2 ฝากฝัง
นั่งดูการ์ตูนเป็นเพื่อนลูกสาวด้วยความกลัดกลุ้มใจไปได้สักพัก ทั้งสองก็ได้ยินเสียงแหลมเล็กบาดหูของรถมอเตอร์ไซค์ดัดแปลงดังขึ้นที่หน้าร้าน จึงพากันหันไปมอง ก็เห็นว่าเป็นอั๋นเด็กหนุ่มตัวสูงหนา เพื่อนของลูกชายขับรถมอเตอร์ไซค์โหลดต่ำสีดำแดงเข้ามาจอดที่หน้าร้าน พร้อมกับลูกชายซึ่งนั่งซ้อนท้ายมาด้วย
เมื่อรถจอดสนิทแล้ว ลูกชายของทั้งสองก็รีบวิ่งเข้ามาในร้านทันที โดยมีคนขับนั่งรออยู่ที่รถ ไม่เข้ามาในร้านด้วย อีกฝ่ายเพียงยกมือไหว้ทักทายทั้งสองอยู่ไกลๆ เท่านั้น
“แม่ขอตังค์ห้าร้อย จะไปดูหนังกินชาบูกับเพื่อน” คนวิ่งเข้าร้านเอ่ยพลางแบมือขอเงินไปด้วยความเร่งร้อน เพราะกลัวว่าเพื่อนจะรอนาน
“ไปทำไม ใครจะดูน้องให้แม่” คนเป็นแม่ขมวดคิ้วถามกลับด้วย ใบหน้ายับยุ่ง ไม่อยากให้ไป
“โห่...แม่ก็ดูไปสิวันเดียวเอง ผมจะไปฉลองปิดเทอมกับเพื่อน” คนอยากไปกับเพื่อนเอ่ยด้วยใบหน้ายับยุ่งไม่ต่าง อย่างกลัวว่าจะไม่ได้ไป
“อะไร สอบตกตั้งสี่วิชายังจะไปฉลองปิดเทอมกันอีกเหรอ” คนเป็นแม่ว่าให้ด้วยความมันเขี้ยวอย่างอดใจไม่ไหว เมื่อได้ยินว่าลูกชายจะไปไหน ด้วยเมื่อหลายวันก่อนตอนสอบเสร็จลูกชายก็ขอเงินไปฉลองกับเพื่อนแล้วทีหนึ่งนั่นเอง
“โห่..แม่อ่ะ นัดเพื่อนเอาไว้แล้วเนี่ย” คนเป็นลูกขมวดคิ้วโอดครวญใส่อย่างไม่พอใจหนัก จนใบหน้ายับยุ่งมากกว่าเดิม
“อ่ะๆ วันเดียวจริงๆ นะ ไม่ใช่ว่าพรุ่งนี้มาถึงมีเรื่องให้ต้องไปอีกนา” คนเป็นแม่ดักคอไว้ก่อนเพราะไม่วางใจ เนื่องจากรู้จักนิสัยลูกชายเป็นอย่างดี
“จริงจริ๊ง...” กล้ายืนยันเสียงอ่อนด้วยความทอดถอนใจ เมื่อถูกดักทางอย่างนี้
ได้รับคำยืนยัน คนเป็นแม่จึงก้มหยิบเงินในกระเป๋าคาดเอวให้ลูกไปตามที่ขอด้วยความจำใจ แม้ไม่อยากจะให้ลูกไปก็ตาม
ซึ่งเมื่อหยิบเงินออกมายื่นให้ คนเป็นแม่ก็อดกำชับออกมาด้วยไม่ได้ “อย่ากลับดึกนักล่ะ”
“รู้แล้วค้าบ...” คนถูกกำชับตอบรับยืดยานด้วยความทอดถอนใจอีกที แล้วยกมือไหว้ก่อนรับเงินที่ยื่นมาให้อย่างเอือมๆ เพราะอีกฝ่ายเอาแต่กำชับอยู่ได้
“ให้มันรู้จริงๆ เถอะ” คนเป็นแม่ต่อคำว่าให้อย่างอดใจไม่ไหว เนื่องจากรู้จักลูกชายดีว่า ถ้าไม่ถึงสองทุ่มเจ้าตัวจะไม่เข้าบ้านเป็นอันขาด
“ค้าบ...” คนถูกต่อคำตอบรับยืดยานอีกครั้ง ทั้งยื่นมือไปรับเอาเงินมาถือไว้ไม่รอช้าด้วย
หลังรับเงินแล้ว คนเป็นลูกก็เดินกลับออกจากร้านไปซ้อนท้ายเพื่อนเหมือนดั่งขามาอีกหนทันที โดยมีพ่อและแม่มองตามหลังไปด้วย
“ดู้...เพิ่งจะเว้าพื้นไปหยกๆ” คนเป็นแม่เอ่ยด้วยความทอดถอนใจ เพราะเพิ่งจะนินทาลูกไปเมื่อไม่นานมานี้เอง
“วัยของเขาเนาะ ซ่างมันเถาะ” คนเป็นพ่อบอกอย่างเข้าใจลูกชายดี ว่าวัยนี้เป็นวัยที่เห็นเพื่อนเป็นใหญ่
“กะย่อนวาวัยของเขานั่นล่ะกะเลยให้ไป” คนเป็นแม่เอ่ยอย่างเข้าใจไม่ต่าง พลางภาวนาไปด้วย ว่าขอให้ลูกชายคิดได้ ไม่เอาแต่เล่นในสักวันด้วยเถอะ
ซึ่งหลังจากภาวนาไปอย่างนั้นแล้ว คนเป็นแม่ก็อดคาดหวังในตัวลูกชายขึ้นมาไม่ได้ ด้วยว่าตอนเปิดเทอม เธอก็ไม่ได้เคี่ยวเข็ญให้ลูกชายต้องมาทำงานช่วยเลยสักวัน ดังนั้นเมื่อถึงเวลาปิดเทอมแล้ว เธอจึงคาดหวังเป็นอย่างมาก
ทว่าลูกชายตัวดีกลับไม่เอาไหนตามเดิม ยังคงไม่ยอมตื่นมาช่วยทำงานเหมือนช่วงเปิดเทอมเลยสักนิด ทั้งไม่คิดมาช่วยดูแลน้องอีกต่างหาก หรือต่อให้มาดูแล ก็มาดูแลได้ไม่เท่าไหร่ ลูกชายตัวดีก็แอบหนีออกไปหาเพื่อนๆ เหมือนเดิมเมื่อเธอเผลอ หรือไม่ฝ่ายเพื่อนก็เป็นฝ่ายมารับลูกชายเธอให้ออกไปด้วยกัน เหมือนตั้งใจสลับกันไปมาเพื่อไม่ให้เธอบ่นว่าให้ ได้อย่างไรอย่างนั้น
เป็นอย่างนี้ คนเป็นแม่ก็อดถอนหายใจออกมาด้วยความกลัดกลุ้มใจไม่ได้ “เฮ้อ...เบิ่งลูกชายเจ้าตี้ คือติดหมู่แฮงคักแท้”
คนกลัดกลุ้มใจบ่นกับสามีอย่างอดใจไม่ไหว เพราะไม่รู้ว่าจะทำยังไงให้ลูกชายไม่ติดเพื่อนมากเกินไปแบบนี้
“ซ่างมันเถาะ มันกะสิคือเฮาตะกี้นั่นล่ะ วาแต่มันบ่ไปติดยงติดยาคือในข่าวกะพอ” คนเป็นสามีปลอบใจภรรยาไม่ให้คิดมาก ด้วยการบอกว่าให้ปล่อยลูกชายไป พร้อมให้เหตุผลด้วยว่า ลูกชายก็คงจะเป็นเหมือนเช่นตัวเองเมื่อตอนเป็นเด็ก ที่ติดเพื่อนแจอย่างนี้
โดยที่ไม่ลืมบอกความคิดขอตัวเองไปด้วยอีกต่างหาก ว่าขอแค่ลูกชายไม่ติดยาเหมือนเช่นที่เป็นข่าวบ่อยๆ เขาก็พอใจแล้ว เพราะอยากให้ลูกชายได้ใช้ชีวิตไปตามวัยของตัวเองได้อย่างเต็มที่นั่นเอง
“สิบอกถืกบ่แล้ว เทียวออกตะข้างนอกจั่งสิ ปิดเทอมแทนที่สิอยู่บ้านซ่อยเลี้ยงน้องหรืออ่านหนังสือแน แต่กะบ่มี เอาแต่ไปขี่รถเล่นกับหมู่อยู่นั่น” คนเป็นแม่บอกอย่างวางใจไม่ลง ว่าลูกชายจะไม่ไปติดยาเหมือนเช่นคนอื่นเนื่องจากตัวคนนั้นออกจากบ้านไปทุกวันเลย
และไม่วายบ่นให้ด้วยอย่างอดใจไม่อยู่ ว่าปิดเทอมแล้วแทนที่จะอยู่บ้านช่วยเลี้ยงน้องหรือไม่ก็อ่านหนังสือทบทวนความรู้เอาไว้บ้าง แต่นี่กลับไม่ทำอะไรเลยสักอย่าง เอาแต่ไปขี่รถเล่นกับเพื่อนไปวันๆ อยู่อย่างนั้น
“ส่งไปเรียนพิเศษบ่ซั่น” คนเป็นสามีเสนอให้ส่งลูกชายไปเรียนพิเศษแทนการหยุดอยู่บ้านเฉยๆ อย่างหาทางช่วยภรรยาไม่ให้คิดมาก
“ไปเรียนพิเศษ? ” ผู้ถูกเสนอถามย้ำให้แน่ใจว่าสามีคิดดีแล้วใช่ไหม
“อือ” คนถูกถามพยักหน้าให้ดั่งคิดเอาไว้ดีแล้ว
“เจ้าคิดวาบักกล้ามันสิไปเข้าเรียนให้เจ้าอยู่ตี้” คนเป็นภรรยาถามกลับว่าลูกชายของอีกฝ่ายจะเข้าเรียนให้หรือเปล่าอย่างยอกย้อน
“น่าจะบ่น่ะ” คนถูกยอกย้อนตอบกลับด้วยรอยยิ้มแห้ง อย่างนึกขึ้นได้ ว่าลูกชายตัวดีคงจะไม่เข้าเรียนตามที่พวกเขาต้องการเป็นแน่
“แล้วสิส่งไปให้มันเปลืองเงินตื่มเฮ็ดหยัง” คนเป็นภรรยาปรายตาว่าให้ด้วยความขัดเคือง ว่าจะส่งลูกไปเรียนพิเศษให้เสียเงินเพิ่มทำไม
“ฮี่ๆ ๆ” คนเป็นสามีส่งยิ้มตายิบหยีไปให้ด้วยความขัดเขิน ที่ตัวเองเสนอความเห็นไปอย่างนั้น
ได้รับรอยยิ้มขัดเขิน คนเป็นภรรยาก็อดปรายตาส่งค้อนให้ด้วยความขัดเคืองใจหนักไม่ได้ ที่อีกฝ่ายช่างไม่รู้จักนิสัยของลูกชายตัวเองเอาเสียเลย
หลังปรายตาส่งค้อนให้คนเป็นสามีไปแล้ว แก้วก็อดถอนหายใจออกมาด้วยความกลัดกลุ้มใจไม่ได้ เนื่องจากเธอไม่มีความคิดและวิธีใดๆ ที่จะนำมาใช้ เพื่อให้ลูกชายได้ปรับปรุงตัวได้เลยสักวิธี
เพราะหากจะใช้วิธีดุด่าหรือทุบตี เธอก็คิดว่าวิธีนี้ไม่ใช่วิธีที่ดีเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งยังคิดว่าจะไม่ได้ผลด้วย ดีไม่ดีลูกชายอาจเตลิดหนีไปคบเพื่อนไม่ดีกว่าเดิมก็เป็นได้
ขณะที่กำลังนั่งกลัดกลุ้มใจอยู่ในร้านกับคนเป็นสามีอยู่นั้น เสียงมือถือที่นอนนิ่งอยู่ในกระเป๋าคาดเอวก็ดังขึ้น คนกลัดกลุ้มจึงหยิบมือถือขึ้นมาดู ก็เห็นว่าเป็นน้องสาวของตัวเองซึ่งรับราชการครูอยู่ที่โรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่งในบ้านเกิดของจังหวัดร้อยเอ็ดโทรมา จึงกดรับสายไม่รอช้า
“มีหยังล่ะนิด” คนรับสายถามไถ่ด้วยความใคร่รู้ว่ามีอะไรหรือเปล่า ถึงได้โทรมาอย่างนี้ ด้วยพวกเธอทั้งสองมักจะโทรเล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ให้กันฟังเป็นประจำอยู่แล้ว
(ข่อยอยากฝากลูกศิษย์ไปอยู่กับเอื้อยแก้วจักคนได้บ่) ต้นสายตอบกลับอย่างต้องการฝากฝังลูกศิษย์ให้มาอยู่ด้วยกันกับปลายสาย
“เป็นหยังล่ะคือสิได้ฝาก” คนรับสายถามกลับด้วยความสงสัยว่าทำไมต้องมาฝากฝังกันอย่างนี้
(เพิ่นจบมอ.หกแล้ว เพิ่นอยากเรียนหนังสือต่อ แต่ครอบครัวเพิ่นจ๊นจน ญาติพี่น้องทางใด๋กะบ่มี เลยมาขอคำปรึกษาวาอยากไปเรียนต่ออยู่กรุงเทพ เพื่อจะได้หาเงินไปนำเรียนไปนำ ข่อยกะจักจะเฮ็ดจังใด๋ เลยโทรมาถามเอื้อยนี่ล่ะ ลิโตนเพิ่น เพิ่นวาจะขอไปอยู่นำชั่วคราวนึงดอก ถ้าเพิ่นหางานได้ เพิ่นจะย้ายออก
ดอกวาซั่น)
ต้นสายเล่าเรื่องราวออกมาว่า ลูกศิษย์ของตัวเองนั้นเรียนจบชั้นมอ.ปลายแล้ว ต้องการเรียนหนังสือต่อ แต่ติดที่ฐานะของครอบครัวยากจนมาก ญาติพี่น้องที่ไหนก็ไม่มีให้พึ่งพา เลยมาปรึกษาเธอว่าอยากจะเข้ามาเรียนต่อในกรุงเทพ เพื่อจะได้ทำงานหาเงินไปด้วยเรียนไปด้วย ซึ่งเธอก็ไม่รู้ว่าจะช่วยอย่างไรดี เพราะสงสารลูกศิษย์ ซึ่งตัวลูกศิษย์นั้นจะขอไปอยู่ด้วยแค่ชั่วคราวเท่านั้น ถ้าเจ้าตัวหางานได้เมื่อไหร่จะย้ายออกทันที
“อ้อ เพิ่นเรียนเป็นจั่งใด๋ นิสัยเป็นจั่งใด๋ล่ะ” แก้วถามต่ออย่างต้องการรู้ว่าผู้จะมาอาศัยอยู่ด้วยเรียนเป็นอย่างไร นิสัยเป็นอย่างไรนั่นเอง
(เรียนเก่ง นิสัยดี ที่สำคัญกะเป็นผู้ซายนี่ล่ะ ข่อยถึงได้กล้าโทรมาถามเจ้า)
ต้นสายตอบกลับไปตามตรงว่าลูกศิษย์ของเธอนั้นเรียนเก่งมาก ทั้งนิสัยยังดีอีกต่างหาก ที่สำคัญเจ้าตัวยังเป็นผู้ชายอีกด้วย และเพราะเหตุนี้เธอถึงได้กล้าโทรมาถามดู
“อ้อ” แก้วส่งเสียงในลำคอตอบกลับอย่างรับรู้
(เจ้าคิดเห็นวาจั่งใด๋ สิรับหรือบ่รับก็แล้วแต่เจ้าเด้อ ข่อยแค่โทรมาถามเบิ่ง แต่รับรองได้วานิสัยเพิ่นดีอีหลีไว้วางใจได้)
ต้นสายรีบบอกออกมาเมื่อได้ยินคำตอบรับ พร้อมกับกำชับไว้ด้วยว่าคิดเห็นเช่นไรจะรับหรือไม่รับก็ตามแต่ใจของปลายสาย เพราะเธอแค่โทรมาถามไถ่ดูเท่านั้น โดยไม่ลืมยืนยันเอาไว้ด้วยว่าลูกศิษย์ของตัวเองนั้นนิสัยดีจริงๆ เผื่อว่าคนเป็นพี่จะสนใจรับไปดูแลลูกสาวตัวน้อยของเจ้าตัวที่อยู่ในวัยกำลังซน
“จั่งซั่นเบาะ เดี๋ยวเอื้อยขอถามอ้ายพลเบิ่งก่อนเด้อ วาเพิ่นสิวาจังใด๋ แล้วสิโทรไปบอกดอก” แก้วบอกอย่างขอเวลา ด้วยว่าเธอต้องถามพลผู้เป็นสามีก่อนว่าคิดเห็นอย่างไร แล้วจะโทรไปบอกให้รู้
(ได้ๆ ขอบใจเอื้อยหลายๆ )
ต้นสายตอบรับพร้อมกับขอบคุณออกมาอย่างมีหวัง
“อือ” คนถูกกำชับส่งเสียงในลำคอตอบรับอย่างไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่
หลังแก้วตอบรับจบ คนเป็นน้องสาวก็วางสายไปทันที เป็นอย่างนี้แก้วจึงหันมาเล่าเรื่องราวให้พลผู้เป็นสามีฟัง ทั้งยังไม่ลืมขอความคิดเห็นไปด้วยเมื่อเล่าจบ
“อ้ายคิดวาจังใด๋ เป็นตะให้มาอยู่นำบ่” แก้วถามสามีว่าคิดเห็นเช่นไร น่าให้มาอยู่ด้วยไหม
