บท
ตั้งค่า

บทที่7. ฉันยินดีเป็นพี่เลี้ยงให้ลูกชายของคุณ

ชายหนุ่มหงุดหงิดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เขาไม่ชอบอะไรที่ไม่อยู่ในแบบแผนหรือตารางงานของเขาแต่กระนั้นก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากขับรถมาที่บ้านที่ผู้หญิงคนข้างๆ อยู่กับแฟนของเธอ ครั้นจะให้เปาโลมาดูให้ก็เกรงว่าจะเสียเวลา ตอนนี้เขายังหาพี่เลี้ยงให้อลองโซไม่ได้ก็ได้เปาโลคอยอยู่เป็นเพื่อนเล่นและพี่เลี้ยงชั่วคราวไปก่อน

“หลังนั้นใช่ไหม” อันโตนิโอถามเมื่อจอดรถหน้าบ้านเรียบร้อยแล้ว หญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างๆ สะดุ้งเล็กน้อยแล้วพยักหน้าหงึกหงัก “โอเค...รออยู่นี่ เดี๋ยวผมลงไปดูเอง”

“จะดีเหรอคะ” เธอถามทันทีแววตาหลังแว่นตากรอบหนามีรอยกังวลเด่นชัด “พวกนั้นน่ากลัวมากเลยค่ะ”

อันโตนิโอขมวดคิ้วจะมีใครหน้าไหนมาทำให้เขากลัวได้ละ เขาถอนหายใจกับความคิดของเธอปลดเข็มขัดนิรภัยแล้วก้าวลงจากรถ ชีวิตริมถนนทำให้ประสาทสัมผัสของเขารับรู้เรื่องเลวร้ายได้เร็วเสมอ และที่สำคัญเมื่ออยู่นอกบ้านเขามี 11 มม.คู่ใจติดกายเสมอถึงแม้ว่าจะมีบอร์ดี้การ์ดอยู่ด้วยก็ตาม บานประตูไม่ได้ปิดแต่มันแง้มเพียงเล็กน้อย สายตาคมกริบมองผ่านช่องประตูแล้วค่อยๆ ผลักเข้าไปอย่างเงียบเชียบ ข้าวของในบ้านถูกรื้อค้นกระจัดกระจายอย่างที่ผู้หญิงคนนั้นพูดจริงๆ มือใหญ่ชักปืนออกมาไว้ในอุ้งมือแล้วเดินสำรวจในบ้านชั้นล่างแล้วก้าวเท้าขึ้นไปชั้นบน ชั้นบนมีสามห้องนอนแต่ละห้องที่เขาเข้าไปถูกรื้นค้นข้าวของจนห้องรกไม่รู้ว่าสภาพเดิมเป็นยังไง เขาระบายลมหายใจยาวอย่างโล่งอกเมื่อมั่นใจว่าไม่มีใครอยู่ในบ้าน กำลังจะเก็บปืนเข้าที่แต่ก็ได้ยินเสียงกุกกักอยู่ด้านหลังเขาเอี้ยวตัวกลับอย่างรวดเร็วพร้อมตวัดกระบอกปืนไปยังต้นเสียงอย่างรวดเร็ว

“ว้าย!”

“คุณ!” อันโตนิโอหัวเสียแล้วเก็บปืนเข้าซอง “คุณจะบ้าหรือไงผมบอกให้รออยู่ในรถ”

“ก็ฉันเป็นห่วงคุณนี่ค่ะ” ณัชชาสารภาพเสียงแผ่วแข้งขาแทบหมดแรงเมื่อเห็นว่าเขามีปืนอยู่ในมือ “คุณหายเข้ามาในบ้านตั้งนาน ฉันเป็นห่วงก็เลยตามมาดู”

“ถ้ามีอะไรจริงๆ คุณจะช่วยอะไรผมได้” เขาพูดน้ำเสียงห้วนไม่ได้สนใจว่าคนฟังจะทำหน้ายังไง

“นั่น...กระเป๋าของฉัน” ณัชชาถลาเข้าไปที่ตู้เสื้อผ้าที่ถูกเปิดทิ้งไว้ เสื้อผ้าในตู้ออกมากองอยู่ด้านนอก กระเป๋าหนังสีน้ำตาลเก่าแก่ของเธอข้างในมันว่างเปล่าไม่มีพาสปอร์ตและตั๋วเดินทางกลับเมืองไทย

“พาสปอร์ตกับตั๋วเครื่องบินของฉัน” ณัชชาถึงกับแข้งขาอ่อนทรุดลงไปนั่งกับพื้น เธอติดต่อมนตรีก็ไม่ได้แถมของสำคัญยังหายไปอีก แล้วแบบนี้เธอจะกลับเมืองไทยได้อย่างไร

อันโตนิโอนถอนหายใจแล้วแตะไหล่เธอ “ไปกับฉัน”

“ไป...ไปไหนคะ” หญิงสาวช้อนตาขึ้นมองอย่างงุนงงและสับสน

“เธออยู่ที่นี่ไม่ได้หรอก ไม่รู้พวกมันจะย้อนกลับมาเมื่อไหร่” เขาจับไหล่สองข้างประคองให้เธอลุกขึ้นยืน “ฉันจะส่งคนมาดูอีกทีแต่ตอนนี้เธอไปกับฉันก่อน”

ณัชชาเดินตามเขาอย่างว่าง่าย ใจหนึ่งเธอก็เป็นห่วงมนตรีถ้าเขากลับมาเจอสภาพบ้านแบบนี้จะเป็นอย่างไร แต่อีกใจเธอก็คล้อยตามที่เขาพูดเพราะเธอเองก็ไม่รู้จะอยู่ในบ้านที่มีสภาพถูกรื้อค้นกระจัดกระจายได้อย่างไร อันโตนิโอพาหญิงสาวกลับมาที่รถของเขา สายตาคมกริบเหลียวมองอย่างสังเกตถึงสิ่งผิดปกติก่อนที่จะเข้าไปในรถและสตาร์ทรถ อีกฝ่ายยังนิ่งงันช็อกกับเหตการณ์ที่เกิดขึ้น เขาไม่เอ่ยปากถามอะไรเพราะเดาคำตอบได้ไม่ยากว่าเธอคงจะพูดว่า ไม่รู้ เขาจึงขับรถตรงดิ่งกลับบ้านอย่างรวดเร็ว ไม่ใช่เพราะว่าเขาผู้หญิงคนนี้รู้จักกับซาร่าเท่านั้น แต่คนที่ทำแบบนี้คงไม่ใช่แค่อันธพาลธรรมดาอาจจะมีเรื่องอื่นอยู่เบื้องหลัง และแน่นอนว่าถ้ามันเป็นเรื่องผิดกฎหมายละก็เขาจะไม่ยอมให้ใครมาบุกรุก ‘ถิ่น’ ของเขาเด็ดขาด

ณัชชานั่งในรถของคนแปลกหน้าอย่างเหม่อลอย เธอปล่อยให้เขาพามาในที่ที่ไม่รู้จัก เมื่อรถจอดนิ่งนานหลายนาทีเธอจึงรู้ตัวและเงยหน้ามองใบหน้าคมเข้มที่เปิดประตูรถให้เธอ

“ลงมาซิ”

น้ำเสียงเขาเหมือนจะดุแต่ก็ใบหน้านิ่งขรึมจนเธอไม่แน่ใจว่าเขาต้องการอะไรกันแน่ แต่เธอก็ยอมทำตามที่เขาออกคำสั่ง ใบหน้าหวานที่ยังเต็มไปด้วยแววตื่นตระหนกถึงกับอ้าปากค้างเมื่อเห็นคฤหาสน์หลังงามตรงหน้า เธอหันมามองเขาอย่างไม่แน่ใจแต่ร่างสูงเดินนำเข้าไปในบ้านทำให้เอต้องก้าวเท้าเร็วๆ ตามแผ่นหลังกว้างของเขา

“นี่บ้านคนเหรอเนี้ย”

เธอพึมพำแล้วเหลียวมองรอบข้างอย่างอดใจไม่อยู่ เธอนึกถึง ‘วิลลา เดสเตง’ (Villa d’Este) คืออีกหนึ่งจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของเมืองทิโวลิ (Tivoli) เมืองท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของแคว้นลาซีโอ ซึ่งประกอบด้วยวัง อุทยาน น้ำพุ สระน้ำ ฯลฯ เป็นหนึ่งในหลักฐานที่น่าสนใจและชัดเจนที่สุดของวัฒนธรรมเรอเนสซองส์ในจุดประณีตสูงสุด เป็นตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบของสวนอิตาเลียนยุคคริสต์ศตวรรษที่ 16

อันโตนิโอส่งเสื้อสูทตัวนอกให้คนรับใช้มารับไป เขาปลดเสื้อกระดุมที่ข้อมือแล้วพับแขนเสื้อขึ้นถึงศอก พลางถามถึงลูกชายและบอดี้การ์ดที่กลายเป็นพี่เลี้ยงเด็กไปแล้ว

“ห้องนั่งเล่นรึ” เขาพยักหน้ารับแล้วมองไปทางหญิงสาวที่ยืนอยู่ด้านหลังด้วยท่าทีหวาดหวั่น เสื้อเธอขาดและตอนที่ออกจากบ้านนั้นมาก็ไม่ได้หยิบอะไรออกมาด้วย “เดี๋ยวฉันไปหาเองไม่ต้องไปตามหรอก แล้วก็ช่วยหาเสื้อผ้าให้ผู้หญิงคนนี้เปลี่ยนด้วยก็แล้ว”

คนรับใช้มองหน้าเจ้านายอย่างแปลกใจ ปกติเขาไม่ค่อยพาผู้หญิงมาที่บ้านและถึงจะพามาก็ไม่เคยต้องให้คนรับใช้จัดหาเสื้อผ้าให้ ส่วนใหญ่ผู้หญิงเหล่านั้นจะเป็นขาชอปที่ส่งบิลให้เจ้านายของพวกเขาจัดการเสียมากกว่า

“เธอไปจัดการตัวเองเสียหน่อยซิ” เขาบอกเหมือนออกคำสั่ง อาจเป็นนิสัยที่เคยชินของพี่ชายคนโตอย่างเขา “คนรับใช้จะดูแลเธอเอง เสร็จแล้วค่อยมาหาฉัน เรื่องอื่นฉันจัดการให้เอง”

“ขอบคุณค่ะ” ณัชชาเดินตามผู้หญิงในชุดเมดแล้วอดดูสภาพตัวเองไม่ได้ วิ่งหนีคนที่มาไล่ล่าหัวซุกหัวซุน เสื้อผ้าก็ขาดแถมเนื้อตัวมอมแมมนี่ถ้าใครผ่านมาเจอเข้าคงนึกว่าเป็นขอทานเลยก็ว่าได้ “คุณอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าที่นี่ได้ค่ะ อ้อ...เดี๋ยวดิฉันเอาเสื้อผ้ามาให้ค่ะ” คนรับใช้พาเดินมาที่ห้องพักของแขกแต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายยืนนิ่งอยู่เธอก็เข้าใจว่าอีกฝ่ายคงไม่เข้าใจในสิ่งที่เธอพูด เธอจับข้อมือหญิงสาวให้เดินไปที่ห้องอาบน้ำ เปิดน้ำใส่อ่างแล้วชี้มือชี้ไม้เหมือนจะสื่อภาษาใบ้

“ฉันเข้าใจค่ะ” ณัชชายิ้มให้น้อยๆ “ฉันจัดการตัวเองได้ค่ะ ขอบคุณค่ะ”

หญิงสาวมองตัวเองในกระจกเงาแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจยังไงก็คงต้องอาบน้ำอย่างเดียวเท่านั้นเพราะนอกจากเสื้อจะขาดแล้วเนื้อตัวยังมอมแมมเพราะวิ่งหนีล้มลุกคลุกคลานมาตลอด เธอถอดแว่นตาวางไว้ที่อ่างล้างหน้าแล้วจัดการถอดเสื้อผ้าออกจากร่างกายช้าๆ พาร่างเปลือยเปล่าเดินเข้าไปในใต้ฝักบัวปล่อยให้น้ำอุ่นชำระล้างร่างกาย เธอเพิ่งเห็นว่าตัวเองมีรอยถลอกที่ข้อศอกแต่ไม่ใช่แผลใหญ่อะไร ณัชชาหลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน พาสปอร์ตกับตั๋วเครื่องบินหายไปแล้ว เธอจะกลับเมืองไทยยังไง พรุ่งนี้ต้องไปสถานทูตขอความช่วยเหลือ แต่เธอกลับเมืองไทยจะเลือกกลับจริงๆหรือ เธอยังติดต่อมนตรีไม่ได้เลย เขาจะเป็นอะไรหรือเปล่า คนที่มาบุกรุกบ้านพวกนั้นเป็นใครกัน ไม่ได้หรอกเขาเป็นคนรักของเธอ เขาอาจกำลังเดือดร้อนต้องการความช่วยเหลือ เธอจะกลับเมืองไทยก็ต่อเมื่อรู้ว่าเขาปลอดภัยดีแล้วจริงๆ

ณัชชาออกมาจากห้องอาบน้ำด้วยผ้าขนหนูพันรอบกายเธอหยิบแว่นตามาสวมแล้วเดินออกมาด้านนอก ที่ปลายเตียงมีเสื้อผ้าวางไว้อยู่หนึ่งชุดเป็นชุดเดรสเนื้อผ้าเรียบลื่นน่าจะใส่สบายลายดอกไม้สีสันสดใสแบบที่เธอไม่เคยใส่และไม่เคยมี เธอรู้สึกเขินอายและลังเลที่จะใส่แต่เสื้อผ้าชุดเดิมของเธอก็แทบจะกลายเป็นผ้าขี้ริ้วอยู่แล้ว เธอจำเป็นและจำใจใส่ชุดเดรสแขนกุดกระโปรงยาวคลุมเข่าทำให้เธอค่อยสบายใจขึ้นมาหน่อยเพราะเธอไม่เคยใส่กระโปรงสั้นกว่าเข่าเลยสักครั้งในชีวิต หญิงสาวมองหาหวีสำหรับแปรงผม เป็นจังหวะเดียวกับที่คนรับใช้เข้ามาในห้องแล้วตรงปรี่มาช่วยเธอจัดแต่งทรงผม

“ไม่เป็นไรค่ะ ไม่ต้องทำก็ได้”

“ไม่ได้ค่ะ มันเป็นหน้าที่ของดิฉัน”

ณัชชาเกรงใจจึงยอมนั่งลงบนเก้าอี้ที่โต๊ะเครื่องแป้งปล่อยให้คนรับใช้แปรงผมแล้วถักเปียเส้นเล็กๆ คาดปายหน้าผากทำให้เห็นใบหน้าหวานได้ชัดขึ้น เพียงไม่กี่นาทีคนรับใช้หญิงก็พยักหน้าเหมือนพอใจกับผลงานของตนเองแล้วเชิญให้เธอเดินตามออกไปหาเจ้านายของเธอ เธอเพิ่งสังเกตคฤหาสน์หลังงามที่ตบแต่งด้วยของเก่าหลายชิ้นเข้ากันอย่างกลมกลืน จนคล้ายว่าเธอกำลังเดินอยู่ในพิพิธภัณฑ์เลยทีเดียว

“เชิญค่ะ”

“ค่ะ...ขอบคุณค่ะ” ณัชชากล่าวขอบคุณอย่างจริงใจ หญิงรับใช้มองเธอแปลกๆ เพราะไม่ค่อยมีแขกคนไหนขอบคุณอะไรเธอแบบนี้ แน่นอนว่าส่วนใหญ่จะมองด้วยหางตาก่อนจะทำตาวาววับกับเจ้านายของเธอ

“หิวไหม” อันโตนิโอถามทั้งที่ยังอ่านเอกสารในมือ “อีกสักเดียวจะกินของว่างกัน คุณทานกับลูกชายผมก็ได้”

“ค่ะ” เธอรับคำง่ายๆ แล้วมองไปโต๊ะมีขนมปังน่าตาน่ารักอยู่หลายชิ้นพร้อมเครื่องดื่ม เธอ รู้สึกโล่งใจอย่างไรไม่รู้ที่รู้ว่าเขามีลูกแล้ว “ฉันต้องขอบคุณคุณมากๆ ที่ช่วยเหลือฉันนะคะ”

“ที่ผมทำเพราะผมเป็นเจ้านามบัตร” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “พรุ่งนี้ผมจะให้คนของผมพาคุณไปสถานทูตทำเรื่องกลับเมืองไทย”

“เดี๋ยวค่ะ” ณัชชารีบสวนกลับทันควัน “ฉันยังกลับเมืองไทยตอนนี้ไม่ได้”

คิ้วเข้มเลิกขึ้นอย่างฉงนทำให้เขาเงยหน้าจากเอกสารในมือ พลันดวงตาสีควันบุหรี่ก็จ้องมองอีกฝ่ายอย่างสำรวจ

เมื่ออยู่ในชุดเดรสเข้ารูปทำให้เห็นรูปร่างของเธอได้ชัดเจนขึ้น ความสูงของเธอคงราวๆ สักร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตรใบหน้าไร้เครื่องสำอางแต่ได้รูปสวยมีเพียงแว่นตากรอบหนาสีดำที่ทำให้ดูเกะกะไปบ้าง แต่โดยรวมแล้วเธอก็ไม่ขี้เหร่อะไรนัก

ณัชชารู้สึกหายใจติดขัดกับสายตาของเขาจนเป็นฝ่ายหลบสายตาเสียเอง เธอบิดมือตัวเองไปมาอย่างกังวลและอึดอัดแล้วค้นหาเสียงตัวเองเพื่อขอความช่วยเหลือจากเขา

“ฉันยังกลับเมืองไทยตอนนี้ไม่ได้ค่ะ” เธอเงยหน้าสบตาของเขาอย่างจริงจัง “ฉันจะต้องรู้ว่าแฟนฉันปลอดภัยดีแล้วฉันจึงจะกลับเมืองไทยได้”

อันโตนิโอพยักหน้ารับ เขาเข้าใจหากคนรักหายตัวไปก็ต้องเป็นห่วงเป็นธรรมดา ยังไม่ทันที่เขาจะพูดอะไรเปาโลก็พาอลองโซเข้ามาในห้อง ณัชชาหมุนตัวไปมองผู้มาใหญ่แล้วเธอก็ส่งยิ้มจริงใจให้เด็กชายวันสิบขวบที่เดินเข้ามา อลองโซมองหญิงสาวตรงหน้าแล้วนิ่งงันไปหลายนาที อาการนิ่งไม่ก้าวเดินเป็นที่ผิดสังเกตทำให้อันโตนิโอมองลูกชายอย่างแปลกใจ เปาโลที่เดินตามเข้ามาเห็นหญิงสาวก็จำได้ทันทีว่าเคยเจอเธอมาก่อน

“อลองโซมานั่งทานขนมกับพ่อซิ” อันโตนิโอเรียกลูกชายแต่อลองโซยังแหงนหน้ามองณัชชาไม่วางตา

ณัชชายิ้มอ่อนหวานแล้วทรุดตัวลงนั่งบนส้นเท้า แล้วยื่นมือไปตรงหน้า “สวัสดีจ๊ะ เราเคยเจอกันใช่ไหม”

อลองโซพยักหน้ารับแล้วยื่นมือไปสัมผัสกับอีกฝ่าย เขาบีบมือเธอเบาๆ และหญิงสาวก็บีบมือตอบ “ขนมน่ากินทั้งนั้นเลยนะ ขอกินด้วยคนได้ไหมคะ”

อลองโซพยักหน้าอีกครั้งและดึงมือของเธอให้เดินตามเขามา ปฏิกิริยาของอลองโซทำให้อันโตนิโอมองอย่างประหลาดใจ ยังไม่ทันที่เขาจะพูดอะไรเปาโลก็สืบเท้าเข้ามาใกล้แล้วกระซิบกับเจ้านายของเขา

“ผู้หญิงคนนี้ไงครับท่าน ที่ผมเคยเล่าให้ฟังว่าคุณอลองโซยิ้มให้”

“ผู้หญิงคนนี้นะเหรอ” อันโตนิโอมองอย่างประหลาดใจไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้เจอคนที่ทำให้อลองโซโต้ตอบหรือยิ้มออกมาได้

“ว่าแต่ทำไมเธอมาอยู่ที่นี่ได้ละครับ”

“เรื่องมันยาว” อันโตนิโอตัดบท “ว่าแต่ฉันมีเรื่องให้นายไปสืบหน่อย ที่อยู่ในกระดาษแผ่นนี้”

“ครับท่าน” เปาโลรับกระดาษโน้ตแผ่นเล็กไว้ในมือ

“ไปตอนนี้เลย”

“ครับท่าน”

เปาโลหมุนตัวออกจากห้องไป เหลือเพียงอลองโซที่กำลังกินขนมท่าทางน่าอร่อย ณัชชาดื่มได้แค่น้ำส้มครึ่งแก้มแต่เธอก็คะยั้นคะยอให้เด็กชายตัวน้อยกินของว่างได้เยอะๆ เธอรู้สึกถูกชะตากับเด็กตัวน้อยที่มีแววตาเศร้าด้วยความที่เธอเติบโตในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าต้องเจอเด็กลักษณะคล้ายๆ กับเด็กชายคนนี้มาก ทำให้เธอรู้สึกเข้าใจอีกฝ่ายได้อย่างประหลาด อันโตนิโอมองอย่างเงียบๆ ปกติลูกชายเขาเป็นคนเลือกกิน กินอะไรยากสักหน่อยยิ่งพอไม่พูดไม่จายิ่งเดาใจยาก หลายปีที่เขาไม่เคยเห็นลูกชายมีปฏิกิริยาโต้ตอบกับคนอื่นโดยเฉพาะกับคนแปลกหน้าอย่างนี้ด้วย

“ผมให้คนของผมไปสืบเรื่องที่เกิดขึ้นที่บ้านของคุณก่อน” อันโตนิโอเดินมานั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม “แต่มันคงต้องใช้เวลาสักหน่อย”

“ขอบคุณค่ะ ขอบคุณมากๆ เลยค่ะ” ณัชชายิ้มอย่างดีใจ

“แต่ผมก็มีเรื่องจะขอให้คุณช่วยเหมือนกัน”

ณัชชามองเขาเหมือนจะกลั้นใจฟังสิ่งที่เขาจะขอ

“ระหว่างนี้ผมอยากให้คุณพักอยู่กับเราที่นี่ ช่วยดูแลอลองโซจนกว่าคุณจะกลับเมืองไทย ถ้าคุณยอมตกลงผมจะเป็นคนจัดการเรื่องค่าใช้จ่ายต่างๆ ให้คุณเอง”

“ได้ค่ะ ฉันยินดีเป็นพี่เลี้ยงให้ลูกชายของคุณ” ณัชชามองไปที่เด็กชายวัยสิบขวบแล้วส่งยิ้มให้

เด็กชายตัวน้อยก็ยกมุมปากขึ้นมานิดๆ

“ขอบคุณ”

อันโตนิโอพึมพำแล้วเดินออกมาจากห้องอย่างเงียบๆ เขายกมือขึ้นเสยผมอย่างทำอะไรไม่ถูก ใช่เขาตาไม่ฝาดแน่ๆ เมื่อครู่เขาเห็นรอยยิ้มของลูกชายรอยยิ้มที่หายไปเกือบสามปี เขาไม่รู้ว่าเธอเป็นใครแต่คงไม่ยากที่จะสืบประวัติ แต่เขาจะทำอย่างไรที่จะรั้งเธอไว้ให้อยู่กับลูกชายเขาให้นานที่สุดเผื่อว่าเขาจะได้ลูกชายที่ร่าเริงคนเดิมกลับมาสู่อ้อมกอดเขาอีกครั้งหนึ่ง.

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel