บทที่1 คุณนายดวงประกาย (1)
จัดการตัวเองเสร็จเรียบร้อยเป็นเสื้อยืดตัวโคร่งสีเหลืองสดใส และกางเกงขาสั้นสีขาว หญิงสาวจึงลงมาหาของกินรองท้องที่ชั้นล่าง จากนั้นจึงกลับขึ้นไปชั้นบนเพื่อจัดการกับข้าวของส่วนตัวที่เหลือใส่ลังกระดาษโดยไม่สนใจเสียงปึงปังจากห้องข้าง ๆ ที่กำลังขนย้ายข้าวของ...
อพาร์ตเมนต์เก่าแก่ที่เธอใช้เป็นที่ซุกหัวนอนตั้งแต่เล็กจนโตอันเป็นสมบัติตกทอดจากอาก๋งและคุณย่านั้น กำลังถูกทุบทิ้งเพื่อสร้างเป็นโรงแรมดาวแต้มเดือนสาขาที่สองเพื่อรองรับธุรกิจการท่องเที่ยวที่กำลังเติบโตอยู่ในประเทศขณะนี้ ซึ่งโครงการทุบอพาร์ตเมนต์นี้มาจากไอเดียคุณนายดวงประกายล้วน ๆ
‘มีที่ดินสวย ๆ ใกล้ชายหาด ไม่ทำโรงแรมรีสอร์ตน่าเสียดายแย่ ฉันเห็นเจ้าของที่ดินในละแวกโกยเงินจากนักท่องเที่ยวไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่’
เป็นคำพูดจากคุณนายดวงประกายที่พูดกับภูภัทรบิดาของเธอขณะล้อมวงรับประทานอาหารเย็นวันหนึ่ง ซึ่งนั่นก็เนิ่นนานมาแล้ว ตั้งแต่สมัยที่หญิงสาวยังเรียนหนังสือที่คอนแวนต์ด้วยซ้ำ และเธอก็ลืมเรื่องนี้ไปเรียบร้อยแล้วด้วย ถ้าไม่ถูกคุณนายดวงประกายรื้อฟื้นขึ้นมาใหม่
แน่นอนว่าโครงการเปลี่ยนสมบัติของบรรพบุรุษให้เป็นแหล่งทำเงินมหาศาลให้ครอบครัวในครั้งนี้ มยุราไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยวแต่อย่างใด เพราะเธอไม่ชอบธุรกิจ ไม่ชอบการเจรจาทำสัญญา พอไม่ชอบจึงหาทางหนีด้วยการหลีกเลี่ยงไปเรียนมหาลัยในสาขาที่ชื่นชอบในกรุงเทพฯ ซะ แต่เธอก็ถูกคุณนายดวงประกายตามขึ้นไปถึงกรุงเทพฯ ลากตัวกลับมาภูเก็ต แล้วยื่นข้อเสนอแกมบีบบังคับมาให้ซะก่อน
‘เลือกเอาว่าจะแต่งงานกับเจ้าบ่าวที่ฉันกับคุณภูภัทรเลือกให้ หรือจะช่วยกิจการที่บ้าน’
‘ขอสละสิทธิ์ทั้งสองอย่างได้ไหมม๊า’ เธอปฏิเสธรวดโดยไม่ต้องเสียเวลาคิดแม้แต่น้อย
‘ไม่ได้ แกต้องเลือก ถ้าไม่คิดทำงานเป็นหลักแหล่ง หรือมาช่วยกิจการที่บ้านก็รีบ ๆ แต่งงานไปซะ ฉันไม่อยากตกเป็นขี้ปากชาวบ้านว่ามีลูกไม่เอาไหนอย่างแก’
‘โอ้โห ม๊าพูดแบบนี้เท่ากับตัดหางปล่อยวัดหนูเลยนะนั่น’ เธอยิ้มทะเล้นให้มารดาที่เห็นเวลาทุกวินาทีในชีวิตเป็นเงินเป็นทองไปซะหมด
‘นั่นล่ะฝึกเอาไว้ แกจะได้เลี้ยงตัวเองเป็น มีที่ไหนอายุตั้ง 23 เข้าไปแล้ว ยังเที่ยวเตร่แบมือขอเงินแม่ ทำตัวเป็นเด็กไปวัน ๆ ลูกคนอื่นที่อายุเท่าแก เขารับผิดชอบชีวิตตัวเองได้แล้วทั้งนั้น’
‘ก็นั่นลูกคนอื่น แต่นี่ลูกสาวคุณนายดวงประกาย ม๊าไม่เคยได้ยินเหรอ อยู่บนเกาะก็ต้องเป็นลูกชาวเกาะสิคะ’ มยุราไม่สำนึกซ้ำยังยิ้มหน้าระรื่นให้ จนคุณนายดวงประกายต้องเอามือกุมขมับแล้วถอนหายใจ
‘โธ่ม๊า จริงจังไปได้ แค่ล้อเล่นเท่านั้น หนูก็ได้งานใหม่แล้วนี่คะ ม๊านั่นแหละลากตัวหนูกลับมาภูเก็ตทำไม?’
คุณนายดวงประกายทำหน้าเอือม ๆ พลางส่ายหน้าระอา ‘สามเดือนโดนไล่ออกจากงาน 5 ครั้ง ทำงานสัปดาห์แรกขาดงาน 3 วันติด ส่วนวันที่มาทำงานก็สายได้เกือบทุกวัน ใครที่ไหนจะโง่จ้างแกทำงานฮะ บอกให้มาช่วยงานที่บ้านก็ไม่เอา ฉันล่ะเหนื่อยใจกับแกจริง ๆ เล้ยยัยคุณหนูมยุรา’
มยุราทำปากยื่นขณะฟังคุณนายดวงประกายเลกเชอร์ ‘ก็คนไม่ชอบนี่ ม๊าจะเหนื่อยกับหนูทำไมในเมื่อหนูหาเลี้ยงตัวเองได้แล้ว’
เท่านั้นคุณนายดวงประกายจึงค้อนควับลูกสาวตัวดีเข้าให้ ‘กล้าพูดเนอะ แล้วสัปดาห์ที่แล้วแมวที่ไหนโทรมาขอเงินฉันยิก ๆ’
มยุราหัวเราะแหะ ๆ ‘ก็เงินเดือนยังไม่ออกนี่ม๊า’
คุณนายดวงประกายผ่อนลมหายใจออกมาอีกรอบ ‘เฮ้อ ฉันล่ะเหนื่อยกับแกจริง ๆ เล้ยยัยหยก ถ้าไม่เอาอะไรสักอย่างก็รีบ ๆ แต่งงานไปซะ ฉันจะได้หมดภาระกับแกสักที’
‘ด้วยการเปลี่ยนฐานะจากลูกชาวเกาะ มาเป็นเมียชาวเกาะเนี่ยนะ’ มยุราไม่วายแหย่มารดาเล่น
‘นั่นล่ะ แกจะได้มีความรับผิดชอบมากกว่านี้ไง’
‘คำก็ไล่ สองคำก็ไล่ ม๊าพูดเหมือนหนูไม่ใช่ลูกเลย ถามจริง ไปเก็บหนูมาจากถังขยะมาเลี้ยงหรือเปล่าเนี่ย?’ มยุราอดเย้ามารดาของตนเล่นไม่ได้
เธอไม่สนใจอยู่แล้วถ้าคุณนายดวงประกายจะรักลูกสาวลำเอียง เทใจให้มยุเรศผู้เป็นพี่สาวมากกว่า และเธอก็จะลืมเรื่องกวนใจพวกนี้ให้หมด หากไม่ถูกภูภัทร บิดาสุดที่รักเรียกเธอเข้าไปในห้อง และพูดคุยเรื่องนี้อย่างจริงจังเสียก่อน
‘ป๊าไม่ได้บังคับหยกนะ แต่อยากให้หยกไตร่ตรองให้ดีก่อนตัดสินใจ ป๊าอยากให้หยกมีงานทำเป็นชิ้นเป็นอันน่ะ แต่ถ้าหยกไม่สนใจกิจการของครอบครัวเราก็ไม่เป็นไร ป๊าจะได้ยกกิจการใหม่ให้โอปอลดูแล’
