บทที่4. โดดเดี่ยว
ณัชชางัวเงียขึ้นจากที่นอน เธอยันกายขึ้นจากที่นอนแล้วมองหานาฬิกาในห้องแต่เพราะสายตาสั้นทำให้เธอต้องควานหาแว่นตาที่วางไว้ที่หัวเตียง เธอหยิบแว่นตาของตนมาสวมภาพก็ปรากฏชัดจนเธออดยิ้มออกมาไม่ได้ เธอโน้มตัวลงข้างเตียงแล้วมองเสี้ยวหน้าที่ยังหลับใหล เขาคงนอนไม่ค่อยสบายนักหรอกที่ต้องนอนพื้นแข็งกระด้างข้างเตียงนุ่มที่เธอนอนอยู่
เมื่อวานเขากลับมาเกือบหนึ่งทุ่ม เธออยู่กับเพื่อนของมนตรีที่จิตใจดีและทานอาหารไทยที่เธอทำ ดูเหมือนพวกเขาจะไม่ตกใจที่เห็นเธออยู่ในบ้าน เธอเป็นคนคุยไม่เก่งแต่พอได้คุยกับเพื่อนของคนรักก็ทำให้รู้ว่าเขาบอกก่อนแล้วว่าเธอจะมา เขากลับมาด้วยท่าทางเหนื่อยๆ แต่ก็ยังยิ้มให้และทานอาหารที่เธอทำถึงสองจาน
“อร่อยจริงๆ เลย ถ้าอยู่ด้วยกันตรีต้องอ้วนจนลงพุ่งแน่ๆ”
“ตรีก็พูดเกินไป” เธอหัวเราะเขินๆ เพื่อนปล่อยให้เธอกับเขาอยู่ตามลำพัง พอมนตรีรู้ว่าตั้งแต่เข้าบ้านมาเธอยังไม่ได้หลับพักผ่อน เขาก็ไล่ให้เธอรีบเข้านอนแต่ระหว่างนั้นเขากลัวเธอจะนอนไม่หลับเพราะแปลกที่ก็เลยนั่งอยู่ข้างเตียงเป็นเพื่อนเธอ คล้ายว่าจะมีเรื่องให้คุยไม่รู้จบ เขาขอหมอนไปหนุนหลังแล้วคุยกับเธอ ไปๆ มาๆ เขาก็เผลอหลับไปก่อน เธอเองก็ไม่คิดจะให้เขาไปนอนขดบนโซฟาที่ห้องรับแขก จึงไม่ได้เรียกให้เขาตื่น เธอมองเขาและคิดถึงเรื่องราวของ ‘เรา’ เมื่อเขาเรียนจบและกลับไปใช้ชีวิตที่เมืองไทย เธอจะขยันทำงานเพิ่มขึ้นอีกนิดเผื่อว่าเราจะอยู่ด้วยกัน อพาร์เม้นท์ที่เธออยู่ก็เก่าและคับแคบ เธออยากดูบ้านหลังเล็กๆ สักหลังเช่าอยู่กันไป แต่ถ้าได้บ้านเช่าจริงๆ เธอก็อยากปลูกดอกไม้และพืชผักไว้รอบๆ บ้าน และถ้าเป็นไปได้เธอก็อยากเลี้ยงแมวสักตัว เอ...หรือสองตัวดีนะ
“ณัชตื่นแล้วเหรอ” ชายหนุ่มหรี่ตามองแล้วยิ้มให้นิดๆ แต่พลิกตัวทำท่าจะนอนต่อ “จะรีบตื่นไปไหนเหรอ”
“ก็ปกติณัชตื่นเช้าอยู่แล้ว” หญิงสาวลุกขึ้นจากเตียงนอน “เดี๋ยวณัชไปเตรียมมื้อเช้าให้นะ”
“เอาอะไรง่ายๆ ก็ได้นะ ผมเกรงใจ”
ณัชชาหัวเราะน้อยๆ “เกรงใจทำไมละ แค่เห็นตรีทานข้าวได้เยอะ ณัชก็มีความสุขแล้วล่ะ”
“ถ้างั้นก็ตามใจณัชละกัน ตรีขออีกครึ่งชั่วโมงแล้วกัน”
หญิงสาวพยักหน้าแล้วแล้วมองหยิบเสื้อผ้าเข้าไปอาบน้ำแต่งตัว เธอใช้เวลาไม่กี่นาทีก็ออกมาในชุดเสื้อยืดตัวหลวมลายกระต่ายน่ารักกับกางเกงขาสามส่วนดูเชยๆ แต่ใส่สบายในแบบที่เธอชอบ ผมยาวถูกรวบไว้อย่างง่ายๆ ด้วยดินสอ เธอเดินเข้ามาในครัวและทักทายเพื่อนของมนตรีที่กำลังอ่านหนังเล่มหนาอยู่ในครัว
“ผมกำลังจะชงกาแฟพอดีเลย” วินเซนต์เพื่อนคนหนึ่งที่แชร์ค่าเช่าบ้านกับมนตรีเอ่ยทักทั้งที่ไม่เงยหน้าจากหนังสือ “เอาสักแก้วไหมครับ”
“ขอบคุณค่ะ เอา...เซนด์วิชด้วยไหมคะเดี๋ยวฉันทำให้”
“ได้ก็ดีครับ” เขาตอบรับง่ายๆ “วันนี้มีแผนไปเที่ยวไหนบ้างครับ”
“จัตุรัสนาโวนาค่ะ”
“ดีครับ จัตุรัสนาโวนาอาจไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตของโรม แต่ลานกว้างแห่งนี้อยู่ด้วยแล้วสดชื่น น้ำพุสวยๆ ตึกรามสีสด เสาโอเบลิสก์ ที่สำคัญเป็นดงของศิลปินที่พากันมาปล่อยของดี อ้อ! มีคาเฟ่ดีๆ น่านั่งหลายร้าน”
“ขอบคุณค่ะ”
ณัชชาตื่นเต้นยิ้มกว้างแทบเก็บอาการไม่อยู่ ขณะที่มือเตรียมทำแซนด์วิชอยู่นั้นสมองของเธอก็นึกถึงตารางที่ร่างไว้ในหัว เธอหาข้อมูลมาบ้างแล้วว่าเวลา 5 วันในโรมจะไปที่ไหนบ้าง สู้ทำงานเหนื่อยเก็บหอมรอมริมเพื่อเดินทางมาที่นี่ เธอตั้งใจให้มันเป็นความทรงจำแสนวิเศษชดเชยชีวิตเด็กกำพร้าอย่างเธอ
“ว้าว! ยอดเลย ตื่นมาแล้วมีของกินรอตรงหน้าแบบนี้” ไมเคิล-เพื่อนชายอีกคนของมนตรีร้องทักและไม่กี่นาทีมนตรีก็เดินตามมา
“ทานได้เลยนะคะ ณัชทำไว้เผื่อทุกคน” หญิงสาวคนเดียวในบ้านหันกลับมาพร้อมยกจานแซนด์วิชจานใหญ่มาเสิร์ฟ วินเซนต์ลุกไปช่วยยกกากาแฟมาวางไว้ใกล้มือ
“นายนี่มันโชคดีเรื่องผู้หญิงจริงๆเลยวะ”
ประโยคของไมเคิลทำให้มนตรีชะงักไปเล็กน้อย วินเซนต์ส่งสายตาตำหนิไปที่ไมเคิล ณัชชาเงยหน้าขึ้นมองคนทั้งสามด้วยสีหน้างุนงงเล็กน้อยแต่เธอก็ไม่เอ่ยถามอะไร นี่แหละนิสัยของเธอมักจะสงบปากสงบคำไม่กล้าถามไม่กล้าเถียงแม้จะมีข้อสงสัยอะไรก็เถอะ
“กินๆ เข้าไปเถอะน่า มีเรียนด้วยไม่ใช่เหรอ” วินเซนต์ทำลายความเงียบลง ทุกคนจัดการมื้อเช้าง่ายๆ ไปอย่างเงียบๆ
“ไม่ต้องเก็บหรอกค่ะ เดี๋ยวณัชทำให้เองค่ะ” หญิงสาวอาสาเมื่อเห็นว่าทุกคนทานกันเสร็จแล้ว วินเซนต์กับไมเคิลเอ่ยขอบใจแล้วขอตัวออกไปเรียน
“ดีจังตื่นเช้ามาก็มีคนทำอาหารเช้าให้กิน” มนตรีเอ่ยเสียงใสแล้วทำท่าจะช่วยณัชชาเก็บจานและถ้วยกาแฟไปล้างแต่หญิงสาวห้ามไว้ก่อน
“ณัชทำได้แค่ไม่กี่อย่างเอง”
“อยู่ๆ กันไปก็ทำได้หลายอย่างเองล่ะ”
ประโยคของมนตรีทำให้หน้าหวานของณัชชาแดงจัด เธอดันแว่นตาชิดใบหน้าแก้เขินแล้วจัดการล้างจานชามที่ทิ้งไว้ในครัวตั้งแต่เมื่อวาน มือหนาเอื้อมมาแตะสะโพกของหญิงสาวเบาๆ ก่อนที่ร่างผอมบางจะมายืนซ้อนด้านหลัง
“อดทนอีกนิดนะณัช ปีหน้าผมก็เรียนจบแล้ว เราจะได้อยู่ด้วยกัน ตรีจะไม่ให้ณัชชาต้องลำบาก”
“ณัชเข้าใจค่ะ”
“ตรีรู้ตัวนะว่าเป็นคนเห็นแก่ตัว” เขาเลื่อนมือลูบแผ่นหลังของเธอเบาๆ “ผมให้ณัชชาอยู่คนเดียวที่เมืองไทยตั้งสองปี”
“แค่สองปีเองค่ะ” ณัชชาล้างมือแล้วเอาถ้วยกาแฟเก็บเข้าที่ “อีกอย่างณัชเองก็ชอบงานที่ทำอยู่”
“ช่ายย” มนตรีลากเสียงยาวแล้วหัวเราะเบาๆ “แม่หนอนน้อย ถ้าไม่ได้แทะหนังสืออาจขาดใจตายได้”
“ณัชไม่ได้แทะหนังสือสักหน่อยแต่เป็นคนดูแลหนังสือต่างหากล่ะ” ณัชชายิ้มน้อยๆ
“โอเคครับ ตรียอมแพ้” เขาปล่อยมือจากแผ่นหลังแล้วทำชูขึ้นเหมือนยอมจำนน “วันนี้ตรีจะดูแลณัชตอบแทนที่ณัชดูแลตรีมาตลอดก็แล้วกัน”
“ขอบคุณค่ะ”
“ณัชไปเปลี่ยนเสื้อผ้าซิ เราจะได้รีบออกไปเที่ยวกัน ห้าวันที่ณัชอยู่โรม ตรีจะดูแลณัชให้ดีที่สุดเลย”
หญิงสาวพยักหน้ารับแล้วก้าวเร็วๆ เดินกลับขึ้นมาที่ห้องนอนของมนตรีเธอหยิบเสื้อผ้าที่นำมาด้วยออกมาวางบนที่นอน เสื้อแขนตุ๊กตาสีเปลือกมังคุดกับกระโปรงผ้าฝ้ายสีน้ำตาลอ่อนยาวเลยเข่าแต่งลูกไม้น่ารักๆ ที่ชายกระโปรง เป็นเสื้อผ้าชุดใหม่เอี่ยมที่เธอใช้เงินห้าร้อยเก้าสิบเก้าบาทในการซื้อมาครอบครองเผื่อใส่มาอวดมนตรี ในชีวิตของเธอซื้อเสื้อผ้าใหม่แทบนับชุดได้และก็เก้อเขินทุกครั้งที่ไปเลือกซื้อ ทั้งราคาที่ทำให้ต้องขมวดคิ้วทั้งกังวลว่ามันจะไม่เหมาะกับเธอ ณัชชาถอนหายใจเบาๆ รีบจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าในเวลาไม่กี่นาที หญิงสาวไม่เคยแต่งหน้าจึงทาเพียงแป้งเด็กบางๆ และลิปมันสีหวาน เธอถักเปียหลวมๆ และขยับแว่นตาอย่างเคยชิน เพ่งมองตัวเองในกระจกเงาบานใหญ่ตรงหน้า สูดลมหายใจลึกๆ แล้วหยิบกระเป๋าสะพายคล้องไหล่แล้วเดินลงมาหามนตรีที่กำลังคุยโทรศัพท์มือถืออยู่ เขาเงยหน้ามองณัชชาแล้วยิ้มกว้างก่อนจะตัดบทสนทนาแล้วเก็บมือถือใส่กระเป๋ากางเกงยีน
“พร้อมลุยกรุงโรมหรือยังครับ”
“ค่ะ”
มนตรีจับมือณัชชาแล้วก้าวออกจากบ้านไปพร้อมกัน ณัชชาผิดหวังเล็กน้อยคิดว่าเขาจะชมเธอสักนิดแต่จะเอาอะไรเล่า ในเมื่อเธอก็รู้ตัวดีว่าตัวเองไม่ใช่คนสวยหรือน่ารัก ไม่สะดุดตาใครซ้ำยังไม่มีใครสนใจเลย แต่เมื่อก้าวออกจากบ้านพักหญิงสาวก็ลืมเรื่องน้อยใจไปหมดสิ้น บ้านเมืองที่สวยงามแปลกตาทำให้เธอรู้สึกตื่นเต้นจนแทบเก็บอาการไม่อยู่ เธอมีกล้องคอมแพคตัวเล็กที่ซื้อมาในราคาพันกว่าบาท แน่นอนว่ามันเป็นของหลุดจำนำทำให้เธอสามารถครอบครองมันได้ ได้เดินทางไปเที่ยวต่างประเทศทั้งที่ถ้าไม่มีรูปถ่ายเป็นที่ระลึกก็ยังไงอยู่
“ทำไมอยากไปจัตุรัสนาโวนา (Piazza Navona) ละ โรมมีที่ให้ไปเที่ยวตั้งเยอะ” มนตรีถามไม่จริงจังนัก
“ก็...แค่อยากไปนะคะ” ณัชชาดันแว่นตาชิดใบหน้า มันเป็นกิริยาที่ทำจนเคยตัว “ถ้าตรีไม่อยากไปจะไปที่อื่นก็ได้นะคะ”
“ได้ไงล่ะ นี่วันของณัชนะ ถ้าณัชอยากมาก็ต้องได้มาซิ”
เกือบสิบเอ็ดโมงเช้า ทั้งสองก็มาถึงบริเวณน้ำพุจตุมหานทีที่มีเสาโอเบลิสก์ ด้านหน้า Sant’Agnese โบสถ์สไตล์บาโรก ณัชชายืนตะลึงกับความงามตรงหน้า ตรงกลางจัตุรัสมีรูปปั้นแทนแม่น้ำสายสำคัญจาก 4 ทวีป ในแต่ละมุมค่ะ คือ แม่น้ำไนล์ ดานูป คงคาและพลาต้า (Rio de la Plata ในทวีปอเมริกาใต้) เสาโอเบลิกส์ที่ตั้งอยู่กลางน้ำพุก็มาจากประเทศอียิปต์
“จัตุรัสแห่งนี้มีรูปทรงเป็นวงรี เนื่องจากพื้นที่แห่งนี้เคยเป็นสนามกีฬาโรมันโบราณ สร้างเมื่อ ค.ศ.86 ชื่อว่า Stadium of Domitian ในสมัยจักรพรรดิโดมิเทียน ซึ่งชาวโรมันจะเดินทางมาเพื่อชมการต่อสู้ที่จำลองมาจากการต่อสู้ทางทะเล กีฬาของคนที่นี่มีแต่เรื่องการต่อสู้ทั้งนั้นเลยนะ...ว่าไหม” มนตรีอธิบายแต่แอบหยิบโทรศัพท์มือถืออ่านข้อความที่หน้าจอบ่อยๆ “ณัชหิวไหม”
หญิงสาวส่ายหน้าแทนคำตอบ เธอกำลังตื่นตาตื่นใจกับภาพตรงหน้า สองเท้าพาตัวเองเดินไปใกล้กลุ่มศิลปินที่กำลังวาดรูปอยู่ริมถนน
“เอ่อ...ณัชเดินเล่นคนเดียวสักชั่วโมงได้ไหม” มนตรีเอ่ยอย่างเกรงใจ “ตรีมีธุระด่วน”
“อะไรนะคะ” เธอหันมามองหน้าเขาอย่างตกใจ แค่ไม่กี่นาทีเขาก็จะทิ้งให้เธออยู่คนเดียวแล้วหรือ
“พอดีเพื่อนโทรมาตามให้ไปคุยเรื่องงาน มันสำคัญมากเลย ตรีต้องไปให้ได้ไม่งั้นแย่แน่” น้ำเสียงและสีหน้ารู้สึกผิดอย่างมาก เขาจับมือเธอแล้วบีบแน่นๆ “อย่างอนนะคนดี ตรีไปทำธุระแถวนี้แหละ ไม่นานหรอก”
“เอ่อ...” ณัชชาอึกอักไม่อยากโกหกว่าเธอเสียใจแต่ก็ไม่กล้าพูดอะไร
“อย่าโกรธตรีเลยนะ เรายังมีเวลาอยู่ด้วยกันทั้งชีวิตนะ”
ณัชชาได้แต่พยักหน้ารับเนื่องๆ มนตรียิ้มกว้างแล้วหอมแก้มเนียนของณัชชาเร็วๆ แล้ววิ่งเหยาะๆ จากไปโดยไม่หันมามองเธอเลยสักนิด แทนที่เธอจะรู้สึกดีที่เขาหอมแก้มเธอ แต่เธอรู้สึกว่ามันกลวงและว่างเปล่า ทำไมรู้สึกแบบนั้นนะ ณัชชาได้แต่ถอนหายใจเบาๆ แล้วเธอก็นึกได้ล้วงมือไปในกระเป๋าหยิบกล้องถ่ายรูปอันเล็กออกมา ยังไม่ได้ถ่ายรูปคู่กับมนตรีเลย แล้วเธอก็ยังไม่มีรูปถ่ายของตัวเองด้วย แต่เวลานี้จะไปขอร้องใครได้ล่ะ หญิงสาวมองไปรอบๆ หลายคนถ่ายรูปตัวเองด้วยวิธียืนแขนไปสุดมือกันทั้งนั้น ณัชชาถ่ายรูปตัวเองให้มีฉากด้านหลังเป็นน้ำพุ เธอยิ้มเขินๆ ก่อนกดชัตเตอร์ไปสองสามครั้งแล้วดูรูปที่หน้าจอ ใบหน้าหวานหัวเราะเบาๆ ที่เห็นสีหน้าประดักประเดิดของตัวเอง เธอเพ่งมองฉากหลังในหน้าจอแล้วหันไปมองรอบข้างยังมีอะไรสวยงามให้เธอได้เก็บความประทับใจอีกมาก ณัชชาถ่ายรูปสถานที่ต่างๆ เพลินจนเริ่มรู้สึกหิวและยังไม่มีวี่แววว่ามนตรีจะกลับมา เธอจึงเดินไปนั่งในคาเฟ่ที่หอมกลิ่นขนมหวาน ขนมหวานแสนน่ารักๆ ราวกับจะกวักมือเรียกมากกว่าอาหารจานหลักที่วันนี้ยังไม่ตกถึงท้อง แต่ช่างเถอะ ขนมน่ากินแบบนี้จะอดใจได้ยังไง
“น่ากินทั้งนั้น กินแบบนี้อิ่มแทนกินข้าวแน่ๆ”
ณัชชายิ้มขำเมื่อยืนอยู่หน้าตู้ขนม เธอจดไว้ในรายการอาหารที่ต้องมาชิมให้ได้เมื่อมาถึงอิตาลี่ อย่าง ‘Cassata’ ไอศกรีมเค้กทำจากชีส ผสมผลไม้เชื่อม ลูกนัทวางสลับชั้นกับไอศกรีมรสต่างๆ อีก 1-2 รส ชั้นนอกหรือชั้นล่างสุดจะเป็นเค้กเนื้อเบา หรือ ‘Cannoli’ ขนมกรอบแผ่นบางอบ กำเนิดจากซิซิลี ใส่ไส้ครีมชีส ช็อคโกแลต และผลไม้เชื่อม Panettone เค้กเนื้อแน่นและเเห้ง ผสมผลไม้เชื่อม นิยมทานกันในช่วงอีสเตอร์และคริสต์มาส แต่เมนูที่ชวนให้เธอยิ้มได้ก็คือ Tiramisu แปลว่าเลือกฉันซิ เป็นขนมหวานชื่อดังของอิตาลี เค้กเนื้อเบาชุ่มด้วยน้ำกาแฟและลิเคียวร์ วางสลับกับเนยแข็งมาสคาร์โปเนปรุงรสตีฟู และโรยหน้าด้วยผงกาแฟ มักจะแช่เย็นไว้เสมอเพื่อให้เนยแข็งคงรูป
“แต่อิตาลี่เป็นศูนย์กลางของช็อกโกแล็ตเลยนะ” ณัชชารู้สึกสนุกที่จะได้ชิมขนมอร่อยหน้าตาน่ารัก สุดท้ายเธอเลือก Tiramisu มากินกับกาแฟลาเต้ กลิ่นหอมของขนมทำให้เธออารมณ์ดีขึ้น เธอกินขนมของตัวเองไปเงียบๆ และนึกขึ้นได้ เธอหยิบสมุดบันทึกเล่มขนาดพอดีมือออกมาแล้วจดอะไรหยุกหยิกตามประสาคนชอบเขียนบันทึก เก็บสลิปค่าขนมสอดไว้ในสมุดบันทึกเป็นของที่ระลึก แน่นอนว่าการกินอาหารดีๆ แพงๆ มันก็เป็นเรื่องห่างไกลชีวิตประจำวันของเธอด้วย เสียงมือถือของเธอดังขึ้น หญิงสาวรีบรับสายทันที ไม่มีใครอื่นนอกจากมนตรีที่เธอรอคอย
“ขอโทษนะณัช งานของตรียังไม่เรียบร้อย ต้องแก้งานส่งอาจารย์ภายในวันนี้ ยังไงณัชกลับบ้านคนเดียวได้ใช่ไหม นั่งแท็กซี่กลับก็ได้นะ เดี๋ยวกลับบ้านแล้วตรีจะคืนค่ารถให้”
“ไม่ไรจ๊ะ ตรีทำงานให้เสร็จเถอะ ณัชดูแลตัวเองได้”
ณัชชาวางโทรศัพท์มือถืออย่างเหงาๆ จะให้ทำอะไรได้เล่านอกจากจำใจยอมรับเรื่องที่เกิดขึ้นซึ่งมันควรจะเป็นความเคยชินหนึ่งในหลายเรื่องของชีวิตเธอ เธอพอจำทางกลับบ้านได้และไม่คิดว่าจะเสียเงินค่าแท็กซี่ด้วย ยังมีเวลาอีกมากสำหรับการเดินชมศิลปะและการแสดงที่จัตุรัสนาโวนา หญิงสาวลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่นานรู้สึกอิ่มและอร่อยกับขนมที่ได้ลิ้มรส เธอเอ่ยชมความอร่อยของขนมหวานกับพนักงานเสิร์ฟในร้านแล้วก้าวออกมา แต่ยังไม่ทันจะเดินไปไหนเธอก็รู้สึกว่าร่างเธอเหมือนถูกอะไรชนเข้าอย่างจัง ร่างเธอเสียหลักเล็กน้อยแต่เมื่อเธอตั้งสติได้ก็เห็นเด็กชายวัยสิบขวบเดินมาชนเธอพร้อมกับไอศกรีมที่เลอะกระโปรงตัวใหม่ของเธอ
“เป็นอะไรหรือเปล่าจ๊ะ”
ณัชชาไม่ได้สนใจรอยเปรอะที่กระโปรงแต่เธอนั่งลงแล้วมองเด็กชายด้วยความเป็นห่วง เด็กชายมีสีหน้าตกใจแต่ไม่เอ่ยตอบ ไอศกรีมโคนในมือเหลือเพียงแผ่นขนมปังกรอบเท่านั้น “ยังไม่ได้กินเลยละซิ ปากไม่เห็นเลอะเลย”
ณัชชาเอ่ยหยอกล้อด้วยอังกฤษแล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าของตนเช็ดมุมปากของเด็กชายตัวจ้อย เขาดูอ่อนแอบอบบางและมีแววโดดเดี่ยวในดวงตา เธอเติบโตในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าทำให้ต้องพบเจอเด็กๆ หลายรูปแบบที่มาอยู่รวมตัวกันในบ้านหลังเดียวกัน
“มากับใครเอ่ย คุณพ่อคุณแม่อยู่ไหนคะ” เธอถามพลางบีบมือเด็กน้อยเบาๆ แล้วเหลียวมองรอบข้าง เด็กน้อยแม้จะมีรอยเหงาแต่การแต่งกายเสื้อผ้าเนื้อดี ผมเผ้าก็ตัดเป็นทรงเรียบร้อยคงไม่ใช่เด็กถูกทิ้งแน่ๆ และเธอก็มั่นใจว่าภาษาอังกฤษที่เธอใช้สื่อสารน่าจะทำให้เด็กเข้าใจบนสนทนาของเธอได้
“คุณอลองโซ”
ชายร่างยักษ์ในชุดสูธสีดำรีบวิ่งเข้ามาทางณัชชา สีหน้าของเด็กน้อยแสดงให้เธอเข้าใจว่าผู้ชายคนนั้นรู้สึกกับเด็กชายตัวเล็กจริงๆ ชายร่างใหญ่ราวบอดี้การ์ดในภาพยนตร์ฮอลีวูด เธอไม่ได้ยินนักว่าเขาพูดอะไรกับใครแต่เดาๆ ว่า เหมือนกับแจ้งให้คนอื่นทราบว่าเจอตัวเด็กชายเข้าแล้ว
“กลับกันเถอะครับคุณอลองโซ คุณพ่อรออยู่”
เด็กชายพยักหน้ารับอย่างหงอยๆ เขาหันมาแล้วยิ้มนิดๆ ให้กับณัชชา หญิงสาวยิ้มกว้างแล้วโบกมือลา แต่รอยยิ้มของเธอก็ชะงักค้างเมื่อบอร์ดี้การ์ดหน้าเข้มจ้องมองเธอราวกับเห็นสิ่งมหัศจรรย์ เธอหุบยิ้มทันทีแล้วดันแว่นชิดใบหน้า เขาคงไม่คิดว่าเธอล่อลวงเด็กมาหรอกนะ คงจะเป็นลูกคนดังหรือเซเลบถึงมีคนติดตามอย่างนี้ เธอหลบสายตาบอร์ดี้การ์ดแล้วเดินกลับเข้าไปในร้านขอใช้ห้องน้ำ หญิงสาวจัดการเช็ดคราบเลอะของกระโปรงอย่างใจเย็นแต่อดคิดถึงแววตาของเด็กน้อยไม่ได้
คนที่อยู่ในโลกของความโดดเดี่ยวเท่านั้นจะเข้าใจความรู้สึกเปลี่ยวเหงาเช่นกัน.
