ตอนที่ 3 : หาใช่หลี่ซ่างเอินคนเดิม
ตอนที่
[2]
หาใช่หลี่ซ่างเอินคนเดิม
สามวันผ่านไปราวกับสายลมพัดผ่าน
หลี่ซ่างเอินยังคงปฏิบัติตนเป็นคุณหนูรองผู้แสนอ่อนหวานและเชื่อฟังดังเช่นทุกวัน นางตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อไปปรนนิบัติหลี่ซวงอี๋ที่เรือนใหญ่ ช่วยเลือกเครื่องประดับและเสื้อผ้าด้วยใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความชื่นชมอย่างจริงใจ จนแม้แต่รุ่ยรุ่ยและอิ๋งอิ๋ง สองสาวใช้ข้างกายของคุณหนูใหญ่ยังต้องลอบเบ้ปากด้วยความหมั่นไส้ในความประจบประแจงที่แสนโง่งมของคุณหนูรอง โดยที่ไม่รู้เลยว่าหลี่ซ่างเอินนั้นคิดใช้ปิ่นปักผมปลิดชีพหลี่ซวงอี๋ทางความคิดไปกี่ครั้งแล้ว
“เอินเออร์ วันนี้เจ้าดูงดงามเป็นพิเศษนะ” หลี่ซวงอี๋เอ่ยชมพลางสำรวจเงาสะท้อนของตนเองและน้องสาวในกระจกทองเหลือง ทว่าในใจนางกำลังเย้ยหยัน
งดงามไปเถิด... เพราะนี่จะเป็นวันสุดท้ายที่เจ้าจะได้เห็นใบหน้างดงามนี้
หลี่ซ่างเอินคลี่ยิ้มหวานจนดวงตาหยีลงเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว
“เพราะจะได้ไปไหว้พระกับพี่ใหญ่อย่างไรเล่าเจ้าคะ ข้าตื่นเต้นจนนอนไม่หลับเลย”
“ดีแล้ว” หลี่ซวงอี๋พยักหน้าอย่างพึงพอใจ
“ของไหว้ที่เราต้องนำไปมีจำนวนมากนัก ข้าจึงสั่งให้เตรียมรถม้าไว้สองคัน เราคงต้องนั่งแยกกันไปนะ จะได้คอยดูแลความเรียบร้อย”
“เจ้าค่ะพี่ใหญ่” หลี่ซ่างเอินรับคำอย่างว่าง่าย ไม่มีการซักถามหรือแสดงความสงสัยใด ๆ ทั้งสิ้น
เมื่อทุกอย่างพร้อมสรรพ สองพี่น้องก็เดินออกจากจวนไปยังรถม้าที่จอดรออยู่หน้าประตู หลี่ซ่างเอินหันไปส่งยิ้มให้ไจ้หลินที่ยืนรออยู่ข้างรถม้าคันเล็กกว่า ก่อนจะก้าวขึ้นไปอย่างนุ่มนวล โดยแสร้งทำเป็นไม่ทันได้สังเกต รอยยิ้มอันเย็นเยียบที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหลี่ซวงอี๋ก่อนที่อีกฝ่ายจะก้าวขึ้นไปยังรถม้าคันใหญ่ของตน
ขบวนรถม้าเคลื่อนตัวออกจากจวนตระกูลหลี่มุ่งหน้าไปทางอารามหยวนทงที่ตั้งอยู่นอกเมืองหลวง แรกเริ่มยังคงวิ่งตามกันไปบนถนนเส้นหลัก แต่เมื่อพ้นเขตชุมชนไปได้ไม่นาน รถม้าคันหน้าของหลี่ซวงอี๋ก็เร่งความเร็วขึ้นทิ้งห่างไป ขณะที่รถม้าของหลี่ซ่างเอินกลับเลี้ยวเข้าสู่เส้นทางลัดที่เล็กและเปลี่ยวร้างกว่าอย่างเห็นได้ชัด
“คุณหนู... เหตุใดรถม้าของเราถึงมาทางนี้เล่าเจ้าคะ” ไจ้หลินเอ่ยถามด้วยความกังวลใจ เส้นทางนี้รกร้างและมีป่าทึบขนาบสองข้างทาง
หลี่ซ่างเอินยังคงมีสีหน้าสงบนิ่ง “คงเป็นทางลัดกระมัง พี่ใหญ่คงอยากให้เราไปถึงเร็ว ๆ อย่ากังวลไปเลยไจ้หลิน”
ทว่ายังไม่ทันที่นางจะกล่าวจบ รถม้าก็หยุดลงกะทันหันจนทั้งสองเสียหลักเกือบล้มคะมำ เสียงร้องด้วยความตกใจของสารถีดังขึ้นก่อนจะเงียบหายไป ตามมาด้วยเสียงฝีเท้าหนัก ๆ ของคนกลุ่มหนึ่งที่กำลังล้อมรถม้าเอาไว้
“ลงมา!” เสียงหยาบกระด้างตะคอกสั่งจากด้านนอก
ไจ้หลินหน้าซีดเผือด นางรีบขยับกายไปบังคุณหนูของตนไว้
“คุณหนู อย่าออกไปนะเจ้าคะ!”
แต่ช้าไปเสียแล้ว…
ม่านรถถูกกระชากเปิดออกอย่างแรง เผยให้เห็นใบหน้าถมึงทึงของกลุ่มโจรป่าราวห้าหกคน พวกมันมองมายังสตรีสองนางในรถม้าด้วยสายตาหื่นกระหายราวกับสุนัขป่าเจอเหยื่ออันโอชะ
“หน้าตางดงามไม่เบาเลยนี่หว่า” โจรคนหนึ่งพูดพลางเลียริมฝีปาก
“นายหญิงบอกว่าให้พวกเราสนุกได้เต็มที่เช่นนั้นก็ลุยเลย”
“จัดการนังบ่าวรับใช้นี่ก่อน!” ก่อนที่หัวหน้าโจรจะตวาดกร้าว
จากนั้นโจรสองคนก็พุ่งเข้ามาในรถม้าแคบ ๆ หมายจะฉุดกระชากไจ้หลินออกไป ไจ้หลินกรีดร้องสุดเสียง นางทั้งกัดทั้งทึ้ง ใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีขัดขืนเพื่อปกป้องผู้เป็นนาย ชาติที่แล้วนางก็ทำเช่นนี้…
จนสุดท้ายต้องจบชีวิตลงอย่างน่าสงสาร
“อย่าทำบ่าวของข้า!” หลี่ซ่างเอินตะโกนขึ้น เสียงของนางสั่นเครือเล็กน้อย แต่ดวงตากลับจับจ้องไปยังกระบี่ที่เหน็บอยู่ข้างเอวของหัวหน้าโจรที่ยืนคุมเชิงอยู่นอกรถ
“หุบปากไปเลยนังหนู! เดี๋ยวก็ถึงตาเจ้าแล้ว” โจรอีกคนย่างสามขุมเข้ามาหานาง แววตาเต็มไปด้วยความคุกคาม
ทว่าในเสี้ยววินาทีที่โจรผู้นั้นยื่นมือหยาบกร้านมาหมายจะคว้าแขนของหลี่ซ่างเอิน เหตุการณ์ที่ไม่มีผู้ใดคาดคิดก็บังเกิดขึ้น!
ร่างที่ดูบอบบางอรชรพลันเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วจนน่าเหลือเชื่อ หลี่ซ่างเอินไม่ได้ถอยหนี แต่นางกลับพุ่งเข้าหาโจรผู้นั้น! มือเรียวงามคว้าจับข้อมือของมันไว้แน่น ก่อนจะใช้ทักษะการจับยึดข้อต่อที่เรียนรู้มาจากโลกอนาคตบิดอย่างแรง!
กร๊อบ!
เสียงกระดูกข้อมือหักดังลั่น พร้อมกับเสียงร้องโหยหวนของโจรผู้นั้นที่ดังตามมาติด ๆ
!!!
ทุกคนในที่นั้นต่างตกตะลึงจนนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ ไม่มีใครคาดคิดว่าคุณหนูผู้ดูเปราะบางราวตุ๊กตากระเบื้องเคลือบจะลงมือได้อย่างเฉียบขาดและรุนแรงถึงเพียงนี้
หลี่ซ่างเอินไม่ปล่อยให้โอกาสทองหลุดลอยไป นางใช้ร่างของโจรที่กำลังเจ็บปวดเป็นที่กำบัง ก่อนจะพุ่งตัวออกจากรถม้า ท่าทางนั้นว่องไวราวกับภูตผี เป้าหมายของนางคือกระบี่ที่เอวของหัวหน้าโจร!
ฉึบ!
เพียงพริบตาเดียว กระบี่เล่มนั้นก็มาอยู่ในมือนางแล้ว!
ในตอนนั้นเองที่หัวหน้าโจรเพิ่งจะตั้งสติได้
“นังนี่มันมีวรยุทธ์! ล้อมมันไว้!”
ทว่ามันช้าเกินไปแล้ว!
หลี่ซ่างเอินในยามนี้ไม่ใช่คุณหนูผู้อ่อนแออีกต่อไป นางคือวิญญาณนักสู้ที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างโชกโชน!
คมกระบี่ในมือสะท้อนแสงวูบวาบราวกับมีชีวิต นางตวัดมันออกไปอย่างรวดเร็วและแม่นยำ เลือดสาดกระเซ็นเป็นสายเมื่อปลายกระบี่กรีดผ่านลำคอของโจรที่อยู่ใกล้มือที่สุด มันล้มลงขาดใจตายทันทีโดยไม่มีโอกาสได้ส่งเสียงร้องด้วยซ้ำ
ภาพนั้นทำให้โจรที่เหลือหน้าถอดสี พวกมันเป็นเพียงโจรป่ากระจอกที่รับงานมาเพื่อเงิน ไม่ได้มีฝีมือสูงส่งอะไรนัก การเจอกับ ‘ยอดฝีมือ’ ที่ซ่อนรูปเช่นนี้ทำให้ขวัญกระเจิงไปหมดสิ้น
“ฆ่ามัน!” หัวหน้าโจรคำรามสั่งทั้งที่เสียงเริ่มสั่น
หลี่ซ่างเอินแค่นเสียงเย็น นางไม่ได้รอให้พวกมันตั้งหลักได้ ลงมือวาดลวดลายเพลงกระบี่ที่ทั้งงดงามและอำมหิตเข้าสังหารพวกมันทีละคน การเคลื่อนไหวของนางลื่นไหลราวสายน้ำแต่แฝงไว้ด้วยพลังทำลายล้างดุจพายุ ร่างของเหล่าโจรล้มลงกองกับพื้นทีละคน...
!!!
ไจ้หลินที่เพิ่งตั้งสติได้และลงมาจากรถม้า ได้แต่มองภาพตรงหน้าด้วยความอ้าปากค้าง
นี่คือคุณหนูของนางจริงหรือ?
คุณหนูผู้อ่อนหวานที่แม้แต่จะเด็ดดอกไม้ยังต้องคิดแล้วคิดอีก ทว่าบัดนี้กลับยืนอยู่ท่ามกลางกองซากศพของเหล่าโจร ใบหน้าและอาภรณ์สีอ่อนเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดสด ๆ แต่แววตาของนางกลับนิ่งสงบอย่างน่าประหลาด
ไม่นานนักโจรคนสุดท้ายก็ล้มลงสิ้นใจด้วยสภาพน่าอเนจอนาถ หลี่ซ่างเอินสะบัดปลายกระบี่เพื่อสลัดคราบเลือดออก ก่อนจะหันมามองไจ้หลินที่ยืนตัวแข็งทื่ออยู่
“คุณหนู...” ไจ้หลินเอ่ยเสียงสั่นเครือ ไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกหวาดกลัวหรือทึ่งดี
หลี่ซ่างเอินคลี่ยิ้มบางเบา รอยยิ้มนั้นขัดกับภาพลักษณ์นักฆ่าเมื่อครู่อย่างสิ้นเชิง “ไจ้หลิน ตกใจหรือไม่”
ยังไม่ทันที่ไจ้หลินจะได้ตอบคำถาม เสียงครืน ๆ ของล้อรถม้าจำนวนมากและเสียงฝีเท้าม้าที่ดังกระหึ่มขึ้นจากอีกฟากของป่าก็ทำให้หลี่ซ่างเอินต้องหันไปมอง แววตาของนางเป็นประกายวาบขึ้นมาทันที
มาแล้ว...
“พวกเรารีบไปกันเถิด” นางกล่าวกับไจ้หลินอย่างเร่งรีบ
“ไป... ไปไหนหรือเจ้าคะ” ไจ้หลินยังคงงุนงง
หลี่ซ่างเอินยกยิ้มเจ้าเล่ห์ขึ้นที่มุมปาก เป็นรอยยิ้มที่ทำให้ใบหน้าที่เปื้อนเลือดของนางดูมีเสน่ห์ลึกลับอย่างประหลาด
“ไปเปลี่ยนเส้นทางชีวิตกัน”
กล่าวจบหญิงสาวก็ไม่รอช้า รีบฉุดมือไจ้หลินให้วิ่งตามมาทันที นางไม่ได้วิ่งกลับไปทางเดิม แต่กลับมุ่งหน้าทะลุป่าไปยังทิศทางที่ได้ยินเสียงขบวนเดินทางนั้น
ไจ้หลินที่ยังคงสับสนได้แต่วิ่งตามผู้เป็นนายไปอย่างงุนงง ในใจของนางเต็มไปด้วยคำถามนับร้อยนับพัน เหตุใดตนจึงรู้สึกว่า... นี่ไม่ใช่คุณหนูที่ตนรู้จักมาตลอดหลายปี
