ตอนที่ 5 : เหยื่อล่ออ๋องพยัคฆ์ 1/2
ตอนที่
[3]
เหยื่อล่ออ๋องพยัคฆ์
“เดี๋ยวก่อน”
เสียงทุ้มต่ำและเย็นชาดังออกมาจากรถม้าพระที่นั่ง แม้จะราบเรียบ แต่กลับเปี่ยมไปด้วยอำนาจจนทำให้ทุกคนต้องหยุดการกระทำทั้งหมด
หลี่ซ่างเอินชะงักฝีเท้า นางแสร้งทำเป็นตกใจก่อนจะค่อย ๆ หันกลับมามองอย่างช้า ๆ หัวใจเต้นระรัวด้วยความลิงโลด แต่นัยน์ตากลับแสดงออกเพียงความสับสนและมีความหวังริบหรี่
ม่านรถม้าถูกเลื่อนเปิดออกช้า ๆ เผยให้เห็นบุรุษผู้หนึ่งที่นั่งอยู่ภายใน แสงแดดสาดส่องขับเน้นให้ใบหน้าหล่อเหลาราวเทพเซียนของเขาดูเจิดจ้าจนน่าพรั่นพรึง รัศมีแห่งความสูงศักดิ์และเย็นชาแผ่ออกมาจนอากาศรอบกายดูจะหนาวเหน็บลงถนัดตา
วินาทีที่ได้สบตากับเขา หลี่ซ่างเอินก็แสร้งทำเป็นหยุดหายใจไปชั่วขณะ นางเบิกตากว้างอย่างตื่นตะลึง ก่อนจะรีบก้มหน้าลงต่ำทันที ไม่กล้าสบตาเขาตรง ๆ ปฏิกิริยานั้นดูเหมือนการก้มหน้าด้วยความหวาดกลัวต่อบุรุษแปลกหน้าผู้ทรงอำนาจอย่างแท้จริง
ซ่งเว่ยหลิงหรี่ตามองภาพนั้นอย่างพิจารณา “หยางซานฉี ส่งคนไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ”
“พ่ะย่ะค่ะ!” หยางซานฉีรับคำและส่งสัญญาณให้ทหารสองนายควบม้ากลับไปทางที่สตรีทั้งสองวิ่งออกมาทันที
สายตาเย็นชาของซ่งเว่ยหลิงกวาดมองร่างที่เปื้อนเลือดของหลี่ซ่างเอินอีกครั้ง “เมื่อครู่เจ้าบอกว่าหนีโจรมา เช่นนั้นพวกมันอยู่ที่ใด”
หลี่ซ่างเอินสะดุ้งสุดตัวเมื่อถูกถามตรง ๆ นางรีบส่ายหน้าเป็นพัลวัน
“ข้า... ข้าไม่ทราบเจ้าค่ะ ตอนนั้นข้ากลัวมาก... เห็นเพียงไจ้หลิน... บ่าวของข้าพยายามสู้กับพวกมันเพื่อปกป้องข้า แล้ว... แล้วพวกมันก็เหมือนจะทะเลาะกันเอง... แล้วก็... ก็เกิดการต่อสู้กันจน... จนข้าฉวยโอกาสตอนชุลมุนพานางวิ่งหนีออกมา... ข้า... ข้าไม่รู้เรื่องจริง ๆ เจ้าค่ะ!”
นางแสดงละครฉากใหญ่ได้อย่างแนบเนียน ผลักความน่าสงสัยทั้งหมดไปให้ไจ้หลิน ก่อนจะปิดท้ายด้วยการแสดงความหวาดกลัวจนตัวสั่นเทา ไจ้หลินที่ได้ยินเช่นนั้นก็ได้แต่อ้าปากค้าง แต่เมื่อนึกถึงคำสั่งของคุณหนู นางจึงทำได้เพียงก้มหน้าร้องไห้สะอึกสะอื้นต่อไป
ซ่งเว่ยหลิงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย บ่าวรับใช้หญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งนี่น่ะหรือ?
ไม่นานนักทหารที่ถูกส่งไปตรวจสอบก็กลับมารายงานเสียงดังฟังชัด
“เรียนท่านอ๋อง! พบศพโจรป่าหกศพและสารถีอีกหนึ่งศพที่กลางป่าพ่ะย่ะค่ะ! สภาพศพของโจรทั้งหมด... ถูกสังหารด้วยอาวุธมีคมเพียงครั้งเดียวที่จุดตายพ่ะย่ะค่ะ!”
คำรายงานนั้นทำให้บรรยากาศโดยรอบเงียบกริบ!
สังหารโจรหกคนด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียวที่จุดตาย! นี่มันฝีมือของยอดฝีมือชัด ๆ!
หยางซานฉีเบิกตากว้าง เขามองไปยังไจ้หลินที่ยังคงร้องไห้จนตัวโยนอย่างไม่อยากจะเชื่อ
บ่าวรับใช้ผู้นี้เนี่ยนะคือยอดฝีมือที่ซ่อนเร้น?
ซ่งเว่ยหลิงหรี่ตามองภาพนั้นอย่างพินิจพิเคราะห์ยิ่งขึ้น สตรีผู้นี้... เรื่องเล่าของนางช่างเต็มไปด้วยช่องโหว่ แต่ท่าทีและแววตาของนางกลับดูใสซื่อจนน่าประหลาด ราวกับนางเชื่อในเรื่องโกหกที่ตนเองเพิ่งแต่งขึ้นมาจริง ๆ
มันคือความใสซื่อที่ดู... โง่งมอย่างที่สุด แต่กลับขัดแย้งกับผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นอย่างสิ้นเชิง
ความอยากรู้อยากเห็นที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนผุดขึ้นในใจของเขา
“ในเมื่อเส้นทางข้างหน้าไม่ปลอดภัย และรถม้าของนางก็ใช้การไม่ได้แล้ว” เขาเอ่ยขึ้นช้า ๆ ทำลายความเงียบ
“เช่นนั้นก็ให้พวกนางติดรถม้าสำรองท้ายขบวนไป แล้วเข้าเมืองไปพร้อมกับเรา”
คำสั่งนั้นทำให้ทั้งหยางซานฉีและเหล่าทหารต่างตกตะลึง! นี่เป็นครั้งแรกที่ท่านอ๋องผู้รังเกียจสตรีเป็นที่สุดอนุญาตให้สตรีแปลกหน้าเข้าร่วมขบวนเดินทางด้วยพระองค์เอง!
หลี่ซ่างเอินเงยหน้าขึ้น ดวงตากลมโตเบิกกว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ ก่อนจะรีบคุกเข่าลงกับพื้นพร้อมไจ้หลิน “ขอบพระคุณท่านผู้มีพระคุณ! ขอบพระคุณในความเมตตาเจ้าค่ะ!”
นางยังคงแสร้งทำเป็นไม่รู้จักฐานะของบุรุษตรงหน้า แม้จะได้ยินคำว่า ‘ท่านอ๋อง’ เต็มสองหู ก่อนจะค้อมศีรษะลงต่ำอย่างนอบน้อมและซาบซึ้งใจอย่างสุดซึ้ง
ซ่งเว่ยหลิงไม่ได้กล่าวอะไรอีก เขาปล่อยม่านรถม้าลง ปิดกั้นสายตาจากโลกภายนอก เหลือทิ้งไว้เพียงความเงียบงันและบรรยากาศอันน่าเกรงขามเช่นเดิม
หยางซานฉีรีบจัดการตามรับสั่ง เขาสั่งให้ทหารจัดเตรียมรถม้าสำรองให้สตรีทั้งสอง ก่อนจะเดินเข้าไปประคองพวกนางให้ลุกขึ้น
“คุณหนูหลี่ เชิญทางนี้เถิด”
หลี่ซ่างเอินพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย นางพยุงไจ้หลินให้ลุกขึ้นแล้วเดินตามทหารไปขึ้นรถม้าที่ท้ายขบวน ก่อนที่ประตูรถม้าจะปิดลง นางแอบหันกลับไปมองยังรถม้าพระที่นั่งคันใหญ่ที่อยู่หัวขบวน มุมปากของนางยกขึ้นเป็นรอยยิ้มที่ไม่มีผู้ใดเห็น...
‘ติดเบ็ดแล้ว... พยัคฆ์ร้ายแห่งเมืองเซวีย...’
