
บทย่อ
'กลิ่นจันทร์' เมื่อที่นาจะถูกยึด 'จันทร์' จึงเร่เอาตัวเองมาขายฝากให้กับชายที่หล่อนพึงใจ ทว่า 'นพ' กลับไม่กล้ารับลูกสาวบ้านใดไว้ เพราะรู้ตัวเองดีว่า ความหอมหวานร้อนแรงสุดนั้น หากได้กลืนกินไปสักครั้ง จะอดไม่ได้อีกเลย สักค่ำคืน ++++ (ไม่เน้นดราม่า เน้นความรักหวานฉ่ำของพระนาง) ++++ เสียงไก่ขันดังแว่วมาจากเรือนบ่าว จันทร์ค่อยๆ กระเถิบกายจะลุกขึ้นจากที่นอน แต่กลับถูกรั้งไว้ด้วยท่อนแขนแกร่งของคนที่นอนแนบข้าง “จะไปไหน ยังเช้าอยู่เลย” “ก็เช้าแล้วเจ้าค่ะ จันทร์จะไปโรงครัว” “ก็เช้าแล้วค่ะ จันทร์จะไปโรงครัว” จันทร์อมยิ้มซาบซ่านหัวใจที่สุด ด้วยคุณพระบอกไม่ให้ใช้คำ ‘เจ้าคะ-เจ้าค่ะ’ กับท่าน เป็นเมีย ‘คะ-ค่ะ’ ก็พอแล้ว ทั้งผู้หญิงในพระนครก็ล้วนทอนทำให้สั้นเป็น ‘คะ-ค่ะ’ เพื่อให้ความรู้สึกเท่าเทียม “เช้าแล้วค่ะ จันทร์จะไปโรงครัว” “แต่ฉันไม่อยากให้จันทร์ไป” อ้อมกอดรัดแนบแน่นขึ้นอีก ฝ่ามือก็เคลื่อนขึ้นมาบีบเคล้นเต้าอวบจนจันทร์สะท้าน อาการของคุณพระในเวลานี้ไม่แคล้วท่านจะขอกินหล่อนเป็นอาหารเช้าเป็นแน่ แต่แบบนี้ไม่ดี เพราะหากไปโรงครัวหลังฟ้าสาง สายตาหยอกเย้าของป้าอิ่มกับพี่นิ่มก็พานแต่จะทำให้หล่อนหน้าร้อนไปทั้งวัน “จันทร์ต้องไปทำกับข้าวค่ะ ประเดี๋ยวไม่ทันคุณพระรับมื้อเช้า” “แต่ฉันไม่อยากกินข้าว อยากกินจันทร์ นะ... หิวจันทร์” จันทร์อยากจะมองค้อนคนด้านหลังที่บอกว่าหิว ทั้งที่กินหล่อนหลายครั้งต่อหลายครั้งไปเมื่อค่อนคืน “ถ้าจันทร์ไม่ให้ฉันกินเดี๋ยวนี้ ฉันคงหิวตาย” แล้วเสียงออดอ้อนแบบนี้ หล่อนจะขัดได้อย่างไร ในเมื่อหล่อนรักคุณพระเหลือเกิน จันทร์พลิกร่างหันหากายแกร่ง ฝ่ามือน้อยๆ ลูบไล้แผงอกกว้าง ก่อนแหงนหน้ารับจูบแสนหวานยามเช้า นพละเอียดอาหารเช้าแสนอร่อย ไม่อยากหยุด ไม่อยากอิ่ม อยากกินจันทร์แบบนี้ทั้งวันทั้งคืน นี่ล่ะคือสิ่งที่เขากลัว กลัวว่าเมื่อได้กินแล้วจะอดกินซ้ำๆ ทุกค่ำคืนไม่ได้ และก็เป็นอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด จันทร์แสนหวาน แสนหอม เร่าร้อน และอร่อยเป็นที่สุด จะหาที่ไหนได้ง่าย ผู้หญิงที่เก่งงานบ้านงานเรือน อ่อนหวาน เรียบร้อย แต่กลับพูดจาฉะฉาน กล้าคิดกล้าทำทุกสิ่งเพื่อพ่อแม่ แต่ในเรื่องเสพรัก จันทร์กลับเร่าร้อนเร่งเร้าเขาแทบพุ่งในทุกขณะที่สอดแทรก แต่จะว่าจันทร์ก็คงไม่ได้ เพราะทุกสิ่งนั้นเขาสอนจันทร์เอง ทุกท่วงท่าเขาสอนจันทร์แบบไม่ขาดตกบกพร่อง สอนไม่ให้จันทร์อายที่จะพูด ไม่ให้อายที่จะร่ำร้อง เพราะเขากับหล่อนจะไปถึงสวรรค์พร้อมๆ กัน ‘ฉันยังไม่อิ่ม อยากกินจันทร์ต่อ ให้ฉันกินจันทร์อีกนะ’ ‘เอ่อ...’ ‘ไม่ต้องอาย ผัวเมียกันมีอะไรให้พูด จันทร์ก็อยากให้ฉันกินต่อใช่ไหม จันทร์อยากให้ฉันกิน’ ‘เจ้าค่ะ จันทร์อยากให้คุณพระ... กิน’ ‘ฉันจะกินจันทร์ให้อิ่มอร่อย’ ‘เจ้าค่ะ’ ‘และฉันจะสอนให้จันทร์กินฉัน’ ‘กินคุณพระหรือเจ้าคะ’ ‘ใช่สิ จันทร์จะชอบ’
บทที่ 1 - ที่ใดมีอำนาจ ย่อมมีผู้แย่งชิง
เย็นย่ำ ณ เรือนชานเมืองซึ่งเป็นที่พำนักชั่วคราวของ ‘พระเกษตรานพคุณ’ หรือที่คนทั่วไปเรียกท่านว่า ‘คุณพระเกษตรนพ’ หรือ ‘คุณพระนพ’ ตามบรรดาศักดิ์ ‘พระเกษตรา’ และ ‘นพ’ ชื่อเดิมของท่านประสมกัน
เนื่องจากท่านมิได้เป็นข้าราชการบรรดาศักดิ์นี้แต่เพียงผู้เดียว หากแต่ยังมีอีกหลายท่านที่ดำรงตำแหน่งพระเกษตรา ทั้งในเขตพระนครและตามหัวเมืองต่างๆ
ด้วยการเก็บภาษีที่นา รวมทั้งการควบคุมดูแลให้ความรู้เรื่องพันธุ์ข้าว การจัดหาสัตว์ทำนา การหาแหล่งน้ำ รวมไปถึงการตัดสินข้อพิพาทเกี่ยวกับการทำนา เพื่อลดความขัดแย้งและเพื่อให้ชาวนาเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ดีมากขึ้น ก็ล้วนแต่เป็นหน้าที่การกำกับดูและของพระเกษตราทุกท่าน
ดังนั้นหากไม่มีชื่อต่อท้าย ผู้คนอาจจะงุนงงได้ว่า ‘พระเกษตรา’ ที่กำลังกล่าวถึงนั้นเป็นผู้ใดกัน
แต่สำหรับ ‘เข้ม’ บ่าวติดสอยห้อยตามคุณพระนพมาจากพระนครกลับไม่คิดเช่นนั้น เพราะสำหรับมันแล้ว เมื่อเอ่ยถึง ‘พระเกษตรา’ ที่ออกเยี่ยมเยือนชาวบ้าน ตรวจตราดูความเป็นอยู่อัตคัดขัดสนของชาวบ้านอย่างแท้จริง ก็คงมีแต่ ‘คุณพระนพ’ นายของมันเท่านั้น
ด้วยเป็นอันสามัญของผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ที่ล้วนแล้วแต่ต้องการความสะดวกสบายในทุกด้าน มีคนปรนนิบัติพัดวี ยิ่งมีผู้ใต้บังคับบัญชาคอยจัดการกิจธุระทุกอย่างให้ นั่นก็ทำให้พระเกษตราท่านอื่นนั้นเพียงนั่งสั่งการอยู่ในเขตพระนคร หาได้เที่ยวเสาะแสวงออกมาหาความลำบากยากกายดั่งนายของมันไม่
เหตุนี้จึงทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชาของคุณพระนพ ไม่ว่าจะเป็น หลวงธรณีพิทักษ์ ขุนชลาสินธุ์อนุรักษ์ และ หมื่นพิบูลย์ไพศาล ก็ต่างเสมือนได้เป็นทั้งขุนนางสายบู๊และขุนนางสายบุ๋นไปพร้อมๆ กัน
ด้วยเมื่อชาวบ้านในพื้นที่รับผิดชอบเกิดปัญหาและต้องการให้คุณพระนพช่วยเหลือ ผู้ใต้บังคับบัญชาทั้ง 3 ก็จะติดสอยห้อยตามไปด้วยทุกครั้ง
เช่น ณ ชานเมืองนี้ ที่เกิดข้อพิพาทเรื่องที่นาให้เข้าหูคุณพระนพอยู่เนืองๆ
เรื่องที่กำนันและพวกพ้อง ตั้งตนเป็นผู้มีอิทธิพล เรียกเก็บภาษีที่นาเกินกว่าที่นำส่งหลวง ทั้งยังเอารัดเอาเปรียบชาวบ้าน ให้นำที่นาที่ไร่มาจำนอง จากนั้นก็ริบทั้งผลผลิตและสิทธิ์ในที่นาที่ไร่นั้นมาเป็นของตน และหากบ้านใดเรือนใดมีลูกสาวหลานสาววัยกำดัด ก็ไม่แคล้วจะถูกย่ำยีบัดสี
แต่คุณพระท่านก็ว่านั่นก็เป็นเพียงคำร่ำลือ เพราะที่ใดมีอำนาจ ที่นั่นย่อมมีผู้แย่งชิง
ดังนั้นการใส่ไคล้เพื่อให้อีกฝ่ายมัวหมองหรือต้องอาญาก็ล้วนเกิดขึ้นได้ ควรให้ความเป็นธรรมทั้งสองฝ่าย หากกำนันผิดจริงก็ต้องมีหลักฐานชัดเจนทั้งพยานบุคคลและพยานวัตถุ เพื่อไม่ให้กำนันและพวกพ้องแก้ต่างได้หากส่งเรื่องไปถึงคณะกรรมการคดีพิพาท
เพราะหากตรวจสอบไม่แน่นหนาพอ ผลร้ายก็จะตกอยู่กับชาวบ้านต่อไป
และก็เป็นตามที่คุณพระนพคาดการไว้ เพราะเมื่อให้หมื่นพิบูลย์ไพศาลหรือ ‘หมื่นขวัญ’ ไปตรวจสอบก็พบว่าเป็นเหตุมีมูล แต่กลับไม่มีชาวบ้านคนใดกล้ายืนยันเอาผิดกำนันและพวกพ้อง แม้นจะพบความผิดซึ่งหน้า ในยามที่พวกลูกน้องของกำนันเข้าแย่งชิงข้าวในยุ้งฉางของชาวบ้าน
เมื่อสอบสวนเรื่องราว กลับกลายเป็นชาวบ้านให้การปกป้อง ว่านั่นเป็นเพียงสินน้ำใจที่ตนตั้งใจมอบให้กำนันเพื่อตอบแทนที่กำนันให้การดูแลลูกบ้านเป็นอย่างดี
แต่คำแก้ต่างเหล่านั้นมองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นเพราะชาวบ้านเกรงกลัวอิทธิพลของกำนัน
และเมื่อสาวลึกไปมากกว่านั้นก็พบว่าไม่ใช่แค่กำนันเท่านั้นที่ชาวบ้านเกรงกลัว แต่ครอบครัวและเครือญาติของกำนัน ไม่ว่าจะเป็นลูก เมีย พี่สาว น้องสาว น้องชาย หลานๆ หรือแม้แต่ญาติห่างๆ ที่แค่เอ่ยชื่อว่าเป็นญาติของกำนัน ชาวบ้านก็พานเกรงกลัวไปเสียทั้งนั้น
จึงกลายเป็นช่องทางเอารัดเอาเปรียบ ที่ไม่ว่าอย่างไร ชาวบ้านก็เป็นฝ่ายถูกกระทำอย่างเลี่ยงไม่ได้ เมื่อคนที่ควรให้ความช่วยเหลือเกื้อกูล กลับกลายเป็นคนที่เอารัดเอาเปรียบเสียเอง
นั่นจึงเป็นสาเหตุที่คุณพระนพมาปักหลักอยู่ที่ชานเมืองนี้ได้หลายเดือนแล้ว
‘ถ้ายังหาทางแก้ไขแบบถอนรากถอนโคนไม่ได้ หรือห้ามเชื้อพันธุ์คดโกงเกิดขึ้นใหม่ไม่ได้ ข้าก็ไม่คิดจะกลับพระนครเด็ดขาด จะรั้งอยู่ที่ชานเมืองนี้ อยู่เป็นหอกข้างแคร่กำนันไปจนกว่าทุกอย่างจะคลี่คลาย’
ในแต่ละวันงานหลักของท่านหากไม่ออกไปเยี่ยมเยือนชาวบ้านและรับฟังสิ่งที่ผู้ใต้บังคับบัญชามารายงานแล้วนั้น กิจวัตรประจำวันของท่านก็คือตรวจสอบเอกสาร
เริ่มตั้งแต่หลวงท่านยกเลิกให้นายเสนาเดินสำรวจและเปลี่ยนมาเป็นใช้กำนันเดินสำรวจ หลวงท่านให้สิทธิ์ชาวบ้านถือครองที่นาไม่เกิน 7 ไร่ต่อ 1 ครัวเรือน ที่ต้องตรวจสอบก็คือ
ชาวบ้านทำนาได้ข้าว หรือต้องเอาข้าวไปให้ใคร
7 ไร่พอกิน จนถึงเหลือพอขายหรือไม่
และพื้นที่ถือครองของชาวบ้านยังเป็นของชาวบ้านอยู่จริงหรือไม่ หรือเพียงทำกินในพื้นที่แต่สิทธิ์ขาดของผลผลิตเป็นของนายเงิน
คุณพระนพและผู้ใต้บังคับบัญชาต้องตรวจหาช่องโหว่เพื่อใช้เรียกสอบกำนันแบบขัดไม่ได้
เจ้าเข้มทอดสายตามองนายของตนด้วยความห่วงใย เพราะหลายเดือนที่ผ่านมานี้ คุณพระนพดูจะคล้ำไป ร่างกายแม้จะไม่ได้ผ่ายผอมแบบคนอดอาหาร แต่ก็คล้ำแดดกร้านลม ทั้งความเจริญใจยิ้มแย้มบนใบหน้าไม่ต้องพูดถึง เพราะไม่มีให้เห็นเลย ด้วยในแต่ละวันท่านก็คร่ำเคร่งแบบนี้ ตั้งแต่เช้าจดค่ำ
แม้ว่าเหล่าข้าราชการในพื้นที่ พ่อค้าวาณิช หรือแม้แต่กำนันเองจะนำลูกสาว หลานสาว น้องสาว มาเสนอตัวให้ดูแลรับใช้ท่าน ซึ่งก็หมายถึงนำความสำราญมาส่งให้ถึงเรือน โดยบอกว่าเป็นสินน้ำใจ คุณพระท่านก็ไม่ได้รับไว้เลยสักนาง เพราะถือว่านั่นคือการผูกมัดและจะกลายเป็นบ่วงที่ผูกติดท่านจนไม่สามารถเอาผิดกับคนคดโกงได้
