บท
ตั้งค่า

1 ความกลัดกลุ้มใจของคนเป็นพ่อแม่

ช่วงสายของวันธรรมดา ที่ผ่านช่วงเวลาเร่งด่วนไปแล้ว บนถนนสายหนึ่งในเขตรอยต่อเมืองหลวงกับปริมณฑล มีอาคารพาณิชย์สองและสามชั้นหลายหลัง ตั้งเรียงรายอยู่เต็มสองข้างถนน

ซึ่งชั้นล่างของอาคารพาณิชย์สองและสามชั้นเหล่านี้ บ้างก็เปิดเป็นคลินิกรักษาโรค บ้างก็เปิดเป็นบริษัท หรือโรงงานอุตสาหกรรมขนาดย่อมๆ ร้านซ่อมรถและซ่อมอุปกรณ์ต่างๆ

นอกจากนี้ ยังมีร้านขายของกินของใช้มากมายให้เลือกซื้อด้วย หนึ่งในนั้น ก็คือร้านแก้วลาบร้อยเอ็ด เป็นร้านขายอาหารอีสานรสแซ่บ ที่ขายลาบ ก้อย น้ำตก ส้มตำไก่ย่างและอื่นๆ

โดยร้านขายอาหารอีสานรสแซ่บแห่งนี้ ตั้งอยู่หัวมุมถนนสายหลักและถนนสายรองเลี้ยวเข้าซอย เป็นอาคารพาณิชย์สามชั้นขนาดห้าคูหาด้านข้างของตัวอาคารที่เลี้ยวเข้าซอย มีซุ้มวินมอเตอร์ไซค์รับจ้างตั้งอยู่ ส่วนคูหาที่อยู่ติดกัน ก็เป็นร้านขายเหล็กขนาดใหญ่เปิดอยู่ทั้งสี่คูหา

ด้านหน้าอาคารของร้านแก้วลาบร้อยเอ็ดซึ่งตั้งอยู่ห่างจากฟุตบาทมาสองสามเมตร มีรถเข็นขายอาหารคันใหญ่บรรทุกตู้กระจกขนาดเล็กและใหญ่พอประมาณสองตู้จอดอยู่ โดยที่ด้านข้างทางฝั่งอยู่ติดกับซุ้มมอเตอร์ไซค์รับจ้างมีเตาย่างขนาดใหญ่ตั้งอยู่ด้วยอีกอัน

ด้านหลังของรถเข็นมีหญิงวัยสี่สิบต้นๆ กำลังง่วนอยู่กับการจัดผักต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเมนูตำทั้งหลายแหล่ ขึ้นใส่ตู้กระจกซึ่งตั้งอยู่ติดกับทางเดินเข้าร้านอยู่ด้วยอีกต่างหาก หลังจากที่เธอล้างผักทั้งหลายอย่างดีแล้ว 

ซึ่งขณะที่กำลังจัดแตงร้านลูกสวยขนาดกำลังตำขึ้นใส่ตู้กระจกอยู่นั้น หญิงวัยสี่สิบต้นๆ ก็ได้ยินเสียงลูกชายวัยย่างสิบเจ็ดปีดังขึ้นที่ด้านหลัง

“แม่ขอตังค์หน่อย” เด็กหนุ่มรูปร่างสูงและหนา หน้าตาดีเอ่ยพลางแบมือขอเงินผู้เป็นแม่ไปด้วย

“จะไปไหน ปิดเทอมแล้วไม่ใช่เหรอ” คนเป็นแม่ถามกลับโดยไม่หันหน้าไปมองลูกชายเลยสักนิด ยังคงตั้งหน้าตั้งตาจัดผักทั้งหลายขึ้นตู้กระจกไปตามเดิมอย่างกลัวว่าจะจัดร้านไม่เสร็จก่อนเที่ยง เนื่องจากว่าลูกชายเพิ่งจะสอบปิดภาคเรียนที่สองไปเมื่อกลางสัปดาห์ที่แล้วนั่นเอง

“ไปฟังผลสอบ”

ได้ยินคำตอบ คนเป็นแม่จึงหันไปมองลูกชายที่เดินเข้ามาหยุดยืนอยู่ด้านข้างทันที ก็เห็นว่าเจ้าตัวใส่ชุดนักเรียนขาสั้นเรียบร้อยแล้วดั่งคนกำลังจะไปโรงเรียนจริงๆ จึงก้มหน้ารูดซิปกระเป๋าคาดเอวที่อยู่บนตัว เพื่อหยิบเงินให้ไม่รอช้า พร้อมถามลูกชายออกมาด้วยความอยากรู้ “จะกลับกี่โมง”

“ไม่รู้สิ ถ้าสอบผ่านคงไม่เกินเที่ยงหรอกมั้ง” คนไปฟังผลสอบยักไหล่ให้อย่างไม่รู้จริงๆ ว่าจะสอบผ่านไหม โดยไม่ลืมคาดเดาเวลาออกมาให้คนเป็นแม่รู้ด้วยในตอนท้าย

“แล้วจะผ่านไหมล่ะเนี่ย” คนก้มหน้ารูดซิปชะงักไปเมื่อได้ยินคำตอบ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นถามต่อด้วยความหวั่นใจ เนื่องจากลูกชายผลการเรียนตกต่ำมาตั้งแต่ปีที่แล้วแล้ว 

“ไม่รู้สิ” คนถูกถามยักไหล่ตอบกลับอีกครั้งอย่างไม่ใส่ใจ คล้ายกับว่าที่พูดกันอยู่นี้ไม่ใช่เรื่องของตัวเองอย่างไรอย่างนั้น

“ฮึ่ย... ฟังเสร็จก็รีบกลับมาดูน้องให้แม่ด้วย” ผู้เป็นแม่ว่าให้เป็นภาษาบ้านเกิดด้วยความหมั่นไส้และมันเขี้ยวในท่าทีไม่รู้ไม่ชี้ของอีกฝ่าย ทั้งไม่วายกำชับออกมาด้วยอย่างกลัวว่าลูกชายจะไปเถลไถลไม่ยอมกลับมาบ้าน 

เนื่องจากเธอต้องการให้ลูกชายมาช่วยดูแลลูกสาววัยสองขวบกว่าให้นั่นเอง ขณะยื่นธนบัตรสีแดงหนึ่งใบไปให้ลูกชาย

“รู้แล้วน่า” คนถูกกำชับจิ๊ปากตอบรับด้วยใบหน้ายับยุ่ง ไม่พอใจ ทั้งยื่นมือไปรับเอาเงินมาใส่กระเป๋ากางเกงขาสั้นสีดำด้วยความเหนื่อยหน่าย เนื่องจากได้ยินอยู่ทุกวี่วัน 

ตอบรับจบ คนเป็นลูกก็เดินไปขึ้นรถมอเตอร์ไซค์รับจ้างที่จอดเรียงรายอยู่ข้างร้านทันที โดยมีคนเป็นแม่มองตามหลัง ทั้งบ่นไปด้วยความอ่อนอกอ่อนใจ

“รู้แล้วๆ ทุกที” คนหมั่นไส้ว่าให้อย่างอดใจไม่ไหว เนื่องจากอีกฝ่ายเอาแต่รับปากอย่างนี้ทุกครั้ง ทว่ากลับไม่ยอมมาดูแลน้องให้เลยสักวัน

บ่นว่าให้จบ คนเป็นแม่ก็ได้หันกลับมาทำงานของตัวเองต่อ 

หลังจัดร้านและเปิดขายไปจนถึงเวลาบ่ายโมงกว่า ผู้เป็นลูกชายก็ยังไม่กลับบ้าน เห็นดังนี้ คนเป็นแม่ก็อดหยิบมือถือที่นอนนิ่งอยู่ในกระเป๋าคาดเอวขึ้นมาโทรหาลูกชายไม่ได้

“อยู่ไหน ทำไมยังไม่กลับบ้าน” คนเป็นแม่ถามออกไปทันทีที่ลูกชายกดรับโทรศัพท์กัน

(อยู่โรงเรียน กำลังรอสอบซ่อมอยู่) คนรับสายตอบกลับเสียงห้วนไม่สบอารมณ์ให้ตัวเองที่สอบไม่ผ่าน

“ตกกี่วิชาล่ะเทอมนี้” คนเป็นแม่ถามด้วยความทอดถอนใจ ไม่นึกแปลกใจในผลการเรียนของลูกชายเลยสักนิด ด้วยว่าอีกฝ่ายเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่ชั้นมอ.สองเทอมแรกแล้ว ที่คะแนนเริ่มตกลงมาเรื่อยๆ จนกระทั่งสอบไม่ผ่านเหมือนอย่างในตอนนี้ 

(สี่วิชา)

ปลายสายตอบกลับเสียงราบเรียบอย่างไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่ ผิดกับคนเป็นแม่ที่อุทานเสียงหลงออกมาทันทีที่ได้ยินคำตอบ 

“ฮะ? สี่วิชาเลยเหรอ” คนอุทานถามย้ำอย่างคาดไม่ถึง ไม่คิดว่าลูกชายจะตกหลายวิชาขนาดนี้ จนอดที่จะเดินเข้าไปหาสามีและลูกสาวที่นอนดูทีวีอยู่ด้านในร้าน เพื่อพูดคุยหลังจากนี้ไม่ได้ เนื่องจากช่วงเวลาบ่ายโมงลูกค้าไม่ค่อยมีแล้วนั่นเอง

(อือ)

ปลายสายตอบรับราบเรียบตามเดิมอย่างไม่เห็นผิดแปลกอันใด จนคนเป็นแม่อดบ่นซ้ำเติมให้ด้วยความมันเขี้ยวไม่ได้

“นี่แหละ บอกให้อ่านหนังสือๆ ก็ไม่ยอมอ่าน เป็นไงสอบตกเลยไหม”

(แค่นี่นะแม่ ครูมาแล้ว) คนถูกบ่นตัดบทอย่างไม่อยากจะฟังคำซ้ำเติมให้อารมณ์เสียอีก บอกจบก็วางสายไปทันที

เป็นอย่างนี้ คนเป็นแม่ก็อดถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมาด้วยความกลัดกลุ้มใจไม่ได้ “เฮ้อ...”

พลางทรุดตัวนั่งลงบนเสื่อกกผืนใหญ่สีสันสวยงามเคียงข้างสามีวัยสี่สิบห้าปีที่นอนดูการ์ตูนอยู่กับลูกสาวตัวเล็กยังมุมหน้าบันได ภายในคอกกั้นเด็กขนาดใหญ่ พอให้ผู้ใหญ่เข้าไปอยู่ด้วยได้สองคนพอดี

ซึ่งภายในร้านนี้มีโต๊ะกินข้าวตัวใหญ่สำหรับครอบครัวตั้งอยู่หน้าร้านหลังคอกกั้นเด็กหน้าทีวีที่ติดกับบันไดและห้องน้ำอีกที โดยที่อีกฝั่งก็เป็นโต๊ะสำหรับให้ลูกค้านั่งกินในร้านสามโต๊ะ เลยเข้าไปด้านในสุดก็จะเป็นห้องครัว

“เป็นหยังล่ะ คือมาถอนหายใจแฮงคักแถะ” ผู้เป็นสามีที่นอนอยู่กับลูกสาวหันมาถามด้วยความสงสัยว่าภรรยาสุดที่รักเป็นอะไร หลังได้ยินเสียงถอนหายใจแรงจากอีกฝ่าย ขณะนั่งลงข้างตัว

“ถอนหายใจแฮงนั่นตั้ว ลูกชายเจ้าสอบตกตั้งสี่วิชาพุ้น” คนถูกถามตอบกลับอย่างกลัดกลุ้มใจไม่หาย เพราะลูกชายสอบตกถึงสี่วิชาเลย

"หือ... สี่วิชาเลยเบาะ พัฒนาขึ้นตั้วนี่” คนถามส่งเสียงในลำคอออกมาด้วยความประหลาดใจ เมื่อได้ฟังคำตอบ ก่อนจะพยักหน้าชมลูกชายด้วยความพึงพอใจในท้ายที่สุด

“พัฒนาอิหยัง แฮงเรียนแฮงสอบตก พัฒนาบ้านเจ้าบ้อแนวนี่” คนเป็นภรรยาว่าให้สามีด้วยความขัดเคืองใจ ที่อีกฝ่ายยังมีหน้ามาชมลูกชายตัวดีอยู่อีก

“พัฒนาตั้ว จากเทอมที่แล้วตกแค่วิชาสองวิชา มาเทอมนี่ตกตั้งสี่วิชาเลย เทอมหน้ากะสิบ่ห้าหกเจ็ดแปดไปพุ้นเบาะ” คนเป็นสามีเฉลยมุกของตัวเองด้วยความขบขัน

“ฮึ่ย...” คนเป็นภรรยาปรายตาว่าให้ด้วยความขัดเคืองใจ ที่อีกฝ่ายยังมีกะจิตกะใจมาเล่นมุกอย่างนี้อีก

“ฮ่าๆๆ อ้ายขอโทษ อ้ายกะบ่อยากให้แก้วเครียดเนาะ” คนถูก ว่าให้พลิกตัวมาสวมกอดออดอ้อนภรรยาด้วยความรักใคร่อย่างต้องการง้อ

“จ้า...บ่เครียด บ่เป็นตะเครียดจ๊าก...เม็ดเลย” คนถูกง้อประชดประชันอย่างอดใจไม่ไหว จนอดหยิกเอวหนาๆ ของอีกฝ่ายด้วยความหมั่นไส้และมันเขี้ยวไม่ได้

“เอาน่า เรียนบ่รอดกะมาขายลาบขายก้อยคือเฮากะได้ดอก” คนเป็นสามีเอ่ยง่ายๆ อย่างไม่อยากให้ภรรยาคิดมาก ด้วยการบอกว่าจะให้ลูกชายมาขายอาหารอีสานเหมือนกับตัวเอง

“ถ่าสิมาขายของคือเฮากะจักสิไปเรียนเฮ็ดหยังแล้ว ค่าเทอมบ่แมนถูกๆ อีกอย่างอยู่บ้านกะบ่แมนวาสิมาช่วยเฮ็ดงานกะดักกะด้อ มีตะไปหาเที่ยวเล่นยุบ้านหมู่เพิ่นพุ้น” คนถูกปลอบใจปรายตาว่าให้ด้วยความขัดเคืองใจในความคิดสามี  

เนื่องจากคิดว่าถ้าจะให้ลูกชายมาขายของเหมือนกันกับตัวเองจะส่งเสียให้เรียนโรงเรียนเอกชนทำไม ด้วยค่าเรียนไม่ใช่ถูกๆ อีกอย่างอยู่บ้านลูกชายก็ใช่ว่าจะช่วยงานสักเท่าไหร่ เพราะอีกฝ่ายชอบเอาแต่หนีไปเที่ยวเล่นอยู่บ้านเพื่อนตลอด

“แล้วแก้วสิเฮ็ดจั่งใด๋ สิให้เซาเรียนติ” คนเป็นสามีถามความคิดเห็นว่าจะทำเช่นไร ทั้งไม่วายคาดเดาความคิดภรรยาออกมาด้วย ว่าจะไม่ให้ลูกชายเรียนต่อแล้วเหรอ

“เซาเรียน? แฮงสิบ่เข้าทางลูกชายเจ้าตี้” ผู้เป็นภรรยาปรายตาว่าให้กับความคิดสามีอีกครั้ง เพราะหากว่าทำอย่างนั้นจริง ลูกชายของพวกเธอคงจะเอาแต่นอนเล่นเกมหรือไม่ก็ออกไปเที่ยวเล่นนอกบ้านกับเพื่อนทั้งวันเป็นแน่

“กะจั่งวานั่นตั้ว” ผู้เป็นสามีตอบรับอย่างคิดเห็นเช่นเดียวกัน

ได้ยินคำกล่าวของสามี คนเป็นภรรยาก็นิ่งเงียบอย่างพูดอะไรไม่ออกเพราะความกลัดกลุ้มใจ ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ให้ลูกชายสนใจการเรียนเหมือนเช่นแต่ก่อนขึ้นมาได้ 

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel