หมอตำแย : ไม่ต้องการ P1
จำปี เพื่อนรุ่นพี่ของ ค่าย เธอเป็นผู้หญิงที่สวยฐานะก็เรียกได้ว่ามีกินมีใช้ไม่ขัดสน เพราะพ่อที่จากไปได้ทิ้งสมบัติไว้ให้พอสมควร จำปีอยู่ในวัยกำลังสาวแรกรุ่น
ด้วยรูปร่างหน้าตาที่สะสวยของจำปีทำให้มีหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่มาหมายปองในตัวเธออยู่หลายคน และทิดเทิดก็เป็นหนึ่งในนั้นแล้วยังเป็นคนที่จำปีเลือก เหตุผลที่เธอเลือกเขาเพียงเพราะว่า ทิดเทิดนั้นหน้าตาคมคายร่างกายกำยำสูงโปร่งเรื่องอื่นไม่ได้สนใจอะไรเลยเอาหล่อไว้ก่อน แต่นับว่าโชคยังดีที่ทิดเทิดก็ไม่ได้มีกิจวัตรที่ขี้ริ้วขี้เหร่อะไรนัก
หลังจากทั้งสองแต่งงานเมื่อเวลาผ่านล่วงเลยไปยังไม่ถึงปีด้วยวัยหนุ่มสาวที่อารมณ์เหมือนไฟกับน้ำมันกิจกรรมในมุ้งก็มีแทบทุกวัน ไม่นานจำปีก็มีลูกกับทิดเทิด พอเมียรักเริ่มตั้งครรภ์ทิดเทิดผู้เป็นผัวก็ต้องทำงานหนักขึ้นอีกเท่าตัวเพราะเขาคิดว่าตนเองกำลังจะเป็นพ่อคน เพื่อจะได้มีเงินเลี้ยงดูลูกเมียไม่ให้ขาดตกบกพร่อง แม่ยายจะได้ไม่ตำหนิชาวบ้านจะได้ไม่ติฉินนินทาว่าตนเป็นหนูตกถังข้าวสารเกาะเมียกิน
ทิดเทิดจึงต้องเดินทางไปทำงานต่างหมู่บ้านอยู่บ่อยครั้ง เพื่อไปค้าขายของป่าที่หามาได้ บางคราวก็มีผลผลิตทางการเกษตรบ้าง เช่น ข้าวโพด พริก หรืออย่างอื่นที่เขาสามารถรังสรรค์เพาะปลูกมันขึ้นมาได้
การไปค้าขายแต่ละครั้ง บางทีก็ไปกลับ บางทีก็ค้างคืนหนึ่งคืน หรือมากกว่านั้นแล้วแต่ระยะทางและของที่นำไปขาย ถ้าเป็นจำพวกสมุนไพร ก็ใช้เวลานานหน่อย ตอนแรกก็ไม่มีปัญหาอะไรและดูเหมือนว่าจะเข้าใจกันดี แต่ช่วงหลังไม่รู้ว่าเพราะอะไรจำปีเหมือนจะหาเรื่องทิดเทิดอยู่บ่อยๆ
เธอหาว่าสามีตนเองนอกใจบ้าง ไปทำงานไม่ยอมกลับบ้านเพราะมีผู้หญิงคนอื่นบ้าง แอบคบชู้บ้าง จนเกิดความเบื่อหน่ายกันทั้งสองฝ่าย ทิดเทิดที่เหนื่อยจากงานอยู่แล้วก็ไม่อยากจะอธิบายอะไรมาก ได้แค่ปฏิเสธพอเป็นพิธีด้วยเหตุที่เป็นคนพูดน้อยเป็นทุนเดิมอยู่แล้วด้วย และยังคิดว่าที่เมียรักเป็นเช่นนี้คงเพราะกำลังท้องกำลังไส้
เรื่องที่จำปีมีปัญหากับสามีเพื่อนในกลุ่มรู้กันหมด ก็เธอนั่นแหละที่สาวไส้ตัวเองให้อีกากินจะใครซะอีกล่ะ แม้แต่ค่ายเองที่เด็กที่สุดในกลุ่มก็ยังรู้เรื่องที่จำปีมีปัญหากับผัวเลย
จำปีตั้งท้องได้เกือบหกเดือนแล้วด้วยวัยของเธอความรับผิดชอบใดๆ ในงานบ้านงานเรือนก็ยังมีไม่มากนัก วันๆ หนึ่งเวลาส่วนใหญ่ของเธอก็เอาแต่เที่ยวเล่นกับเพื่อนๆ ในหมู่บ้านตามประสาวัยรุ่นที่ยังไม่ประสีประสาอะไรในการมีชีวิตคู่อยู่ครองเรือน เพราะที่ผ่านมาจำปีถูกเลี้ยงดูด้วยการประคบประหงมเอาอกเอาใจจากผู้เป็นแม่ หญิงสาวจึงเหมือนเด็กไม่รู้จักโตและด้วยเหตุที่ว่าเป็นลูกสาวคนเดียวหลังแต่งงานก็ยังไม่ได้ออกเรือน ยังคงใช้ชีวิตอาศัยอยู่กับแม่ของตน
เมื่อเป็นเช่นนั้น ความรับผิดชอบในบ้านส่วนใหญ่แล้ว จะเป็นหน้าที่ของแม่ จำปีแทบไม่ได้ช่วยอะไรเลย ส่วนทิดเทิดที่แต่งเข้ามาเป็นลูกเขยก็เอาแต่ทำงานหาเงินเข้าบ้านเลี้ยงดูครอบครัว
และแล้ววันที่สิ้นสุดความอดทนของจำปีก็มาถึง เมื่อสามีที่ไปค้าขายแดนไกลนั้นหายไปเกือบจะเข้าสองเดือน ไม่มีคนส่งข่าวไม่มีจดหมายส่วนลูกในท้องอีกไม่กี่วันก็จะถึงหกเดือนอยู่แล้ว
ความหงุดหงิด ความอึดอัด ความขี้รำคาญ และกลายเป็นคนเจ้าอารมณ์ก็ตามมาตามขนาดของอายุครรภ์ของเธอถึงขั้นใช้กำปั้นทุบท้องตัวเองในบางครั้ง เวลาจำปีโมโหหรือแค่หงุดหงิดมือก็ทุบไปปากก็พร่ำพูดไปว่า
“มึงเสือกเกิดมาทำไม กูรำคาญเมื่อไหร่มึงจะออกมา”
แต่ละวันมีสารพัดคำพูดที่จำปีจะก่นด่าพ่นคำแย่ๆ ออกจากปากเล็กๆ ของเธอ การกระทำเช่นนี้เล่นเอาเพื่อนต้องหันไปมองหน้ากันแต่ก็ว่ากล่าวตักเตือนอะไรมากไม่ได้
พออายุครรภ์ครบหกเดือนจำปีชวนค่ายน้องเล็กที่อายุน้อยที่สุดในกลุ่มกับเพื่อนอีกสองคน ไปบ้านยายสร้อยที่อยู่อีกหมู่บ้านหนึ่งเป็นหมู่บ้านใกล้เคียงกับหมู่บ้านที่ค่ายอาศัยอยู่
ค่ายตกปากรับคำว่าจะไปเป็นเพื่อนทั้งๆ ที่ไม่รู้เลยว่ายายสร้อยคือใครแล้วจะไปทำอะไร จากนั้นก็นัดวันเวลากันว่าจะไปช่วงเช้าของวันพรุ่งนี้ ซึ่งเพื่อนในกลุ่มก็มีอีกคนหนึ่งที่เป็นแม่ลูกอ่อนแล้วต้องกระเตงลูกไปด้วย
เธอคนนั้นชื่อส้มเช้งมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับจำปี และอีกคนที่จะไปด้วยคือหวานลูกพี่ลูกน้องของส้มเช้ง พอทุกคนตกลงกันได้ก็แยกย้ายกันกลับบ้านแล้วรอเวลาเจอกันตอนเช้าวันรุ่งขึ้น
หลังจากแยกย้ายแล้ว ค่ายก็กลับไปทำกิจวัตรยามเย็นที่บ้านเพื่อเตรียมหุงหาอาหารไว้รอพ่อ แม้จะยังเด็กและยังเป็นลูกสาวคนเล็ก ค่ายก็รู้จักทำงานบ้านงานเรือนด้วยมีพ่อเป็นครูผู้สอนสั่งให้เอง เนื่องจากว่าแม่เสียหลังค่ายเกิดไม่นานส่วนพี่คนอื่นๆ ก็ออกเรือนไปหมดแล้วยังเหลือค่ายที่ยังเด็กเกินไป
พอพ่อกลับจากหาของป่า เด็กหญิงตัวน้อยก็เร่งหาสำรับกับข้าวกินอิ่มแล้วก็เก็บกวาดทำความสะอาดให้เรียบร้อยจากนั้นจึงเข้านอน ค่ายยังคงนึกถึงแต่เรื่องที่นัดหมายกับพวกพี่ๆ ในวันรุ่งขึ้น ได้แต่นึกดีใจที่จะได้ออกไปเปิดหูเปิดตานอกหมู่บ้านบ้างตามประสาเด็ก
เมื่อถึงเช้าวันใหม่ค่ายก็เตรียมตัวหลังเสร็จกิจวัตรประจำวันในช่วงเช้ากินข้าวปลาอาหารแล้ว เธอบอกพ่อว่าจะไปเที่ยวเล่นกับจำปี พ่อของค่ายอนุญาตโดยไม่แย้งเพราะยังไม่มีอะไรให้ช่วยจึงปล่อยให้ไปง่ายๆ หากจะพาขึ้นเขาไปหาของป่าด้วยค่ายก็คงไม่ไหว
หลังจากบอกพ่อ ค่ายก็เก็บถ้วยชามล้างให้เรียบร้อย จากนั้นก็เดินไปหาพี่จำปีที่บ้าน พี่จำปีที่ค่ายคิดว่าเป็นพี่ที่ทั้งสวยน่ารักใจดีและสนิทกันมาก ระหว่างทางเดินไปบ้านจำปีก็ได้เจอกับทุกคนที่นัดหมายไว้แล้วจึงจับกลุ่มมุ่งหน้าไปยังจุดหมายเดียวกัน
“จำปี จำปี เสร็จธุระรึยังพวกฉันมาแล้วนะ”
ส้มเช้ง เรียกจำปีเพราะมองไม่เห็นเพื่อนนั่งรออยู่ใต้ถุนบ้าน
“เสร็จแล้วกำลังไป”
จำปีตอบรับส้มเช้ง ในขณะที่กำลังเดินลงจากเรือนเมื่อทุกคนพร้อมหน้าพร้อมตาจำปีก็พูดขึ้นมาว่า
“ขอบใจที่มานะ ปะเราไปกันเถอะ”
ทุกคนพยักหน้าแล้วจึงเร่งเดินเท้าออกจากหมู่บ้านมุ่งหน้าไปยังอีกหมู่บ้านที่ยายสร้อยอาศัยอยู่ ต้องเดินทางประมาณห้ากิโลเมตรจึงจะไปถึงหมู่บ้านยายสร้อย
พอไปถึงทางเข้าบ้านยายสร้อยซึ่งมีม้านั่งที่ทำจากต้นไม้แบบยาวมีขาค้ำสามขาตรงกลางและหัวท้ายวางอยู่ข้างทาง มีต้นไม้ใหญ่ยืนต้นพอเป็นร่มเงาบังแดด ลมพัดเย็นสบาย
จำปีจึงบอกทุกคนให้หยุดก่อนจะดึงส้มเช้งออกไปคุยกันสองคน จากนั้นจำปีจึงหันมาทางค่ายที่ยังเล็กที่สุด เธอสั่งให้เด็กน้อยรออยู่ตรงนี้กับหวานที่เป็นลูกพี่ลูกน้องของส้มเช้ง แล้วจำปีก็บอกให้ส้มเช้งเอาลูกมาให้น้องอุ้มลูกของส้มเช้งไว้ เพราะจำปีบอกทั้งสองคนว่าจะให้ส้มเช้งพาตัวเองเข้าไปข้างในแล้วจะไปกันแค่สองคนเพื่อไปคุยธุระกับยายสร้อย
