3 ลูกเทวดา
“ถ้านิสัยดีคือวากะมาโลด อ้ายบ่ขัดข้องดอก หรือแก้ววาจั่งใด๋กะแล้วแต่แก้วโลด” พลตอบกลับอย่างไม่คิดอะไรมาก หากว่าผู้จะมาอยู่ด้วยนิสัยดีจริงๆ ก็ให้มาเลย ตัวเองไม่ขัดข้อง หรือหากว่าภรรยาคิดเห็นเช่นไรก็ตามแต่ใจได้เลย เขายังไงก็ได้ทั้งนั้น ให้ภรรยาจัดการได้เลย
“แก้วกะวาลิโตนเพิ่นนั่นแล้ว” คนเป็นภรรยาตอบกลับอย่างสงสารคนถูกฝากฝัง เพราะคิดว่าถ้าไม่สิ้นหนทางจริงๆ อีกฝ่ายคงไม่ดิ้นรนขอร้องคนอื่นอย่างนี้
“กะซั่นกะให้มานั่นล่ะ พอดีตั้วให้มาอยู่นำลูกเฮา บัดเทื่อกล้ามันจะกลับมาตั้งใจเรียนอีกเทียได้” ผู้เป็นสามีสรุปให้ง่ายๆ ไม่ให้ภรรยาคิดมาก พร้อมกับยกข้อดีมาสนับสนุนด้วยว่า หากได้ลูกศิษย์ของน้องภรรยามาอยู่ด้วย ไม่แน่ว่าลูกชายตัวดีของตัวเองอาจจะกลับมาตั้งใจเรียนอีกรอบก็ได้ เนื่องจากว่ามีตัวอย่างให้เห็นและทำตาม
“อืม เดี๋ยวแก้วโทรไปบอกนิดก่อนซั่นน่ะ” พูดจบ แก้วก็ยกมือถือขึ้นมากดโทรหาน้องสาวไม่รอช้า อย่างเกรงว่าอีกฝ่ายจะรอนาน
(วาจั่งใด๋เอื้อย) คนปลายสายถามความเห็นต้นสายออกมาทันทีที่กดรับด้วยความร้อนใจ ว่าพี่ตกลงเช่นไร
“มาโลดอ้ายพลเพิ่นบ่ขัดข้อง” แก้วบอกปลายสายให้ส่งลูกศิษย์มาได้เลย เพราะสามีเธอไม่ขัดข้อง
(อิหลีเบาะ) ปลายสายถามเพื่อให้แน่ใจว่าจริงๆ ใช่ไหม
“อิหลี” แก้วยืนยันเสียงหนักว่าให้มาได้จริงๆ
(โอ๊ย...ขอบคุณเอื้อยแก้วกับอ้ายพลแทนน้องขวัญหลายๆ เด้อ แค่นี้ล่ะซั่น ข่อยสิฟ้าวไปบอกลูกศิษย์ข่อย วาพวกเจ้าตกลงแล้ว) ปลายสายตอบรับด้วยความดีใจกับลูกศิษย์ตัวเอง ก่อนจะขอตัววางสายเพื่อจะได้รีบไปบอกข่าวดีนี้กับเจ้าตัวไม่รอช้า
“อืม” แก้วส่งเสียงในลำคอตอบรับด้วยความสุขใจที่ได้ช่วยเหลือผู้ไม่มีทางไป
หลังแก้วตอบรับจบ ปลายสายก็วางสายไปทันที
“เอ้าคือบ่ถามวา ลูกคะเจ้าจะมามื้อใด๋ สิได้เตรียมตัวเตรียมห้องให้ถูก” พลถามด้วยความสงสัย เมื่อเห็นว่าสองพี่น้องไม่ได้คุยถึงวันเวลาที่ผู้ถูกฝากฝังจะมาเลยสักนิด
“เออ ลืมถาม” คนถูกถามเบิกตาโตอย่างนึกขึ้นได้ว่าไม่ได้ถามวันเวลาออกไป
“เหวย” คนเป็นสามีปรายตาว่าให้เป็นภาษาบ้านเกิดที่เดียวกันกับภรรยาด้วยความอ่อนใจให้คนลืม
“หึๆ มามื้อใด๋กะมื้อนั่นละ เดี๋ยวนิดกะโทรมาบอกเองแหละ” คนถูกว่าให้แก้ตัวด้วยรอยยิ้มขบขัน ดั่งคิดว่าผู้ถูกฝากฝังจะมาวันไหนก็วันนั้นแหละ หรือไม่ก็ เมื่อถึงวันผู้ถูกฝากฝังจะมา น้องสาวของเธอก็คงจะโทรมารายงานเองนั่นแหละ
“อือ แล้วจะให้ลูกเพิ่นนอนไสล่ะ” คนเป็นสามีส่งเสียงในลำคอตอบรับอย่างคิดเห็นว่าต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว เพราะทำอะไรไม่ได้ โดยไม่ลืมถามไถ่ด้วยว่าจะให้ผู้มาอาศัยนอนตรงไหน
“นอนห้องนำลูกชายเจ้านั่นตั้ว” แก้วบอกง่ายๆ ว่าจะให้ผู้มาใหม่ไปนอนในห้องกับลูกชาย
“เพิ่นสิยอมบ่ล่ะ” พลถามอย่างคาใจว่าลูกชายจะยอมเหรอ
“ยอมบ่ยอมกะต้องเว้าเบิ่งตั้ว” แก้วตอบง่ายๆ ออกมาอีกครั้ง ว่าจะยอมหรือไม่ยอมก็คงต้องพูดกันก่อน
“ถ้าลูกบ่ยอมล่ะ” พลถามด้วยความสงสัยหากว่าลูกชายไม่ยอมจะทำยังไง
“กะไปนอนระเบียงตั้ว” แก้วตอบง่ายๆ อีกที ว่าถ้าลูกชายไม่ยอมก็ให้ไปนอนระเบียงก็แล้วกัน
“วุ้ย คือน่าเกลียดแท้” พลว่าให้ภรรยาอย่างไม่ชอบใจ ที่อีกฝ่ายจะให้ผู้มาอาศัยไปนอนระเบียงอย่างนั้น
“น่าเกลียดอิหยังให้ลูกเจ้านั่นล่ะไปนอน” แก้วอธิบายออกมาอย่างไม่เห็นว่าจะน่าเกลียดตรงไหน เพราะคนที่เธอจะให้ไปนอนตรงระเบียงคือลูกชายตัวเองนั่นเอง
“เอ้าคือวาจั่งซั่น” พลว่าให้ภรรยาอย่างไม่เข้าใจ ที่อีกฝ่ายจะให้ลูกชายไปนอนระเบียง
“บ่วาจั่งซี่สิให้วาจั่งใด๋ บ่ซ่อยเวียกซ่อยงานหลายกะดาย คันแข่วเว้ย” แก้วปรายตาตอบกลับสามีด้วยความมันเขี้ยวและขัดเคืองให้ลูกชายขึ้นมามากมาย ด้วยว่าอีกฝ่ายไม่ยอมมาช่วยงานกันสักทีนั่นๆ นี่ๆ ลีลาอยู่ได้
“ฮ่าๆ ๆ” คนเป็นสามีหัวเราะเสียงดังออกมาอย่างอดใจไม่ไหว พลอยทำให้ลูกสาวที่กำลังนอนกลางวันอยู่ใกล้ๆ สะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยความตกใจ จนร้องไห้จ้า
“โอ๋ๆ ขวัญเอ๋ยขวัญมา” คนหัวเราะเสียงดังรีบพลิกตัวไปตบหลังปลอบขวัญลูกสาวแผ่วเบาดั่งกลัวว่าภรรยาจะว่าให้ไม่รอช้า
ซึ่งก็ถูกว่าให้จริงๆ โดยอีกฝ่ายได้ส่งสายตามาว่าให้ด้วยความขัดเคือง ก่อนที่จะลุกหนีไปสับมะละกอเตรียมไว้รอขายช่วงเย็นต่อไป
หลังรับปากว่าจะรับลูกศิษย์ของน้องสาวมาอยู่ด้วยแล้ว ดังนั้นเมื่อลูกชายกลับมาบ้าน ทั้งสองจึงพูดคุยเรื่องนี้กับลูกชายทันที ขณะที่กำลังนั่งกินข้าวกันอยู่ตรงโต๊ะกินข้าวหน้าทีวี ที่ตั้งอยู่ทางเข้าร้านตอนสองทุ่มกว่า
“กล้าอยู่ว่างๆ ก็เก็บกวาดห้องไว้ด้วยนะลูก เดี๋ยวลูกศิษย์น้านิดจะมาอยู่ด้วย” แก้วสั่งลูกชายให้เก็บกวาดห้องไว้รออีกคนไม่รอช้า
“มาอยู่ด้วยทำไม แล้วเขาจะไว้ใจได้เหรอ” กล้าขมวดคิ้วถามกลับอย่างสงสัยและไม่พอใจ จนใบหน้ายับยุ่งเป็นยุงตีกัน เพราะอยู่ๆ เขาก็ต้องมาแบ่งห้องให้ใครก็ไม่รู้มานอนด้วย
“ไว้ใจได้ น้านิดเขารับรองมาแล้ว พี่เขาจะมาอยู่ด้วยก็เพราะพี่เขาอยากมาหางานทำ แต่พี่เขาไม่มีญาติพี่น้องที่ไหน น้านิดสงสารก็เลยฝากให้มาอยู่กับเราชั่วคราวน่ะ” แก้วตอบกลับพร้อมกับเล่ารายละเอียดออกมาอย่างสงสารผู้ถูกฝากฝังไม่คลาย
“มาอยู่ชั่วคราว ทำไมแม่ไม่ให้เขานอนข้างล่างล่ะ” กล้าออกความเห็นด้วยสีหน้ายับยุ่งตามเดิมเพราะไม่อยากจะแบ่งห้องให้ใครมาใช้ด้วย
“จะบ้าเหรอน่าเกลียดตายเลย แค่คอกกั้นน้องเราก็ไม่น่าเข้ามานั่งแล้ว ยังจะมีที่นอนหมอนมุ้งคนอื่นมาเพิ่มอีกเหรอ” แก้วว่าให้ลูกชายอย่างไม่ชอบใจที่อีกฝ่ายเสนอความคิดไม่เข้าท่าออกมาเมื่อสักครู่
“งั้นก็นอนห้องข้างๆ แม่สิ” กล้าให้ความเห็นอีกที ด้วยว่าชั้นสองข้างห้องนอนของแม่เขายังมีห้องว่างอยู่หนึ่งห้อง
“ห้องข้างๆ แม่ กล้าก็เห็นนี่ว่าของมันเยอะขนาดไหน จะให้แม่เอาไปไว้ที่ไหน” แก้วให้เหตุผล ด้วยว่าชั้นสองที่มีห้องนอนอยู่สองห้องนั้น อีกห้องเธอได้ทำเป็นห้องแต่งตัวไปแล้วนั่นเอง
“ก็เก็บไว้ในห้องแม่สิ” กล้าให้ความเห็นเสียงอ่อนอีกหนดั่งกลัวว่าจะได้แบ่งห้องให้ใครไม่รู้มาอยู่ด้วยจริงๆ
“เก็บได้ที่ไหนล่ะ แค่นั้นก็แทบจะไม่มีที่เดินแล้ว” แก้วให้เหตุผลอีกครั้ง ด้วยว่าห้องที่เธอกับสามีและลูกสาวนอนนั้น มีเตียงขนาดใหญ่ พร้อมด้วยชุดทีวีตั้งอยู่เต็มไปหมดแล้วนั่นเอง
“แม่ก็เก็บให้มันเรียบร้อยสิครับ” กล้าขมวดคิ้วว่าให้คนเป็นแม่ด้วยความไม่พอใจอย่างอดใจไม่ไหว ที่อีกฝ่ายพยายามจะให้เขาแบ่งห้องให้กับใครก็ไม่รู้อยู่ได้
“แม่จะเอาเวลาไหนมาเก็บ ตื่นขึ้นมาก็ต้องมาช่วยพ่อเขาเตรียมของขายให้ลูกค้าแล้ว” แก้วให้เหตุผลลูกชายอีกครา ด้วยว่าเธอไม่มีเวลาเก็บจริงๆ ไหนจะลูกไหนจะต้องเตรียมของช่วยสามีอีก
“งั้นแม่ก็ให้ลูกศิษย์น้านิดมาเก็บเองสิ” กล้าเสนอความเห็นอีกรอบดั่งไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่
“ได้ยังไงล่ะ น่าเกลียดตายเลย เรานี่มันยังไงกันเนี่ยฮะ? พี่เขามาอยู่แค่ชั่วคราวเอง ทำไมไม่มีความเห็นอกเห็นใจคนอื่นเลยฮะ? ” แก้วว่าให้ลูกชายอย่างอดใจไม่ไหว ที่อีกฝ่ายเอาแต่บ่ายเบี่ยงไม่ยอมแบ่งห้องให้ผู้จะมาอาศัยอยู่ด้วยสักที
“แล้วชั่วคราวนี่มันกี่วันครับ” กล้าถามเสียงห้วนด้วยสีหน้าบูดบึ้ง ไม่พอใจขึ้นมากกว่าเดิม ที่ถูกต่อว่าเมื่อสักครู่
“ไม่รู้สิ” แก้วตอบกลับอย่างไม่รู้จริงๆ ว่าผู้จะมาอาศัยจะมาอยู่ด้วยกี่วัน
“ไม่รู้ แล้วแม่จะรับรองได้ยังไง เผื่อเขาอยู่ตลอดไปจะทำยังไง” กล้าขมวดคิ้วว่าให้คนเป็นแม่อย่างไม่พอใจหนัก
“ไม่หรอกน่า” แก้วขมวดคิ้วตอบกลับด้วยใบหน้ายับยุ่งไม่ต่าง
“แม่รู้ได้ไง ว่าเขาจะไม่อยู่ตลอดไป” กล้าจับจ้องคนเป็นแม่ตาเขม็งอย่างต้องการคำตอบ
“ก็แม่จะไม่ให้เขาอยู่ตลอดไปไง รอเขาตั้งตัวได้แม่ก็จะให้เขาไปอยู่ที่อื่นแล้ว จะให้มาอยู่เปลืองน้ำเปลืองไฟทำไม” แก้วบอกความคิดตัวเองออกมาด้วยสีหน้าจริงจัง เพื่อยืนยันคำพูดตัวเอง
“แม่พูดแล้วนะ” กล้าเอ่ยด้วยสีหน้าบูดบึ้งไม่หาย
“อือ” แก้วส่งเสียงหนักๆ ในลำคอออกมาตอบรับ
“ก็ได้ครับ” กล้าเอ่ยอย่างยอมลงให้ในท้ายที่สุด เพราะไม่อาจหลีกเลี่ยง
“อย่างนี้สิ คนเราต้องรู้จักเห็นอกเห็นใจคนอื่นบ้าง ไม่ใช่เอาแต่ใจตัวเองไปวันๆ ” แก้วยิ้มบอกออกมาด้วยความโล่งใจที่ในที่สุดลูกชายก็ยอมตกลงแต่โดยดี
ได้ยินคำสั่งสอน คนเป็นลูกก็ยิ่งหน้างอง้ำมากกว่าเดิม จึงเปลี่ยนเรื่อง เพื่อไม่ให้คนเป็นแม่มาว่ากระทบตัวเองได้อีก
“แล้วลูกศิษย์น้านิดเขาจะมาวันไหน” คนเปลี่ยนเรื่องถามเสียงห้วน
“เร็วๆ นี่ล่ะ” คนเป็นแม่ตอบกลับด้วยคิดว่าคงจะรอไม่นานหรอก
ได้ยินคำตอบ กล้าก็ไม่ถามอะไรออกมาอีก เพียงนั่งกินข้าวของตัวเองไปเงียบๆ ด้วยความขุ่นเคืองให้คนเป็นแม่และคนที่จะมาอาศัยอยู่ด้วยเท่านั้น
ฝ่ายคนเป็นแม่ เมื่อเห็นลูกชายยอมลงให้แล้วจริงๆ ก็หันไปอมยิ้มกับคนเป็นสามีด้วยความโล่งใจ ที่จัดการเรื่องที่หลับนอนให้ผู้จะมาอาศัยได้แล้ว
