บท
ตั้งค่า

บทที่6. เขาเศรษฐีอันดับต้นๆ ของอิตาลี่

ณัชชานั่งจิบน้ำชาเงียบๆ บนโต๊ะตรงหน้ามีถุงผ้าสีฟ้าอ่อนข้างในบรรจุขนมและของฝากจากเมืองไทย วันที่สี่ในโรมกำลังจะผ่านไปอย่างเชื่องช้าแหละเหงาหงอย ปลายนิ้ววาดที่ปากถ้วยน้ำชาอย่างเลื่อนลอย สายตาหลังแว่นตากรอบหนาสีดำที่เธอสวมอยู่

นี่ใช่สิ่งที่เธอต้องการจริงๆ หรือเปล่านะ อุตส่าห์เก็บหอมรอมริมทั้งเกือบสองปีเพื่อมาที่โรม แม้จะมีโอกาสได้ไปดูสถานที่สวยงามหลายแห่งตามที่เธอทำรายการไว้ แต่มันกลายเป็นว่าเธอต้องไปคนเดียวโดยที่มนตรีไม่มีเวลาว่างให้เลยทั้งๆ ที่ก่อนมาเธอก็บอกเขาล่วงหน้านานนับเดือนแล้ว

เธอมีสิทธิ์ที่จะน้อยใจเขาไหมนะ เธอไม่อยากทำตัวเป็นผู้หญิงเรื่องมากแต่เมื่อเจอสภาพนี้ก็อดรู้สึกอยู่ลึกๆ ไม่ได้ เขาไม่ว่างไม่มีเวลา ติดธุระด่วนทั้งเรื่องเรียนและเรื่องงานพิเศษ จะได้เจอกันก็ตอนที่เขากลับมาถึงบ้านแล้วแถมกลับดึกเกือบเที่ยงคืนแทบทุกคืน ถึงเขาจะพูดบ่อยๆ ว่าอีกหน่อยก็อยู่ด้วยกันแล้วก็จะได้เห็นหน้าจนเบื่อไปข้างหนึ่ง แต่สำหรับเธอตอนนี้หัวใจมันแสนจะอ้างว้างและเหงายิ่งกว่าเหงา อยู่เมืองไทยอาจไม่เหงาขนาดนี้ก็ได้ พรุ่งนี้เธอก็จะกลับเมืองไทยแล้วมนตรียังไม่ไปเที่ยวกับเธอเลย แล้วถ้าอยู่ด้วยจริงๆ จะเป็นแบบนี้ไหม อยู่ไกลแล้วใจอุ่นกับอยู่ใกล้แล้วเหินห่างมันแสนจะทรมานและใจเจ็บ

“เธอคือฌัชชาใช่ไหม” ศาสตราจารย์วินัย-ชายวัยห้าสิบปลายๆ ทักทายอย่างเป็นกันเอง

“ใช่ค่ะ” ณัชชาสะดุ้งตื่นจากภวังค์แล้วลุกขึ้นยืน อีกฝ่ายแล้วพยักหน้าเป็นเชิงบอกให้เธอนั่งลง “ทราบได้ยังไงคะว่าเป็นหนู”

“ลูกศิษย์คนโปรดของตาเฉลิมชัย” เขายิ้มกว้างทำให้หญิงสาวรู้สึกผ่อนคลายลงไปมาก “ขอโทษที่ให้รอนานติดอยู่ในห้องประชุมออกมาไม่ได้เลย แถมยังต้องให้มาถึงที่นี่”

“ไม่เป็นไรค่ะ หนูสะดวกมา” ณัชชาเลื่อนถุงของฝากส่งให้ เธอรับหน้าที่นำของฝากจากซาร่ามาให้อาจารย์วินัยซึ่งทำงานอยู่ฝ่ายวิชาการที่นี่ มหาวิทยาลัยแห่งกรุงโรม “หนูต่างหากที่ต้องขอโทษควรจะเอาของฝากมาให้ตั้งแต่วันแรกที่มาถึง”

ศาสตราจารย์วินัยโบกมือไปมา “เธอมาเที่ยวไม่ใช่เหรอ แค่เอาของกินอร่อยๆมาให้ก็ดีใจแล้ว ฉันไม่ได้กลับเมืองไทยมาหกหรือเจ็ดปีแล้ว”

“ค่ะ ศาสตราจารย์เฉลิมชัยก็เคยเล่าให้ฟังอยู่”

“มันคงเอาฉันไปเผาจนเกรียมเลยละซิ” ชายใกล้หกสิบหัวเราะอารมณ์ดี “แล้วนี่ไปเที่ยวไหนมาแล้วบ้างล่ะ”

“ก็ไปจัตุรัสนาโวนา แพนธีออน น้ำพุเทรวี่แล้วก็คอลอสเซียมค่ะ”

“คอลอสเซียมนี่ไม่ไปไม่ได้เลยนะ เพราะเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกเชียว”

ณัชชาขยับแว่นตาแก้เขินเหมือนทุกครั้ง รู้สึกอบอุ่นขึ้นในใจอย่างประหลาด เธอรับปากศาสตราจารย์เฉลิมชัยกับซาร่าให้นำของฝากจากเมืองไทย มาส่งถึงศาสตราจารย์วินัยซึ่งทำงานที่อิตาลี่และไม่ได้กลับเมืองไทยหลายปี แม้ศาสตราจารย์วินัยจะอายุน้อยกว่าห้าหรือหกปีแต่ดูแล้วท่าทางจะเป็นเหมือนเพื่อนสนิทกันมากกว่ารุ่นพี่-รุ่นน้อง อันที่จริงเธอควรนำของฝากมาให้ตั้งแต่วันที่มาถึงโรมแต่เธอก็มีแผนท่องเที่ยวกับมนตรี แต่มันก็ไม่เป็นไปตามที่คิดทำให้เธอเพิ่งจะได้เอามาในวันก่อนเดินทางกลับอย่างนี้

“ผมอ่านวิทยานิพนธ์ของคุณแล้วนะ”

“คะ” ณัชชาเบิกตากว้างอย่างงุนงงจนต้องถามซ้ำอีกครั้ง “อะไรนะคะ”

“ผมบอกว่าผมได้อ่านวิทยานิพนธ์ของคุณแล้วนะ” ศาสตราจารย์วินัยพูดเน้นที่ละคำ “เฉลิมชัยเมล์ให้ผมอ่านนะ มันดีมากเลยทีเดียว เห็นว่าคุณฐานะค่อนข้างลำบากถ้าอยากจะขอทุนเรียนต่อผมก็ช่วยได้นะ”

หญิงสาวยกมือไหว้ขอบคุณแล้วยิ้มเขินๆ “หนูยังไม่คิดเรื่องนั้นหรอกค่ะ ตอนนี้อยากทำงานสร้างตัวมากกว่า”

“น่าเสียดายแต่ถ้าเธอเปลี่ยนใจก็ค่อยว่ากันใหม่”

“ขอบพระคุณมากๆ ค่ะ”

ทั้งสองสนทนาต่ออีกเล็กน้อยอีกฝ่ายก็ขอตัวกลับไปทำงานพร้อมถุงของฝาก ณัชชาไหว้แล้วเดินออกมาอย่างเงียบๆ คุณซาร่ากับศาสตราจารย์เฉลิมชัยทำอะไรไม่บอกเธออีกแล้ว แต่เธอก็ไม่ได้นึกโกรธเคืองอะไรในสิ่งที่ท่านทั้งสองทำ ในทางตรงข้ามท่านทั้งสองสนับสนุนทั้งเรื่องการงานและการศึกษาของเธอ เพียงแต่เธอไม่อยากมาเรียนต่างประเทศแบบนี้ถ้าชีวิตเข้าที่เข้าทางอีกหน่อยเธออาจจะคิดเรื่องเรียนต่อก็ได้ ถึงแม้เธอจะไม่ค่อยมีความทรงจำดีๆ อะไรนักแต่เธอก็อยากใช้ชีวิตในเมืองไทยมากกว่า

แต่กลับเมืองไทยไปคราวนี้เธอคงต้องคิดและทบทวนอะไรๆ ในชีวิตใหม่อีกครั้ง ความรักที่เธอประคับประคองไว้ มันใช่ความรักหรือเปล่า เธออยากมีครอบครัวที่น่ารักและอบอุ่นชดเชยชีวิตตัวเองที่ไม่เคยมีครอบครัวเหมือนคนอื่น แต่เมื่อเธอมาเจอมนตรีเป็นอย่างนี้เธอก็ไม่แน่ใจว่าเธอจะสร้างครอบครัวได้อย่างไร

หญิงสาวแวะส่งโปสการ์ดให้ตัวเองนึกเศร้าใจอยู่ลึกๆขนาดเพื่อนที่จะส่งโปสการ์ดหาก็ยังไม่มี เธอไม่ค่อยสนิทกับใครเข้ากับคนอื่นก็ยากตอนนี้เลยรู้สึกลำบากเวลามีปัญหาอยากปรึกษาใครสักคนก็ไม่มีเลย มีแฟนก็ยิ่งเหมือนไม่มียิ่งคิดก็ยิ่งกลุ้มใจ สุดท้ายเลยแวะซื้อของที่ระลึกให้ตัวเองแล้วตรงกลับบ้านพัก ก่อนออกจากบ้านมนตรีทำหน้าเสียใจที่ไม่ได้พาเธอไปเที่ยวไหนเลยแต่เขาสัญญาว่ามื้อเย็นเขาจะพาเธอไปดินเนอร์เขาคงไม่ผิดสัญญาอีกนะ หญิงสาวถอนหายใจแล้วคิดถึงสัมภาระที่ต้องนำกลับเมืองไทย ต้องหาอะไรทำไม่ให้ตัวเองคิดฟุ้งซ่าน เธอเองก็ยังรับจ็อบทำงานตั้งหลายอย่าง ถ้ามนตรีอยู่ใกล้ๆ เขาอาจจะเบื่อเธอที่ไม่ค่อยมีเวลาให้เขาก็ได้ เธอมีเวลาว่างอีกหลายชั่วโมงเลยคิดว่าจะไปทำความสะอาดบ้านให้มนตรีเสียหน่อยแล้วค่อยจัดกระเป๋าเตรียมเดินทางกลับไทย ณัชชาดูนาฬิกาที่ข้อมือซ้ายแล้วตรงกลับที่บ้านพัก

มือเรียวที่กำลังจะบิดลูกบิดประตูชะงักค้าง มนตรีให้กุญแจบ้านสำรองมาแต่ประตูบ้านไม่ได้ล็อกเธอจำได้ว่าตอนออกจากบ้านก็ปิดประตูบ้านเรียบร้อยแล้ว หรือมีใครกลับเข้ามาในบ้านก็ได้ แต่ก็ได้ยินว่าวินเซนต์กับไมเคิลก็มีเรียนทั้งวันจะกลับมาส่งเธอตอนเย็นเท่านั้น เธอผลักบานประตูเข้าไปอย่างร้อนรนและเมื่อสิ่งที่เห็นปรากฏออยู่ตรงหน้าก็ทำให้ตกใจจนพูดอะไรไม่ออกข้าวของในบ้านถูกรื้อค้นกระจัดกระจายรกไปหมด

“ใครกันทำเรื่องแบบนี้ได้นะ” มือบางยกขึ้นทาบอกพยายามสงบจิตสงบใจ “หรือจะมีขโมยขึ้นบ้านนะ”

ณัชชารีบก้าวเท้ายาวๆ ข้ามเศษแจกันที่ตกแตกอยู่บนพื้นเธอจะเดินไปที่โทรศัพท์ที่เคยตั้งไว้ที่โต๊ะมุมห้องแต่ตอนนี้มันนอนกองอยู่กับพื้น เธอจำได้ว่ามีเบอร์ฉุกเฉินติดที่เครื่อง โทรศัพท์ แต่เธอควรโทรหามนตรีก่อนดีไหม เผื่อว่ามันอาจจะไม่เลวร้ายอย่างที่เธอกังวลไปเอง ขณะที่เธอลังเลว่าจะโทรศัพท์ไปที่ไหนก่อน เธอก็ได้ยินเสียงคนเดินลงมาจากชั้นบน เธอเงยหน้าขึ้นมองด้วยใจที่หวังว่าจะเห็นคนที่เธอรู้จัก ทว่ากลับเป็นผู้ชายตัวใหญ่ราวกับยักษ์ถึงสี่คนเดินลงมา ด้วยความตกใจทำให้เธอไม่ทันฟังว่าคนกลุ่มนั้นพูดอะไร ชายคนหนึ่งเงยหน้าขึ้นแม้เขาจะสวมแว่นตาสีดำแต่ณัชชาก็รู้สึกได้ถึงสัญญาณอันตราย ร่างบางรีบก้มหลบหลังโซฟาแต่คนที่เดินลงมากลายเป็นกระโจนเข้าใส่

“ว้าย!”

หญิงสาวร้องเสียงหลงเมื่อร่างเธอถูกกระชาก สมองเธอประมวลผลไม่ทันไม่อาจจับใจความที่คนกลุ่มนั้นพูดออกมาได้ เธอส่ายหน้าไปมาเร็วๆ เพื่อจะพยายามบอกวาเธอไม่รู้ ไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น มือใหญ่บีบต้นแขนเธอแน่นจนเธอเจ็บ พวกมันหันไปคุยเหมือนปรึกษาแล้วตัดสินใจลากเธอออกที่หลบซ่อน ณัชชาดิ้นรนสุดกำลังแต่ไม่เป็นผล มือใหญ่ลากเธอออกมาผ่านประตูหลังบ้านซึ่งมีรถตู้สีดำจอดรออยู่ “คุณจะพาฉันไปไหน”

ณัชชาพยายามฝืนตัวไม่ยอมให้อีกฝ่ายยัดเธอใส่รถตู้ได้เวลานี้เธอไม่รอคำตอบใดๆ และไม่คิดว่าจะเป็นเซอร์ไพรส์ที่มนตรีเตรียมให้ รู้เพียงแต่ว่าต้องรีบหนีจากสถานการณ์นี้ให้เร็วที่สุด เมื่อรู้ว่าสู้แรงอีกฝ่ายไม่ได้เธอจึงหันไปใช้วิธีเก่าแก่ยามที่ต้องเอาตัวรอด อาศัยจังหวะชุลมุนเธอกัดงับมือคนตัวใหญ่ที่จับเธอไว้สุดแรงจนอีกฝ่ายร้องเสียงหลงแล้วปล่อยเธอออก ร่างบางสลัดออกได้สำเร็จแม้จะแลกด้วยแขนเสื้อที่ขาดเพราะแรงกระชากของคนแปลกหน้า หญิงสาววิ่งเตลิดอย่างไม่รู้ทิศทาง เธอเหลียวมองเห็นคนกลุ่มนั้นตะโกนด่าและไล่ตามทำให้เธอรีบวิ่งหนีสุดชีวิต และโดยไม่รู้ตัวเธอวิ่งหนีสะเปะสะปะปนไปในคนกลุ่มใหญ่ที่เดินสวนผ่าน เพราะเอาแต่เหลียวมองว่าจะมีใครตามไหมทำให้เธอชนกับตำรวจของโรมเข้าอย่างจังจนเธอล้มหงายหลังนั่งก้นกระแทกพื้น

“เป็นอะไรไหมครับ”

“ค่ะ...ค่ะ” ณัชชาหอบหายใจแรง เธอเกือบจะยิ้มดีใจที่เจอตำรวจ แต่ไม่ทันจะได้ยิ้มออกมาเธอก็ต้องสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงโหวกเหวกไม่ไกลนัก

“ช่วยด้วย! คนวิ่งราวกระเป๋าเงินฉัน”

เธอกับตำรวจหันไปมองทางเดียวกัน คล้ายจะเป็นชายชาวเอเชียวิ่งผ่านพร้อมกระเป๋าใบสวยและด้านหลังมีหญิงสาวร้องโวยวายอยู่ ตำรวจอีกคนที่อยู่ใกล้วิ่งตาม เธอกับตำรวจอีกคนมองหน้ากันแล้วตำรวจก็มองไปยังแขนเสื้อที่ขาดของเธอ

“ฉันไม่ใช่พวกเดียวกับเขานะ” เธอพยายามอธิบายก่อนที่ตำรวจจะตั้งคำถาม “ฉันเป็นนักท่องเที่ยวถูกคนไล่ตามค่ะ”

“นักท่องเที่ยว” ตำรวจเอ่ยถาม เขามองเพื่อนตำรวจที่วิ่งไล่จับคนร้ายและดูท่าทางจะจัดการรายนั้นได้ไม่ยากนัก “ผมของดูพาสปอร์ตหรือวีซ่าของคุณหน่อย”

“ได้ค่ะ” ณัชชาลุกขึ้นยืนแล้วค้นกระเป๋าสะพายของตัวเอง แล้วเธอก็หน้าซีดลงเมื่อนึกได้ว่าเธอเก็บไว้ที่บ้านพักของมนตรี ก็เธอได้ยินว่าต้องระวังพวกโจรล้วงกระเป๋าเธอก็เลยไม่เอาของมีค่าออกไปข้างนอกด้วย

“มันอยู่ที่บ้านของแฟนฉัน มีคนเข้าไปค้นบ้านเขาและพวกเขาจะจับตัวฉันค่ะ” เธอพยายามอธิบายอีกครั้ง

“เป็นพวกลักลอบเข้าเมืองหรือเปล่า” ตำรวจถามเสียงดุ “ผมต้องเชิญคุณไปสถานีตำรวจกับเรา”

“ไม่ค่ะ คุณไม่เข้าใจ มีคนไล่ตามฉันมาจริงๆ” เธออธิบายซ้ำแต่ดูเหมือนตำรวจจะไม่เชื่อเขาทำท่าจะจับแขนเธอ ด้วยความหวาดกลัวทำเธอถอยห่าง ยิ่งทำให้ตำรวจสงสัยในตัวเธอ ณัชชาหมุนตัวกลับแล้วออกวิ่งทันทีเวลานี้เธอไม่อาจไว้ใจใครได้อีก ความสับสนทำให้เธอวิ่งหนีตำรวจจนไปชนกับชายหนุ่มคนหนึ่งเข้า

ชายหนุ่มขมวดคิ้วมองร่างบางที่วิ่งเข้าปะทะเขาอย่างจังจนเกือบล้ม มือใหญ่รวดเร็วพอที่จะช่วยพยุงเธอไว้ได้ก่อน

“ขอโทษค่ะ” ณัชชาพูดเสียงสั่นและเมื่อเห็นตำรวจเข้ามาใกล้เธอก็กลัวจนใช้ร่างใหญ่ของเขาเป็นที่กำบัง “ช่วยด้วยค่ะ ตำรวจเข้าใจผิดว่าฉันเป็นพวกลักลอบเข้าเมือง”

ชายหนุ่มในชุดสูทราคาแพงขมวดคิ้วยุ่ง “แล้วผมจะรู้ได้ไงว่าคุณพูดจริง”

ณัชชาสะดุ้งเฮือกไม่คิดว่าวันนี้เธอจะเจอเรื่องราวยุ่งเหยิงและเลวร้าย พยายามจะตั้งสติเพื่อคิดหาทางแก้ไขปัญหา มือบางสั่นระริกล้วงลงไปในกระเป๋าควานหาโทรศัพท์มือถือเพื่อติดต่อมนตรีแต่เขาก็ไม่รับสาย

“รับสายซิตรี...ได้โปรด” อย่างน้อยก็จะได้มีคนยืนยันว่าเธอไม่ใช่พวกลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย

อันโตนิโอ ซิวีลิอาโน่ มองหญิงสาวร่างบางที่ผมเผ้ายุ่งเป็นกระเซิงแถมเสื้อแขนยาวที่เธอสวมก็ขาดรุยไปข้างหนึ่ง ปกติเขาจะไม่เข้าค่อยเข้าออฟฟิศนักสัปดาห์หนึ่งจะเข้าเพียงหนึ่งหรือสองวันเท่านั้น ส่วนใหญ่เขาจะทำงานที่บ้านสั่งงานหรือประชุมทางไกลแต่กระนั้นมันก็มีเหตุให้เขาต้องออกจากบ้านเกือบทุกวัน แต่ในใจของเขานั้นต้องการอยู่ใกล้ชิดลูกชายของเขาให้มากที่สุดชดเชยเวลาที่ผ่านไป วันนี้ก็เช่นกันเขาเพิ่งออกจากบริษัทหลังจากประชุมอยู่นานเกือบห้าชั่วโมงและกำลังจะตรงดิ่งกลับบ้านแต่นึกได้ว่าเขาสัญญาว่าจะซื้ออุปกรณ์วาดรูปให้อลองโซและหนังสือภาพอีกสองสามเล่มที่สั่งไว้ จริงๆ คนอย่างเขาไม่จำเป็นต้องขับรถมาซื้อเองก็ได้ โทรศัพท์สั่งเพียงกริ๊กเดียวไม่กี่นาทีก็มีคนมาส่งของถึงบ้าน แต่เขาอยากเลือกซื้อเองอย่างน้อยลูกชายเขาคงรับรู้ได้ว่าเขาตั้งใจทำให้เขาและไม่ลืมสัญญาที่ให้ไว้

แต่พอลงจากรถไม่กี่ก้าว ร่างสูงของเขาก็ถูกชนอย่างแรงถ้าเขาไม่ไวพอร่างบางคงล้มก้นกระแทกพื้นแน่ๆ ปกติเขาเจอผู้หญิง ‘เข้าหา’ หลายรูปแบบ แต่เพิ่งเคยเจอแบบนี้เป็นครั้งแรก เธอไม่ใช่สเปคของเขานั้นตัดทิ้งไปได้เลย ผมยาวสีดำถักรวบไว้หลวมๆ เสื้อและกระโปรงยาวนั่นชวนให้คิดถึงแม่ชีในโบสถ์ แต่เมื่อจ้องมองดวงตาหลังแว่นตากรอบดำที่มีรอยรื้นของน้ำตาก็ทำให้เขาแอบถอนหายใจเบาๆ ตำรวจคนหนึ่งเดินตรงมาทางเขาและเมื่อเห็นหน้าเขาชัดๆ อีกฝ่ายก็มีท่าทีอ่อนน้อมลง วันนี้เขาไม่ได้เรียกเปาโลติดตามตัวมาด้วย คงต้องเคลียร์ปัญหาเองแล้วละซิ

“สวัสดีครับคุณอันโตนิโอ ไม่คิดว่าจะมาเจอแถวนี้”

“ผมมาซื้อของให้ลูกชาย” ชายหนุ่มเอ่ยแบบเหนื่อยๆ แล้วมองหญิงสาวที่ยังใช้แผ่นหลังเขาเป็นที่กำบัง “มีปัญหาอะไรหรือครับ”

“ผู้หญิงคนนี้ไม่มีหลักฐานแสดงตัวอะไรสักอย่าง บอกแต่ว่ามีคนไล่ตามแต่ผมดูแล้วก็ไม่เห็นมีใคร”

“เธออาจเป็นนักท่องเที่ยว” เขาแก้ตัวให้อย่างสงสาร

“ครับ ถ้าเธอติดต่อใครสักคนเพื่อยืนยันได้นะ” ตำรวจยักไหล่น้อยๆ

อันโตนิโอพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ เขาหันมาทางหญิงสาวที่ยังมีแววหวาดกลัวอยู่ “คุณมีหลักฐานอะไรแสดงตัวไหม”

“ฉันกลัวพาสปอร์ตหายก็เลยเอาไว้ที่บ้านของแฟนค่ะ” ณัชชาพยายามบังคับไม่ให้เสียงตัวเองสั่น “แต่เมื่อกี้ที่บ้านของแฟนมีคนกำลังค้นข้าวของในบ้านอยู่ พวกนั้นเห็นฉันพยายามจับตัวฉัน ฉันก็วิ่งหนีมา แต่ตอนนี้ฉันติดต่อแฟนฉันไม่ได้ค่ะ”

อันโตนิโอถอนหายใจอีกครั้ง เขาไม่ได้รู้สึกสงสารหรือเห็นใจเลยสักนิด แต่ก็ทำอะไรสักอย่างตามมารยาทที่ดีซึ่งเขาเองก็ไม่ค่อยจะมีเท่าไหร่

“คุณมีใครที่จะติดต่อได้ไหม”

ณัชชาเงยหน้าจากโทรศัพท์มือถือแล้วมองหน้าผู้ที่ยื่นมือมาช่วยเหลือ เขาเป็นผู้ชายตัวสูงใหญ่ในชุดสูทสีน้ำเงินเกือบดำ ใบหน้าคมเข้มไร้รอยยิ้มทำให้ดูน่าเกรงขาม เขาคงเป็นนักธุรกิจที่บังเอิญผ่านมาและต้องเสียเวลากับเธอ หญิงสาวรู้สึกผิดและอึดอัดกับความรู้สึกที่เกิดขึ้น แล้วเธอก็นึกได้ว่ามีนามบัตร อยู่หนึ่งใบที่ซาร่าให้ไว้ก่อนเดินออกจากเมืองไทย

‘จริงซิ! เธอเก็บนามบัตรนี่ไว้ เผื่อมีเหตุฉุกเฉินเขาจะให้ความช่วยเหลือกับเธอได้’

“นี่ค่ะ”

ณัชชาค้นเจอนามบัตรและยื่นส่งให้อันโตนิโอแต่เขาไม่รับ เขาพยักหน้าไปทางตำรวจเธอจึงยื่นให้นามบัตรให้ตำรวจ “มีคนบอกว่าถ้าฉันมีปัญหาให้ติดต่อคนในนามบัตรนี้ได้ค่ะ”

ตำรวจอ่านชื่อในนามบัตรสองสามครั้งแล้วมองมาทางอันโตนิโอ ชายหนุ่มขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจจนเมื่อตำรวจยื่นนามบัตรส่งให้เขาถึงกับพูดไม่ออก ก็เขาไม่เคยเจอยัยแว่นหนาคนนี้มาก่อนเลยแล้วเธอได้นามบัตรเขามาได้ยังไงกัน

“เธอได้นามบัตรนี่มาจากไหน”

“คุณซาร่าค่ะ เป็นเป็นภรรยาของโปรเฟสเซอร์เฉลิมชัยค่ะ คือฉันเป็นผู้ช่วยของโปรเพสเซอร์ค่ะ ก่อนที่ฉันจะมาเที่ยวที่นี่คุณซาร่าให้นามบัตรไว้เผื่อฉุกเฉินต้องการความช่วยเหลือค่ะ”

อันโตนิโอโคลงศีรษะอย่างไม่รู้จะทำอะไรได้ดีไปกว่านี้ เขาหันไปกระซิบกับตำรวจสองสามคำแล้วตำรวจคนนั้นก็เดินจากไป ณัชชายิ้มออกมาได้รู้สึกโล่งอก

“ขอบคุณมากค่ะ”

“เธอไม่ได้รู้จักคนในนามบัตรนี้เลยใช่ไหม”

ณัชชาส่ายหน้าช้าๆ แทนคำตอบ อีกฝ่ายถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาจำได้ครั้งล่าสุดที่กลับเมืองไทยไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมานี่เอง ดูจากเสื้อผ้าการแต่งตัวคงเดาได้ไม่ยากเลยว่าเธอเป็นผู้ช่วยคนที่ซาร่าเคยพูดว่าจะมาเที่ยวโรม

“มาซิ ขึ้นรถมาก่อน”

“คะ” ณัชชาทำหน้างงๆ “จะไปไหนคะ”

“เธอยังติดต่อแฟนไม่ได้ใช่ไหม บ้านก็โดนค้น แถมมีคนไล่ตาม ยังไม่มีที่ไปแบบนี้ก็ไปกับฉันก่อนก็แล้วกัน เดี๋ยวจะให้เปาโลมาเคลียร์ให้”

“ไม่เป็นไรค่ะ แค่ที่คุณช่วยเหลือก็ต้องขอบคุณมากๆ แล้ว”

“แล้วเธอจะไปไหน จะทำยังไง” เขาหงุดหงิดกับผู้หญิงคนนี้ ดูเชยๆ แต่ท่าทางหัวรั้นเหมือนกัน “ฉันจะลองติดต่อแฟนอีกทีค่ะ ถ้าไม่ได้ก็คงจะโทรหาคนในนามบัตรนี้” เธอยื่นมือจะไปดึงนามบัตรในมือของเขาคืน แต่ชายหนุ่มตวัดมือหลบไม่ให้เธอหยิบได้

“ขอนามบัตรคืนฉันด้วยค่ะ” เธอเริ่มเสียงแข็งนิดๆ แต่ก็ไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายส่งสิ่งที่ต้องการให้

แทนที่เขาจะส่งนามบัตรให้แต่เขากลับดึงข้อมือเธอให้เดินตามมาที่รถของเขา เธอออกแรงขัดขืนแต่เขาแรงเยอะกว่ากึ่งจูงกึ่งลากข้อมือเล็กๆ มาที่รถของเขาแล้วเปิดประตูให้เธอเข้าไปนั่ง ซึ่งเกือบๆ จะยัดเข้าไปในรถเขานั้นแหละ

“คุณจะทำอะไรน่ะ”

“คุณไม่ต้องโทรหาเขาหรอก” เขาบอกแล้วปิดประตูล็อกรถอย่างรวดเร็วแล้วก้าวยาวๆ มาที่ฝั่งคนขับแล้วมองหญิงสาวที่ขยับตัวถอยห่างจนชิดประตูรถ เขายื่นหน้าไปใกล้จนหญิงสาวได้กลิ่นน้ำหอมจากกายของเขา มันยิ่งทำให้เธอรู้สึกอึดอัดหายใจติดขัดอยากจะทุบรถออกไปให้ได้

“คุณไม่ต้องโทรหาคนในนามบัตรแล้วเพราะผมคือคนๆ นั้น”

“หา! อะไรนะคะ”

ณัชชาอ้าปากกว้างอย่างตกใจ เขานะเหรอคือ ‘อันโตนิโอ ซิวีลิอาโน่’ เศรษฐีอันดับต้นๆ ของอิตาลี่ เจ้าของโรงแรมระดับห้าดาวและอื่นๆ อีกมากที่เธอเคยเซิร์สอ่านเล่นๆ และไม่คิดว่าจะได้เจอตัวจริงในสถานการณ์ไม่ธรรมดาแบบนี้

เหมือนชีวิตที่แสนจะธรรมดาของเธอได้เปลี่ยนไปแล้ว.

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel