บทที่5. รับสมัครพี่เลี้ยงเด็ก
อันโตนิโอ ซิวีลิอาโน่ หนุ่มใหญ่วัย 39 ปีนั่งกุมขมับอย่างเคร่งเครียด ชีวิตของเขาเจออุปสรรคมามากมายแต่ไม่คิดว่า ‘เรื่องแบบนี้’ จะทำให้เขาปวดหัวได้มากขนาดนี้
“ก็บอกแล้วว่าหาแม่ใหม่ให้อลองโซยังง่ายกว่า” เสียงฟรานเชสโก้ ซิวีลิอาโน่ น้องชายคนกลางเอ่ยทักทายผสมหยอกล้อ พอเห็นอันโตนิโอเงยหน้าขึ้นเขาก็แสร้งทำเป็นเคาะประตูสองสามครั้งก่อนจะก้าวเข้ามาในห้องทำงานของผู้เป็นพี่ชาย เขานั่งลงที่เก้าอี้ว่างตรงข้ามแล้วหัวเราะเบาๆ
“เห็นความทุกข์ของคนอื่นเป็นเรื่องสนุกก็หัวเราะไป” หนุ่มใหญ่เลื่อนปมเนทไทลงเล็กน้อย “ข้างนอกไม่มีแล้วใช่ไหม”
ฟรานเชสโก้ส่ายหน้าไปมา สายตาช่างสังเกตของเขาเห็นรอยแดงคลายรอยลิปสติกที่ปกเสือเชิ้ตของผู้เป็นพี่แล้วก็อดหลิวตาให้ไม่ได้
“แน่ใจว่าหาพี่เลี้ยงเด็กอยู่นะ”
อันโตนิโอเข้าใจสายตาของน้องชาย เขายิ่งรู้สึกหงุดหงิดเป็นสองเท่า ก็วันนี้เขานัดคนที่สมัครเป็นพี่เลี้ยงเด็กให้เข้ามาสัมภาษณ์มีเข้ามาประมาณยี่สิบคน แต่ละคนทำเหมือนอยากสมัครเป็นภรรยาของเสียมากกว่า บางคนลงทุนจู่โจมแทบตั้งตัวไม่ทันถ้าไม่เกรงใจเห็นว่าเป็นผู้หญิง เขาคงจับหักแขนไปแล้ว “นายก็รู้ว่าฉันไม่ชอบแบบนี้” อันโตนิโอมองแก้วกาแฟที่ว่างเปล่า “ฉันอยากหาพี่เลี้ยงดีๆ ให้อลองโซ”
“เสียใจด้วยที่พี่เลี้ยงดีๆ อย่างคุณป้าโมนิก้าล้มในห้องน้ำจนต้องพักรักษาตัวยาวแบบนี้ แต่ยังไงวันหนึ่งป้าโมนิก้าก็ทำงานไม่ไหวต้องหยุดพักผ่อนอยู่ดี”
“ฉันรู้นานแล้วว่ายังไงป้าโมนิก้าก็ต้องถึงเวลาพักผ่อน” อันโตนิโอหมายถึงหญิงชราวัยหกสิบที่คอยดูแลลูกชายของเขามาตั้งแต่เกิดโมนิก้าเป็นคนสนิทของนาตาลี-ภรรยาของเขาซึ่งเคยเป็นพี่เลี้ยงภรรยาของเขามาก่อน อลองโซเองก็ติดโมนิก้ามาก เขาพยายามเหลือเกินที่จะให้ลูกชายของเขากลับมาร่าเริงเป็นเด็กชายที่พร้อมจะเติบโตไปในวันข้างหน้า ไม่ใช่จมอยู่กับความเศร้าเนิ่นนานกว่าสามปีอย่างนี้
“แล้วนายมาทำธุระอะไรที่นี่” อันโตนิโอเปลี่ยนเรื่องแล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินไปที่หน้าต่างมองไปด้านล่างเป็นสวนหย่อมขนาดเล็ก ลูกชายของเขากำลังนั่งวาดรูปอยู่ใต้ต้นไม้โดยมีบอร์ดี้การ์ดของเขายืนประกบอยู่ใกล้ๆ
“อ้าว! นี่บ้านฉันเหมือนกันนะ” ฟรานเซสโก้ขึ้นเสียงสูงราวไม่พอใจ
“ทุกตารางนิ้วมันก็ของนายกับราฟาเอลนั้นแหละ” เขาพูดแบบไม่ซีเรียสนัก “ปกติไม่เคยห่างเมียเลยนี่ก็อดถามไม่ได้”
“ห่างเมียไม่ได้แต่ไม่ใช่คนกลัวเมียนะครับ” ฟรานเซสโก้หัวเราะตามประสาคนหนุ่มเคยเป็นเพลย์บอยมาก่อน แต่เพราะเขาได้เจอรักแท้จึงทำให้เขาถอดเขี้ยวเล็บออกเป็นคนรักครอบครัว “อย่านอกเรื่องนักเลยน่า” อันโตนิโอหัวเราะในลำคอ “พ่อโทรตามใช่ไหม คงคิดถึงหลานละซิ”
ฟรานซิโก้พยักหน้ารับ “มาประชุมผู้ถือหุ้นใหญ่ด้วย แต่คงไม่นอนที่บ้านหรอก รำคาญพ่อชอบจับผิด”
“เป็นพ่อคนแล้วก็น่าจะเข้าใจความรู้สึกของคนเป็นพ่อนะ”
ฟรานเซสโก้ไหวไหล่น้อยๆ “ผมรู้แค่ว่าผมจะไม่เหมือนพ่อ จะไม่ให้เขาต้องเจออะไรเหมือนเรา”
“ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้ว” อันโตนิโอพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ เขาอยู่ในฐานะลูกชายคนโตของชายผู้ได้ชื่อว่าเป็นมาเฟียแห่งอิตาลี่ เขาต้องเข้มแข็งและแกร่งทั้งร่างกายและจิตใจพอที่จะสู้กับคนมากหน้าหลายตา จริงๆ น้องชายสองคนของเขายังไม่เจออะไรหนักหนาเท่าที่เขาเคยเจอ ถึงแม้ว่าพ่อจะไม่เคยเอ่ยปากสั่งให้เขาไปทำอะไรต่อมิอะไร แต่บางเรื่องเขาก็รู้ดีว่าเขาต้องฝึกฝนเพื่อเป็นมือขวาของพ่อ เพื่อตอบแทนบุญคุณที่ท่านได้ชุบเลี้ยงเขาเป็นผู้เป็นคนในทุกวันนี้
“อย่าลืมว่าพ่อเราก็เปลี่ยนไปมาก ท่านไม่ได้ต้องการอะไรมากกว่าไปกว่ามีลูกๆ อยู่ใกล้ๆ”
“แต่ตอนนี้พ่อก็มีพี่อยู่ไง” ฟรานเซสโก้ลุกขึ้นยืนแล้วแตะไหล่พี่ชาย “พ่อเป็นห่วงพี่มากนะ”
“ฉันไม่เป็นอะไรหรอก”
“เป็นซิ ใครๆ ก็ดูออก” ฟรานเซสโก้ถอนหายใจหนักๆ ในความหัวรั้นของพี่ชาย “พี่ควรมีครอบครัวดีๆ มีคนรักดีๆ มีชีวิตดีๆ”
อันโตนิโอยิ้มเศร้า “ฉันมีสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตอยู่แล้ว”
ฟรานเซสโก้ได้แต่พยักหน้ารับอย่างเหนื่อยหน่าย “ผมพาลูกกับเมียไปนอกเมืองนะ เปลี่ยนบรรยากาศหน่อยแต่ยังไงงานเลี้ยงของบริษัทผมจะกลับมา”
“ตกลงมาทำงานหรือมาฮันนีมูนรอบสองวะ”
ฟรานเซสโก้หัวเราะออกมาแล้วตบไหล่พี่ชายเบาๆ ก่อนจะเดินออกจากห้องไปอันโตนิโอมองแฟ้มสมัครงานที่กองอยู่ตรงหน้าแล้วก็ปวดหัวขึ้นมา เขาต่อโทรศัพท์ภายในเรียกคนสนิทเข้ามาในห้องทำงาน
“เปาโลเอาไอ้พวกนี้ไปทิ้งในถังขยะให้ทีซิ”
“หมายถึงแฟ้มสมัครงานนี้นะเหรอครับ” เปาโลมองไปที่ปลายนิ้วที่เจ้านายชี้
“ก็นั้นแหละ ใช้ไม่ได้สักคน” อันโตนิโอบ่นอย่างหัวเสีย
เปาโลเก็บรวบรวมเอกสารแล้วแอบมองบรรดาสาวๆ ในภาพที่แนบแฟ้มมาแล้วก็อดเสียดายไม่ได้ แต่ละคนสวยๆ ทั้งนั้น “ไม่ถูกใจสักคนเลยหรือครับ”
อันโตนิโมมองบอร์ดี้การ์ดด้วยสายตาตำหนิ “ฉันหาพี่เลี้ยงให้ลูกชายไม่ได้หาคู่ขามานอนด้วย!”
“ครับๆ ผมขอโทษครับท่าน” เปาโลรีบกุลีกุจอเก็บแฟ้มไปทิ้งที่ถังขยะมุมห้องแล้วเขาก็นึกถึงเรื่องราวเมื่อสามวันก่อนได้ “เอ่อ...ท่านครับ เมื่อสามวันก่อนที่ผมพาคุณอลองโซเข้าเมืองไปพบคุณหมอเบียงก้าแล้วคุณอลองโซแอบหนีไปซื้อไอศกรีมนะครับ”
“ยังจะกล้าพูดเรื่องนี้อีกเหรอ”
อันโตนิโอเอ่ยอย่างหัวเสีย วันนั้นเขาติดประชุมงานที่บริษัทเลยให้เปาโลพาลูกชายไปพบคุณหมอเบียงก้า แต่เปาโลกลับผลัดหลงกับอลองโซ แม้จะไม่กี่นาทีแต่เมื่อเขาได้รับทราบก็โมโหไม่ได้แค่เดินตามเด็กสิบขวบก็ยังผลัดหลงกันได้ แม้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่อลองโซมักจะชอบแอบไปไหนต่อไหนคนเดียวแม้จะไม่ไกลนักเขาก็ไม่พอใจ เขาเป็นคนที่มีศัตรูทางการค้าไม่น้อยยังไงก็ต้องระวังเรื่องการลักพาตัวให้มากที่สุด แต่เขายอมรับว่าเปาโลเป็นคนซื่อสัตย์คนหนึ่ง เปาโลไม่จำเป็นต้องมารายงานเขาก็ได้ แต่เปาโลก็รายงานทุกเรื่องทำให้เขาไว้ใจเปาโลให้คอยดูแลลูกชายของเขา
“มีอะไรก็ว่ามา”
“คุณอลองโซเดินชนผู้หญิงคนหนึ่งครับ น่าจะเป็นนักท่องเที่ยวชาวเอเชีย”
“แล้วยังไง” เขาถามอย่างหงุดหงิด
“คุณอลองโซยิ้มให้ผู้หญิงคนนั้นครับ”
“อะไรนะ!” อันโตนิโอถามอย่างไม่เชื่อหู “อลองโซยิ้ม! ยิ้มให้คนแปลกหน้านะเรอะ!”
“ใช่ครับ”
“แล้วมาบอกอะไรตอนนี้!”
“ตอนนั้นผมกังวลเรื่องความปลอดภัยของคุณอลองโซมากกว่า ไม่ได้คิดถึงเรื่องอื่นเลยครับ”
อันโตนิโอได้แต่ถอนหายใจหนักๆ ใครกันที่ทำให้ลูกชายของเขายิ้มได้ หลังจากอุบัติรถคว่ำครั้งนั้น เขาสูญเสียภรรยาของเขาไป แม้ลูกชายจะรอดพ้นจากอาการโคม่าแต่เขากลับกลายเป็นคนไม่พูด ไม่คุยกับใคร ไม่ร่าเริง ได้แต่เก็บตัวเงียบ แม้กระทั้งคนเป็นพ่ออย่างเขาลูกยังไม่ยอมพูดหรือยิ้มให้เลย
“ช่างเถอะ” อันโตนิโอพูดอย่างปลงๆ “แต่ถ้าเจออีกเมื่อไหร่ นายรู้ใช่ไหมว่าต้องทำยังไง”
“ครับท่าน”
“สั่งคนเตรียมรถ ฉันมีนัดกับอแมนด้า”
“ครับท่าน”
ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์มือถือเครื่องบางใส่กระเป๋ากางเกงแล้วเดินออกมาที่หน้าบ้าน เขายิ้มอย่างไม่รู้ตัวเมื่อมองไปที่ลูกชายของเขา อันโตนิโอเดินไปหาลูกชายที่นั่งอยู่บนพื้นหญ้าข้างตัวมีสีไม้หลายสีและสมุดวาดภาพ อลองโซขยับตัวนอนเหยียดยาวไปที่พื้นหญ้าสีเขียวอ่อนนุ่ม เขากำลังตั้งหน้าตั้งตาวาดรูปน้ำพุที่อยู่กลางสวน
“จิตกรน้อยของพ่อ” อันโตนิโอลูบผมนุ่มของลูกชายเบาๆ “พ่อจองรูปนี้ใส่กรอบในห้องทำงานของพ่อนะ”
อลองโซเงยหน้ามองผู้เป็นพ่อเล็กน้อยแล้วพยักหน้าช้าๆ แล้วก็หันไปสนใจสิ่งที่ตนเองกำลังทำอยู่
“พ่อออกไปธุระเรื่องงานก่อนนะลูก อยู่บ้านกินข้าวเย็นกับคุณปู่นะครับ แล้วพ่อจะรีบกลับบ้าน”
เด็กชายเงยหน้ามองอีกครั้งแล้วพยักหน้ารับเป็นเชิงรับรู้ สามปีที่ผ่านมานี่คือการโต้ตอบสนทนากันระหว่างเขากับลูกชายวัยสิบขวบ อันโตนิโอปวดร้าวในอกที่ไม่สามารถช่วยเหลืออะไรลูกได้เลย เขาจูบหน้าผากลูกชายเบาๆ แล้วลุกขึ้นยืนเดินไปที่รถเก๋งคันหรูที่จอดรอเขาอยู่นานแล้ว
“ไม่เป็นไร วันนี้ฉันขับรถเอง”
อันโตนิโอขับรถออกจากคฤหาสน์เก่าแก่แสนสวยที่มีประวัติยาวนาน โดยเฉพาะการแต่งบ้านสไตล์อิตาเลียนนั้น ส่วนใหญ่จะเน้นความโอ่อ่า หรูหรา อลังการเป็นองค์ประกอบ ไม่ว่าจะเป็นวัสดุที่ใช้ในการก่อสร้าง รวมทั้งเฟอร์นิเจอร์ เครื่องเรือน และของตกแต่งอื่นๆ ที่เข้าชุดกัน แต่ส่วนตัวเขาชอบบ้านสไตล์ทัศคานีมากกว่า เขามีบ้านหลังเล็กอยู่บนเกาะส่วนตัวเวลาที่ต้องการความเป็นส่วนตัวเขาจะสิงสถิตอยู่ที่นั่นและบางครั้งเขาก็พาลูกชายไปด้วย
ชายหนุ่มใช้เวลาประมาณสี่สิบนาทีก็มาถึงคอนโดของอแมนด้า เซเลบสาวสุดเซ็กซี่ที่ใครๆ ก็รู้จัก เธอเป็นเจ้าแม่ในวงการนิตยสารแฟชั่น เขาพบกับเธอเพราะธุรกิจของเขา นิสัยง่ายๆ สบายๆ ของอแมนด้าทำให้เขาคบกับเธอได้นานกว่าผู้หญิงคนอื่น แต่ก็ไม่ใช่การคบหาในฐานะของคนรัก มันเป็นเพียงการตอบสนองความต้องการของกันและกันเท่านั้น
“คุณมาตรงเวลาเสมอเลยนะคะ” อแมนด้าทักทายพร้อมโปรยยิ้มหวาน
“ผมเป็นคนรักษาเวลา” เขายิ้มให้พลางปลอกระดุมที่ข้อมือ “คุณจะให้ผมดูแผนงานอะไรเหรอ”
“ถ้าไม่ใช่เรื่องงานคุณจะไม่มาหาฉันรึคะ” เธอหัวเราะระรื่นแล้วเบี่ยงตัวให้ชายหนุ่มเข้ามาในห้อง “ฉันกำลังชิมไวน์ที่จะใช้ในงานเลี้ยงอยู่ค่ะ”
อันโตนิโอพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ อีกห้าวันก็จะมีงานเลี้ยงประจำปีเป็นงานเลี้ยงของบริษัทเพื่อขอบคุณสื่อมวลชนและลูกค้าและเป็นปีที่สองที่อแมนด้าเป็นคนดูแลออกแบบคอนเซปของงานทั้งหมด
“คุณคงชิมหลายแก้วแล้วซิ” เขาหลิวตามองหญิงสาวผมสีแดงสวย เธออยู่ในชุดนอนบางเบาสีดำเซ็กซี่ขับผิวขาวให้เย้ายวน “ฉันต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุดไว้ให้คุณซิคะ”
อแมนด้าแลบลิ้นสีชมพูเลียริมฝีปากตัวเองแล้วยื่นมือไปลูบไล้แผ่นอกของชายหนุ่มตรงหน้า เขาเป็นหนุ่มใหญ่วัยสามสิบเก้าที่มีพลังอย่างล้นเหลือ เรือนร่างของเขาช่างเหมือนรูปสลักปูนปั้นที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามชวนหลงใหล เพียงแค่คิดถึงเขาร่างกายของเธอก็เร่าร้อนและพร้อมจะหลอมละลายในทันที เธอเองก็ไม่ใช่เด็กสาวไร้เดียงสา อายุเธอก็สามสิบแล้วแต่เขาเป็นผู้ชายที่สามารถปรนเปรอให้เธออิ่มรักได้มากที่สุด มือเรียวผลักเสื้อสูทออกแล้วตามด้วยการปลดกระดุมเสื้อเชิ้ต เขายืนนิ่งปล่อยให้เธอปลดเปลื้องเสื้อผ้าออกอย่างง่ายดาย อแมนด้าผลักให้เขานั่งลงบนโซฟาแล้วพาร่างอิ่มเอิมนั่งคร่อมตักของเขา “คุณจะไม่ให้ผมดูแผนงานที่คุณบอกว่าปรับแก้หรอกหรือ” เขาถามน้ำเสียงราบเรียบแต่เลื่อนมือสอดเข้าไปใต้เสื้อคลุม ภายในชุดนอนแสนเซ็กซี่มันคือเรือนร่างที่ไร้อาภรณ์ใดๆ มือใหญ่ของเขาประคองทรวงอกที่ใหญ่ล้นมือ บีบเคล้นเป็นจังหวะอย่างคนที่เชียวชาญจนริมฝีปากสวยเผยอส่งเสียงครางอย่างไม่รู้ตัว
“นี่ไงคะ งานของฉัน ทำให้คุณมีความสุขที่สุด”
อแมนด้าเลื่อนมือลงแล้วรูดซิปกางเกงของเขาให้เสาหินอ่อนผงาดออกมา มือนุ่มประคองสิ่งนั้นไว้ในมือแล้วมองหน้าอีกฝ่ายที่มีสีหน้าผ่อนคลายลง เขามักมีสีหน้าเคร่งเครียดเสมอ แต่กระนั้นก็เป็นใบหน้าที่แสนจะหล่อเหลากว่าดาราฮอลีวูดด้วยซ้ำ หญิงสาวเลื่อนตัวลงใช้ปลายลิ้นปรนเปรอมอบความสุขให้เขา เสาหินของเขาช่างอลังการนักแม้ว่าเธอเธอเป็นฝ่ายดูดกลืนเขาแต่ร่างกายเธอก็ร้อนเร่าตื่นเต้นไปด้วยความต้องการเธอเหมือนไม่เคยอิ่มกับเรื่องแบบนี้ โดยเฉพาะกับเขาที่เท่าไหร่ก็ไม่พอ เธออยากจะต้อนเขาให้จนมุมก่อนแต่เธอกลับเป็นฝ่ายที่ต้องการอย่างท่วมท้น หญิงสาวหยิบถุงยางมาสวมให้เขาอย่างชำนาญแล้วเป็นฝ่ายขึ้นคร่อมนั่งบนตักเขา และอย่างรวดเร็วที่เขาส่งแก่นกายที่แข็งแกร่งแทรกผ่านกลีบดอกไม้อ่อนบาง หญิงสาวก็สะดุ้งเฮือกจนผวากอดเขาแน่น ชายหนุ่มใช้ปลายลิ้นตวัดเลียที่ยอดทรวงอกขบเม้มอย่างรู้ความต้องการอีกฝ่าย อแมนด้าขยับสะโพกเข้าใส่อย่างรวดเร็วและรุนแรงยิ่งเสาหินของเขาแทรกเข้าไปลึกล้ำมากเท่าไหร่ เธอก็เพิ่มความเร็วของการกระแทกสะโพกของตัวเองมากเท่านั้น หญิงสาวครางเสียงดังอย่างไม่อาจห้ามใจได้ เธอรู้ตัวว่ากำลังจะถึงจุดหมายปลายทางและเหมือนอีกฝ่ายจะรู้
อันโตนิโอไม่ยอมให้อแมนด้าได้ถึงปลายทางง่ายนัก เขายกตัวเธอขึ้นจากตักอย่างง่ายดายแล้วจับสะโพกของเธอดันไปชินพนักโซฟา อแมนด้ารู้ดีว่าจะได้รับสิ่งใดเธอมองตัวเองในกระจกเงาตรงหน้า มันยิ่งเร้าใจเธอมากขึ้นไปอีก
“คุณสวยจัง” อแมนด้าพูดเสียงแหบพร่าเมื่อเขาสอดใส่จากด้านหลัง มันอัดแน่นจนเธอครางไม่หยุดปาก
“สวยนี่ใช่กับผมได้เหรอ” เขากระแทกหนักๆ ได้จังหวะหนักหน่วงแม้จะมีผู้หญิงมาเสนอตัวให้เขาแทบไม่ซ้ำหน้าแต่เขาไม่ชอบมีอะไรกับใครไปทั่ว อแมนด้าเป็นผู้หญิงที่รู้จักวางตัวในสังคมได้ดีความสัมพันธ์ของเขาและเธอแม้จะไม่ได้ปิดบังใครแต่ก็ไม่ได้แสดงความเป็นเจ้าของใคร
เขาเองก็รู้ว่าผู้หญิงร้อนรักอย่างอแมนด้าไม่ได้มีเขาเพียงคนเดียว แต่เขาก็ไม่ได้สนใจเรื่องนี้เพราะเขาเองก็ไม่ต้องการจะผูกมัดกับเธอหรือผู้หญิงคนไหน
“คุณสวยเหมือนภาพศิลปะ” อแมนด้าหอบเสียงกระเส่าสองมือเลื่อนขึ้นบีบเคล้นหน้าอกตัวเองที่แข็งเป็นไต “ดูซิ! คุณเหมือนรูปปั้นเทพเจ้ากรีกโบราณและฉันกำลังเป็นเครื่องสังเวยแด่เทพเจ้า”
“หึ” อันโตนิโอทำเสียงในลำคอเหมือนจะหัวเราะแต่ก็ไม่ส่งเสียง เขากระแทกกระทั้นเธออีกหลายทีก่อนที่จะปล่อยให้หญิงสาวหวีดร้องสุดเสียงและร่างอิ่มทรุดลง เขาประคองเธอให้นอนบนโซฟาแล้วเกลี่ยเส้นผมบนใบหน้าเธอ
“ได้เวลาคุยงานกันจริงๆ เสียที” เขาทำเสียงในลำคอแล้วเดินตัวเปล่าไปยกรินไวน์ใส่แก้วแล้วดมกลิ่นก่อนจะยกดื่ม เขาเหลือบมองไปทางหญิงสาวที่ยังคงหอบหายใจแรงบนโซฟาแล้วส่ายหน้าไปมา
“ท่าทางไวน์ยี่ห้อนี้จะอ่อนไปนะ เอาดีกรีแรงกว่านี้ดีกว่าไหม”.
