกันในร้านขายเสื้อผ้าล่ะ” เขาถอนหายใจแล้วลดน้ำเสียงของตนเองลง “มาเถอะ ชอบชุดไหนก็เลือกเอา”

“ไม่ดีมั้งคะ” เธอส่ายหน้าอีกครั้ง “มันแพงเกินไปสำหรับฉัน”

“ผมไม่ได้ให้คุณออกเงินเสียหน่อย” เขาเริ่มจะหงุดหงิดอีกครั้ง “อย่าทำให้ผมรู้สึกไม่ดีนัก”

“เกิดอะไรขึ้นคะอันโตนิโอ” เสียงหวานทักทายจากด้านหลัง อแมนด้าในชุดราตรีซีทรูลูกไม้สีดำแนบเนื้อเดินเข้ามาใกล้พร้อมส่งรอยยิ้มเย้ายวน

“ผมแค่มาอุดหนุนเสื้อผ้าของคุณ” อันโตนิโอพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบแม้ว่าเรือนร่างตรงหน้าจะเย้ายวนขนาดไหนเขาก็ไม่รู้สึกอยากกระโจนเข้าใส่เหมือนเสือหิวนัก

“เพื่อนคุณเหรอคะ” อแมนด้าปรายตามองมาทางณัชชาแล้วยิ้มนิดๆ

“พี่เลี้ยงของอลองโซ” อันโตนิโอเลี่ยงที่จะพูดถึงเหตุผลที่แท้จริง “เธอมีปัญหาเรื่องเสื้อผ้านิดหน่อย คุณช่วยให้พนักงานเลือกเสื้อผ้าให้เธอหน่อยละกัน”

“เสื้อผ้าแบบไหนละคะ” อแมนด้าหัวเราะอารมณ์ดี ดูแล้วผู้หญิงคนนี้ไม่น่าจะเป็นคู่แข่งหัวใจเธอได้

“แบบที่ใส่อยู่บ้านแล้วไม่มีใครดูถูกตระกูลซิวีลิอาโน่ก็พอ”

ณัชชาถึงกับตาโตอ้าปากค้าแล้วก็หลบสายตาของอันโตนิโอ ไม่คิดว่าการเป็นพี่เลี้ยงให้ลูกชายเขาจะมีความหมายกับตระกูลอันยิ่งใหญ่ของเขา มันคงเป็นเหตุผลที่ทำให้เธอต้องจำใจเลือกเสื้อผ้าที่ไม่ทำให้เขาต้องเสียหน้า

“โอเคไม่มีปัญหาค่ะ ฉันจะให้พนักงานจัดการให้ค่ะ คุณมานั่งรอด้านในไหมคะ”

“ก็ดี” เขารับคำแล้วเดินเข้าไปด้านในซึ่งมีโซฟารับแขกอยู่

“คุณมาได้จังหวะพอดี ฉันกำลังลองชุดใหม่อยู่ว่าชุดนี้เป็นไงคะ”

“ก็เหมาะกับคุณดี” เขาเอ่ยแบบไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก คำตอบของเขาทำให้อแมนด้ายักไหล่น้อยๆ แล้วนั่งลงข้างเขา แล้วยื่นหน้าไปวางบนไหล่ของเขา

“คุณนี่พูดจาไม่น่ารักเอาเสียเลย”

อันโตนิโอแหงนหน้าหัวเราะ “ผมจะสี่สิบแล้วจะให้ผมปากหวานเหมือนเด็กหนุ่มๆ ที่คุยเคี้ยวได้ยังไง”

“หยาบคาย” อแมนด้าสะดุ้งเล็กน้อยไม่คิดว่าเขาจะรู้เรื่องที่เธอมีนายแบบหนุ่มเป็นคู่ขาปรนเปรอสวาทในยามเหงา

“คุณแค่มาลองเสื้อหรือจะออกไปข้างนอก ถ้ามีธุระก็ไม่ต้องอยู่เป็นเพื่อนผมก็ได้”

“อันโตนิโอ” อแมนด้าประคองใบหน้าของชายหนุ่มด้วยอุ้งมือของเธอ “ถ้าคุณต้องการฉัน ฉันก็พร้อมสำหรับคุณเสมอ”

ริมฝีปากอิ่มเคลือบสีแดงฉ่ำประกบกับริมฝีปากของเขาทันที ปลายลิ้นหยอกล้อกันอย่างลึกซึ้งและดื่มด่ำ ร่างเนียนนุ่มขยับเข้าหาอย่างช่ำชอง รสจูบที่เขามอบให้แสนเร่าร้อนแม้ว่าเขาจะเหมือนภูเขาน้ำแข็งแสนเย็นชาแต่เมื่อถึงเวลาเล่นบทรักก็แสนจะร้อนแรงจนแทบละลายเลยทีเดียว

อันโตนิโอรู้สึกว่ามีสายตามองอยู่ด้านหลัง เขาผละจากริมฝีปากอิ่มสวยแล้วปรายตามอง หญิงสาวสวมแว่นตาหนาเตอะสะดุ้งแล้วรีบหลบสายตา มือใหญ่ของชายหนุ่มจับไหล่ของอแมนด้าให้ผละออกแล้วไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกหงุดหงิดและโมโหเพียงใด

“เรียบร้อยแล้วรึ?”

“ค่ะ...เอ่อ..ฉันไปรอด้านนอกนะคะ” ณัชชารู้สึกผิดที่เข้ามาขัดจังหวะของคนทั้งสอง เธอหมุนตัวแล้วกำลังจะก้าวเท้าออกมาแต่ชายหนุ่มเรียกไว้ก่อน

“เราจะออกไปพร้อมกัน” เขาพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบและหันมามองทางอแมนด้าที่ยังงุนงงกับปฏิกิริยาของเขา เขายกนิ้วโป้งเช็ดริมฝีปากตัวเองแล้วเอ่ย “ส่งบิลไปที่บ้านผมเหมือนเดิมนะ”

“ค่ะ”

อันโตนิโอพยักหน้าให้ แล้วลุกขึ้นเดินไปแตะข้อศอกของณัชชาเป็นเชิงบอกให้เธอเดินออกไปนอกร้าน

อแมนด้าเม้มริมฝีปากข่มอารมณ์โมโหของตัวเองแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ ผู้ชายอย่างอันโตนิโอไม่ชอบให้ผู้หญิงคนไหนแสดงอาการเหวี่ยงวีนใส่ เขาพร้อมจะผละทุกคนทิ้งไปได้อย่างหน้าตาเฉย เธอหงุดหงิดกับอารมณ์ภายในที่คุกรุนขึ้นมาแล้วยังไม่ได้มอดไหม้ลงไป มือเรียวควานหาโทรศัพท์มือถือแล้วต่อสายหาเด็กหนุ่มในสังกัดของตัวเองที่พอจะบรรเทาอารมณ์ที่กำลังเตลิดอยู่ตอนนี้

“ฉันขอโทษค่ะ”

“เรื่องอะไร” เขาถามแล้วเปิดประตูรถให้หญิงสาวเข้าไปนั่ง พนักงานนำถุงกระดาษใบสวยหลายใบมาใส่ท้ายรถ เมื่อเขาเดินกลับมานั่งที่ฝั่งคนขับแล้วก็ขับสตาร์ทรถออกไป

“ผมถามว่าคุณขอโทษผมเรื่องอะไร”

“ฉันเข้าไปขัดจังหวะคุณ” เธอเอ่ยเสียงแผ่ว

“ไม่ใช่เรื่องของเธอ...เธอไม่ต้องใส่ใจหรอก” เขามองหาร้านอาหารน่านั่งริมถนน “แล้วเสื้อผ้าได้ครบแล้วเหรอ ทำไมน้อยจัง”

“น้อย” หญิงสาวทำตาโต “นี่มากที่สุดในชีวิตของฉันแล้วค่ะ”

“ปกติผมเห็นผู้หญิงซื้อเสื้อผ้าอย่างกับจะใส่ทั้งปีทั้งชาติ” เขาหัวเราะกับท่าทางของหญิงสาวนั่น ทำให้บรรยากาศคลายความเครียดลงได้บ้าง

“ฉันไม่ค่อยซื้อเสื้อผ้าหรอกค่ะ ส่วนใหญ่ก็ซื้อของมือสองเลือกสภาพดีๆ หน่อยหรือไม่ก็เอามาซ่อมเอา ตอนเด็กๆ ฉันตัวโตกว่าเด็กวัยเดียวกันก็ได้แต่รอเสื้อผ้าบริจาคที่เป็นไซด์ผู้ใหญ่”

เขาปรายตามองหญิงสาวแล้วรู้สึกถึงวัยเด็กของตนก่อนที่จะมาอยู่ในตระกูลซิวีลิอาโน่ ก็แทบไม่เคยมีเสื้อผ้าใหม่ๆ ใส่เหมือนกัน เขาขับรถออกมาไม่ถึงสิบนาทีก็ได้ร้านอาหารที่พอใจ เขาจอดรถแล้วพาหญิงสาวเดินเข้าไปร้าน

“ผมหิวแล้วกินอะไรสักหน่อยก็แล้วกัน”

“ค่ะ” เธอรับคำแบบไม่คิดขัดใจตามแบบที่เธอเป็น คิดในใจว่าไม่ควรพูดเรื่องของตัวเองบ่อยนักเขาอาจจะรำคาญก็เป็นได้ ใครจะอยากฟังชีวิตรันทดของเธอเล่าแต่เธอก็ไม่อายที่จะพูดว่าตัวเองเป็นมายังไง ไม่อยากลืมกำพืดตัวเองและไม่สนใจว่าใครจะมองว่าเธอเป็นยังไง

อันโตนิโอเห็นเธอไม่สั่งอะไรเขาจึงจัดการสั่งอาหารให้เธอ หญิงสาวดูเป็นคนง่ายๆ ไม่มีปากมีเสียงไม่ชอบโต้เถียงกับใคร นั้นอาจสร้างความสบายใจให้กับเขาเพราะเขาไม่ชอบผู้หญิงจุกจิก

“คุณอยากได้อะไรอีกไหม”

“ไม่มีค่ะ”

อันโตนิโอมองหญิงสาวที่ตอบกลับอย่างรวดเร็วแล้วหัวเราะออกมา “คิดก่อนตอบก็ได้นะ”

“ก็ไม่มีอะไรจริงๆ นี่ค่ะ” เธอก้มหน้ามุ่ยไม่กล้าสบตากับดวงตาสีเทาของเขา เมื่อได้อยู่ใกล้ๆ เขาทำให้เธอสังเกตว่าเขามีเค้าโครงหน้าที่น่ามอง เป็นหนุ่มใหญ่ที่ดูไม่แก่เลยสักนิดและไม่แปลกใจที่เขาจะมีผู้หญิงคลอเคลีย

“คุณคงคิดถึงแฟนของคุณ”

“เอ่อ...ค่ะ ฉันเป็นห่วงเขา” ณัชชาสารภาพไปตามจริง

“พวกคุณคบกันนานหรือยัง”

“เราคบกันสองปีแล้วค่ะ” ณัชชายิ้มเขิน “ฉันทำงานเป็นบรรณารักษ์ห้องสมุดของมหาวิทยาลัย ส่วนเขาได้ทุนเรียนต่อที่อิตาลี่ ปีหน้าเขาก็จะจบแล้วค่ะ”

“รักทางไกลคงลำบากใจไม่น้อยนะ”

“ก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ” เธอเม้มปากสั่งตัวเองว่าอย่าพูดอะไรมากไปกว่านั้น

“ถึงที่นี่จะเป็นสวรรค์ของนักท่องเที่ยว แต่ก็มีแก็งค์มาเฟียหรือพวกนักเลงอยู่มาก แฟนคุณอาจเผลอเหยียบตาปลาใครเข้าก็ได้”

“ฉันหวังว่าเขาจะปลอดภัย” เธอพึมพำด้วยสีหน้าหมองเศร้า

“ไม่ต้องห่วงไป ทุกอย่างจะผ่านไปด้วยดี”

อันโตนิโอแตะหลังมือเธอเบาๆ อย่างให้กำลังใจ ถ้าผู้ชายคนนั้นนิสัยคล้ายๆ กับเธอคนนี้ คงไม่มีอะไรให้กังวลนัก พวกนักเลงหรือแก็งค์ใต้ดินนั้นเขารู้จักแทบทุกกลุ่ม งานของเขาบางทีก็ต้องใช้คนในด้านมืดส่งไปจัดการให้ เขามองเธอกินอาหารไปอย่างเงียบๆ ท่ามกลางเสียงเพลงเบาๆ ผู้หญิงคนนี้มีคนรักแล้ว นั้นก็เป็นอีกเรื่องที่ทำให้เขาสบายใจไม่ต้องกังวลว่าจะมีปัญหาชู้สาวให้รำคาญใจ

เขาหวังว่าจะไม่มีเรื่องวุ่นวายอะไรในชีวิตนะ.

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel