บทที่1 คุณนายดวงประกาย (2)
เปลี่ยนคนพูด เรื่องเดียวกันจึงกลายเป็นจริงจังขึ้นมา ในเมื่อประมุขของบ้านเป็นคนเอ่ยปาก เธอจึงต้องนำเรื่องนี้มาไตร่ตรองอีกครั้ง นี่เองจึงเป็นที่มาของความลังเลไม่แน่ใจ ว่าเธอจะกลับไปหางานในกรุงเทพฯ ทำ หรือกลับมาช่วยดูแลกิจการที่ยังไม่เป็นรูปร่างของครอบครัว ซึ่งอย่างหลังคือยาขมหม้อใหญ่สำหรับเธอเลยทีเดียว
‘ฉันไม่ให้แกลำบากฟรี ๆ แน่ ถ้าแกผ่านโปรฯ ฝึกงาน สามารถเข้าเป็นพนักงานของโรงแรมดาวแต้มเดือนได้ ฉันจะจ่ายให้แกหนึ่งแสนบาทเป็นรางวัล’
พอคุณนายดวงประกายผู้ขึ้นชื่อเรื่องความเค็มใจป้ำทุ่มเงินแสนลงมาแบบนี้ ความอยากในการใช้ชีวิตแบบอิสระในกรุงเทพฯ จึงลดน้อยลงไป อุปสงค์การดำรงชีวิตอยู่ในจังหวัดภูเก็ตจึงพุ่งทะยานอยากขึ้นมา
ก็แหม... เงินรางวัลหนึ่งแสนบาทจากคุณนายดวงประกายน่าสนใจกว่านี่นา แต่ติดตรงที่ว่าเธอไม่ถนัดเรื่องบริหารจัดการธุรกิจอยู่ดี เอาเถอะ ช่วงนี้เป็นช่วงขาดแคลนทุนทรัพย์อยู่ด้วย แค่กัดฟันทนฝึกงานสามเดือน เงินแสนก็จะอยู่ในมือเธอ จากนั้นถ้าไม่พอใจค่อย ‘ชิ่งหนี’ กลับกรุงเทพฯ ก็ยังไม่สาย
มยุราทยอยลากลังกระดาษออกจากใต้เตียงอย่างใจเย็น พลางฮัมเพลงสากลอย่างอารมณ์ดี แต่แล้วต้องหยุดมือชั่วขณะเมื่อพบสมุดบันทึกปกแข็งสมัยเรียนคอนแวนต์ถูกทิ้งอยู่ใต้เตียง เธอหยิบออกมาเป่าฝุ่นออก แล้วเปิดดูสิ่งที่อยู่ข้างใน เท่านั้น รูปถ่าย และรูปถ่ายสติกเกอร์ที่ไม่ได้แปะติดบนหน้าสมุดจึงร่วงกราวลงมา มยุราย่นคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย ย้ายความสนใจเรื่องลังกระดาษมาที่รูปถ่ายทันที
และเธอก็ย่นจมูกขึ้นเมื่อเห็นหน้าคู่อริเก่าอย่าง ‘พัชนี’ เข้า
“เอ๋อ เหมือนกันนี่นา ยัยช้างเผือก” มยุรายิ้มกว้างให้ภาพถ่ายเมื่อเจ็ดแปดปีที่แล้ว กับทรงผมหน้าม้าสั้นเต่อที่ไม่รับกับใบหน้าขาว ๆ ของพัชนี จากนั้นจึงเก็บรูปสอดเข้าสมุดบันทึกเหมือนเดิม มียิ้มอ่อนโยนให้ภาพถ่ายอีกครั้งเมื่อรูปถ่ายในมือนั้นเป็นภาพของวศิน หรือ ‘พี่อุ่น’ ที่เธอเรียกจนติดปาก
มยุรารู้จักกับวศินตั้งแต่สมัยเรียนชั้นอนุบาล และสนิทด้วยเป็นพิเศษ เพราะเขายอมเล่นตุ๊กตากับเธอ ไปโรงเรียนพร้อมกันตอนสมัยเรียนคอนแวนต์เป็นประจำ นอกจากนี้พี่อุ่นผู้น่ารักยังเป็น ‘ผู้ชายคนแรก’ ในชีวิตที่ผูกโบผูกผมให้เธอ จะบอกว่าเขาเป็นป๊อปปี้เลิฟสำหรับเธอก็คงไม่ผิด แต่เป็นรักแรกที่อกหักเสียด้วย
มยุราเก็บรวบรวมรูปถ่ายทั้งหมดใส่สมุดบันทึกแล้วจับใส่ในลังกระดาษอีกที ก่อนทำการลากลังกระดาษมาไว้หน้าห้อง ส่วนลังกระดาษใบไหนที่หนักไม่มากเธอจึงยกมาวางเรียงไว้เพื่อสะดวกในการขนย้าย พอหันมาอีกทีมยุราต้องชะงักกึกเมื่อ ‘คนในรูป’ มายืนยิ้มเก๋ตรงหน้าเธอ พร้อมคำทักทายล้อเลียนที่แฝงความสนิทสนมเหมือนเคย
“หวัดดี คุณหนูมยุรา”
“พี่อุ่น!” มยุราแทบปล่อยลังกระดาษที่อุ้มไว้ทิ้งเลยเชียว เมื่อได้รับรอยยิ้มอบอุ่นสมชื่อจากชายหนุ่มตรงหน้า “มาได้ยังไงคะ?”
“ปั่นจักรยานมา”
“จากกรุงเทพฯ เนี่ยนะ?!” มยุราถามอย่างตกใจยังไม่ละสายตาไปจากชายหนุ่มตรงหน้า อีกฝ่ายจึงหัวเราะร่วน พลางยื่นมือหนามาโยกศีรษะที่ใช้กิ๊บติดผมขมวดไว้เบา ๆ แล้วรับลังกระดาษในมือวางลงบนพื้น
“กรุงเทพฯ-ภูเก็ตเนี่ยนะ แหม พูดเหมือนจากบ้านเราไปปากซอยเลย”
มยุราหัวเราะ
“พี่หมายถึงปั่นจักยานมาจากที่บ้าน พอดีเมื่อเช้าป้าดวงบอกว่าเราลงมาจากกรุงเทพฯ พี่เลยแวะมาทักทาย”
มยุราพยักหน้าเมื่อข่าวการมาภูเก็ตของเธอไปถึงครอบครัวของวศิน โดยคุณนายดวงประกายอีกเช่นเคย
“ที่บอกว่าหยกกลับมาแค่ข้ออ้างของคุณนายดวงประกายเท่านั้นล่ะ อันที่จริงม๊าต้องการใช้แรงงานพี่อุ่นให้ช่วยขนของพวกนี้ต่างหาก แต่ไม่กล้าบอกตรง ๆ”
วศินหัวเราะ “ว่าไปนู่น แล้วเรามาภูเก็ตตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะ?”
“เมื่อค่ำวานค่ะ โดนม๊าขึ้นไปลากตัวให้ลงมานั่นล่ะ” มยุราทำหน้าเซ็ง ๆ ไม่วายบ่นอุบ “กลับมาก็วุ่นวายกับข้าวของพวกนี้ หยกคิดว่าพี่อุ่นอยู่กรุงเทพฯ ซะอีก บินกลับมาเที่ยวนี้เลยไม่ได้แวะไปหา”
“พอดีพี่ลาพักร้อนน่ะ กำลังทำเรื่องย้ายลงมาประจำที่นี่” วศินบอกเสียงเรียบ ทว่าเสียงเอะอะโวยวายจากชั้นสี่ก็ดังขึ้นมาซะก่อน
“ยัยหยก ข้างบนเก็บของเรียบร้อยแล้วหรือยังยะ?” เป็นเสียงของคุณนายดวงประกาย มยุราจึงชะโงกหน้าออกไป
“เกือบเรียบร้อยแล้วม๊า”
“รีบ ๆ ทำเวลาหน่อย เดี๋ยวต้องไปเคลียร์บ้านใหม่อีก เฮ้ย เบามือหน่อย...” เสียงแจ้ว ๆ ของคุณนายดวงประกายหายไปเมื่อหันไปสั่งงานกับลูกน้อง มยุราจึงหันมาไหวไหล่กับวศิน
