บทที่ 3 - เด็กสาววัยกำดัด
นพมองหน้าปูเลี่ยนของบ่าวคนสนิทที่พยายามพูดเนิบนาบแบบจับกิริยาเขาไปด้วยว่าเขาจะตะเพิดมันตอนไหน แต่ก็เพราะข้อหาที่มันรู้ใจเขาไปเสียทั้งหมด เขาจึงโกรธมันไม่ค่อยลง
“ข้าจะผ่อนคลายหรือไม่ผ่อนคลาย ข้ารู้ตัวของข้าดี เอ็งน่ะ แค่ทำตัวให้รู้หน้าที่ก็พอแล้ว ไม่ใช่นายสั่งอย่าง เอ็งก็รั้นจะทำอย่าง”
“เข้ม...”
“ข้ายังพูดไม่จบ ห้ามสอด”
“ขอรับ”
“อย่ามาทำเป็นสู่รู้ใจข้า เข้าใจไหมเจ้าเข้ม”
เจ้าเข้มที่ก้มหน้าแบบสำนึกผิด เหลือบตาขึ้นมอง คล้ายจะถามว่ามันพูดได้หรือยัง นั่นก็ยิ่งทำให้ความโมโหเหมือนจะกลับมา แต่ก็ต้องข่มกลั้นไว้ให้มันพูดออกมาเสียให้หมด จะได้ไปให้พ้นๆ สักที
“เอาละ จะว่าอย่างไรก็ว่ามาขอรับคุณเข้ม กระผมจะได้ทำการทำงานเสียที พูดจบแล้วคุณเข้มก็รีบไปให้พ้นๆ หน้ากระผมนะขอรับ”
“โธ่! คุณพระขอรับ ล้อเข้มอีกแล้ว”
“พูดมา”
“เข้มกราบขออภัยขอรับคุณพระ เข้มก็เพียงแต่คิดว่าถ้าอีจันทร์มันอยู่ที่นี่ด้วยอีกสักคน คุณพระก็จะได้ผ่อนคลาย และอีจันทร์มันเองก็จะได้ช่วยเหลือพ่อแม่มันได้ด้วยขอรับ”
นพหลับตาข่มกลั้นอารมณ์กรุ่นโกรธที่เริ่มจะผุดขึ้นทีละน้อยทีละน้อย เพราะนั่นคือสิ่งที่เจ้าเข้มเร้าหรือเขาตลอดในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งเขาไม่ได้อยากฟังซ้ำ
เรื่องของ ‘จันทร์’ เด็กสาววัยกำดัด ลูกสาวคนเหนือนมของ ‘นายจั่น-นางจวง’ บ้านอยู่โค้งคันนาสุดแนวป่า มาหาเขาที่เรือนอีกแล้ว
ใช่... อีกแล้ว
ตลอดทั้งเดือนที่ผ่านมานี้ ชื่อนางจันทร์คุ้นหูเขานัก เพราะนับครั้งไม่ถ้วนในช่วงหัวค่ำที่เด็กสาวจะเดินลัดเลาะตามคันนามาที่เรือนนี้ มาเพื่อขอให้เขารับหล่อนเอาไว้
เริ่มจากครั้งแรกที่นายจั่นเป็นคนพามา เขาก็ปฏิเสธหนักแน่น เพราะรู้ความนัยว่านายจั่นต้องการขายฝากลูกสาวเอาไว้ โดยหวังจะได้เงินสักก้อนไปใช้ ลูกสาวที่นำมาฝากก็เพื่อขัดดอกไว้ก่อน ส่วนเขาจะเก็บดอกท่าไหนกี่รอบกี่ครั้งก็ไม่มีใครว่า
แต่เขาก็ทำเช่นนั้นไม่ได้ ด้วยตั้งใจแล้วว่าจะไม่รับลูกสาวหลานสาวเรือนใดบ้านใดมาเด็ดขาด เพื่อป้องกันปัญหาที่จะตามมา หากถึงวันที่จะต้องเกรงอกเกรงใจกัน
แม้ว่าประเมินมองแล้วจะเห็นว่านายจั่นไม่ได้มีทีท่าหรืออำนาจใดจะมาต่อรองหรือทำตัวให้เป็นปัญหากับเขาได้ แต่เขาก็ไม่อยากให้คนครหาอยู่ดี
จึงให้เหตุผลกับนายจั่นว่าสยามนั้นเลิกทาสไปนานแล้ว จึงไม่ควรมีเรือนใดซื้อขายซื้อฝากบ่าวหรือข้าทาสสาวๆ กันอีก และที่เรือนนี้ก็เป็นเพียงเรือนชั่วคราวยามที่เขามาราชการชานเมือง บ่าวหญิงชายที่มีก็พอควรแก่การใช้สอย ไม่มีจำเป็นต้องรับเพิ่มอีก
แต่นายจั่นก็ยังไม่ถอดใจ ยังมีครั้งที่ 2 และ 3 ที่ไม่ได้มาเพียงนายจั่นแต่นางจวงก็มาด้วย มาอ้อนวอนให้เขารับลูกสาวเอาไว้ แม้นางจวงจะบอกว่ารับไว้ช่วยทำงานบ้านก็ได้ แต่เขาตั้งใจแล้วว่าไม่ก็คือไม่ จึงตัดความรำคาญให้เจ้าเข้มเอาเงินให้สองผัวเมียไป
แต่ใครจะคิดว่านายจั่นกับนางจวงเป็นคนจนแต่รักศักดิ์ศรี เมื่อไม่ได้มอบลูกสาวไว้ใช้งาน สองผัวเมียก็ลากลับไป โดยไม่ได้เอาเงินไปเลยสักสตางค์เดียว
ซึ่งเขาก็ถือว่าเป็นการดี สองผัวเมียจะได้ดิ้นรนหาทางอื่น ซึ่งหากจะนำนางจันทร์ไปฝากไว้เรือนอื่น ตรงนั้นเขาก็คงไปขัดคนเป็นพ่อแม่ไม่ได้ และไม่ใช่เรื่องที่เขาควรจะเข้าไปยุ่มย่ามด้วย เพราะแค่สิ่งที่ต้องทำก็ถือว่ายุ่งยากพอแล้ว ไม่ควรเอาตัวไปขัดแย้งกับคนในพื้นที่อีก จะได้ไม่คุ้มเสีย
แต่ที่คิดว่าเหตุการณ์จะจบลง กลับไม่ใช่ เพราะกลับกลายเป็นนางจันทร์เองที่เทียวไล้เทียวขื่อ พาตัวเองมาขาย แทบจะวันเว้นวันได้ และก็มักจะมาช่วงค่ำๆ แบบนี้ เข้าใจได้ว่าคงจะช่วยงานบ้านงานนาเสร็จเรียบร้อยเสียก่อนจึงดั้นด้นมา โดยที่เขาไม่รู้เลยว่านายจั่นกับนางจวงเห็นดีให้ลูกสาวมาทำแบบนี้หรือไม่
แต่หากนางจันทร์ยังเทียวไปมาได้ ก็เข้าใจได้ว่าสองผัวเมียยังไม่ได้นำลูกสาวไปขายฝากที่เรือนใดอีก แต่อย่างไรเสียเขาก็ไม่มีวันตกลง จึงได้บอกฝากเจ้าเข้มปฏิเสธ และไล่หล่อนกลับไป
“ไล่กลับไป”
“เข้มไล่มันแล้วขอรับ แต่มันก็ไม่ยอมกลับ มันบอกว่าจะอยู่พบคุณพระให้ได้ ถ้าไม่ให้มันพบ มันก็จะนอนอยู่ที่ท่าน้ำทั้งคืนขอรับ”
น้ำเสียงอ่อนอกอ่อนใจของเข้มพูดไปถอนหายใจไป นั่นเขาไม่รู้ว่ามันอ่อนใจจริงที่ต้องรบรากับนางจันทร์แทบจะวันเว้นวัน หรือมันแสร้งอ่อนใจให้เขาตกอุบาย แต่ทั้งหมดนั้นจะแก้ได้ ถ้าเขาให้ในสิ่งที่นางจันทร์ต้องการ หล่อนอาจจะเลิกวุ่นวายกับเขา ใช่ไหม?
“เด็กนั่นต้องการเงินเท่าไร”
“เอ่อ... อีจันทร์มันว่ายี่สิบบาทขอรับ”
คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันเมื่อเจ้าเข้มเบาเสียงลงยามเอ่ยถึงจำนวนเงิน ก็ควรอยู่หรอก เพราะจำนวนนั้นคือมากโข
‘เงิน 20 บาท’ สำหรับผู้คนชนบทชานเมืองเยี่ยงนี้มีมูลค่ามากมายนัก เพราะขนาดในพระนคร คุณแม่ของเขายังให้แม่ครัวไปจ่ายตลาดวันละ 30 สตางค์เท่านั้น ซึ่งนั่นก็เพียงพอสำหรับเลี้ยงคนในเรือนร่วม 10 ชีวิตในแต่ละวัน
เท่ากับว่าใน 1 เดือน ที่เรือนคุณแม่ใช้จ่ายค่ากับข้าว ประมาณ 10 บาทหย่อนๆ เท่านั้น
