บทที่ 1 เกี้ยวเจ้าสาวกำหนดชะตา
เสียงล้อไม้เคลื่อนบดบนทางคับแคบริมหุบเขาเฟยหย่า กีบเท้าม้านับสิบห้อตะบึงตามหลังมาอึกทึกครึกโครม
“พระชายา ทำอย่างไรดีเพคะ ท่านอ๋องจะตามทันแล้ว”
ใบหน้าเกลี้ยงเกลายามนี้ผุดซึมไปด้วยหยาดเหงื่อวาวระยับ คิ้วสวยขมวดแน่นจนเกิดเป็นปม ลมหายใจติดขัดหนักหน่วง อกด้านซ้ายกระเพื่อมถี่เพราะกำลังอ่อนล้าโรยแรง
“ไม่มีเวลาแล้ว เป่าชุนเจ้าหนีไปไม่ต้องสนใจข้า”
เป่าชุนส่ายหน้าระรัว ประกายตาแดงก่ำ “ไม่เพคะ พระชายาจะไปที่ใดเป่าชุนจะขอติดตามท่านไปด้วย”
จูฟางหรงจนใจกับความดื้อดึงของสาวใช้ผู้ภักดี แม้พวกนางรู้จักกันที่วังหลวง ทว่าทั้งสองกลับผูกพันธ์กันเฉกเช่นพี่น้อง
“เป่าชุน เจ้าบอกว่าจะเชื่อฟัง และภักดีกับข้าใช่หรือไม่”
เป่าชุนพยักหน้า “เพคะ”
“เช่นนั้นเจ้าฟังข้า เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า หนีไป!”
ฟิ้ว…ฉึก!
เป่าชุนตาเบิกโพลงกายแข็งค้าง จูฟางหรงตื่นตระหนก นัยน์ตาหงส์ลดต่ำลงเรื่อย ๆ กระทั่งพบว่าเกาทัณฑ์ดอกหนึ่งที่พุ่งเฉียดข้างแก้มนางเมื่อครู่ ปักเข้าบริเวณอกซ้ายของเป่าชุนเสียแล้ว
“เป่าชุน!!”
จูฟางหรงรู้สึกคล้ายฟ้าดินพลิกผัน หัวใจแทบแหลกสลายกลายเป็นเถ้าธุลี
“พะ…พระชายา เป่าชุนอกตัญญูคงร่วมเดินทางกับท่านไม่ได้แล้ว”
เป่าชุนโงนเงนดั่งต้นหญ้าต้องสายลม ม่านตาของจูฟางหรงขยายกว้าง มือเรียวคว้าไปเบื้องหน้าละล้าละลัง ทว่าไม่ทันเสียแล้ว ร่างของเป่าชุนร่วงหล่นลงจากรถ ไม่นานเกาทัณฑ์ดอกที่สองก็โผเข้ามาเฉียดเหนือศีรษะ
จูฟางหรงไม่อาจประวิงเวลา บังเหียนรถม้าไร้สารถีบังคับ แขนซึ่งเต็มไปด้วยร่องรอยฟกช้ำจากการถูกทัณฑ์ทรมานยกขึ้นปาดน้ำตาลวก ๆ จูฟางหรงสลัดความเศร้าโศกทิ้ง จากนั้นตั้งใจบังคับรถม้าเพื่อหลบเลี่ยงคมหอกห่าธนูที่พุ่งเข้ามาดั่งพายุคลั่ง
โครม!
เพราะบริเวณนี้หินก้อนใหญ่มีมาก เป็นเหตุให้รถม้าเซถลาเสียหลัก ร่างระหงกลิ้งหลุน ๆ ตกลงมาอย่างรุนแรง
จูฟางหรงทั้งเจ็บและจุกจนพูดไม่ออก เสียงที่ไล่ตามหลังมาตลอดระยะทางสงบลงแล้ว มิใช่พวกเขาจากไปทว่ากำลังมองนางด้วยความสังเวชอยู่ต่างหาก จูฟางหรงรู้สึกว่าหูของตนอื้ออึงไปหมด นัยน์ตาหงส์พร่าเบลอไม่ชัดแจ้ง
บุรุษร่างสูงเยื้องย่างใกล้เข้ามาเนิบช้าพร้อมกระบี่อ่อนที่ถือไว้มั่น ใบหน้าหล่อเหลาของเขาช่างเย็นชาและดุดันดุจปีศาจ
เสียงทุ้มเอ่ยเย็นเยียบ “จูฟางหรง เจ้าจะกลับไปกับข้าเพื่อยอมรับผิดดี ๆ หรือเจ้าเลือกที่จะตายอย่างทรมานอยู่ตรงนี้”
จูฟางหรงแค่นยิ้ม แขนเรียวพยายามดันพื้นเพื่อพยุงร่างของตนให้ยืนขึ้นด้วยความทุลักทุเล อาภรณ์แสนงดงามยามนี้เปื้อนเขรอะไปด้วยเศษฝุ่นคราบโลหิต ริมฝีปากสีกุหลาบกระอักของเหลวสีแดงฉานออกมาคำโต
“ท่านอ๋อง ข้ายอมรับว่าข้ากระทำผิดที่คิดทำร้ายท่าน แต่เป่าชุนไร้ความผิด ไยท่านต้องสังหารนาง”
เขาไม่ได้ตอบกลับ ทว่าบุรุษร่างสูงฝั่งตรงข้ามยังยืนสงบนิ่งด้วยสีหน้าเรียบเฉย ทั้งยังแผ่กลิ่นอายครั่นคร้ามออกมาจนคนมองเสียวสันหลังวาบ
หากถูกเขาจับกุม นางจะต้องถูกเขาทรมานจนตาย ผู้ใดก็ว่าโหย่วอี้อ๋องเหี้ยมโหดอำมหิต ในเมื่อภารกิจที่ได้รับมอบหมายไม่อาจลุล่วง เช่นนั้นจูฟางหรงขอเลือกทางเดินที่ไม่ต้องเจ็บซ้ำซ้อนเสียยังดีกว่า
ร่างระหงถอยร่นไปเบื้องหลังทีละก้าว คิ้วเข้มเลิกขึ้นหนึ่งฝั่ง เขาจดจ้องสตรีตรงหน้าที่เคลื่อนตัวห่างออกไปเรื่อย ๆ
“ท่านอ๋อง!”
องครักษ์ผู้ติดตามง้างธนูรอฟังคำสั่งอยู่นานเห็นผู้เป็นนายนิ่งสนิทก็เร่งเอ่ยปาก ดูเหมือนว่าเชลยของพวกเขากำลังเล่นแง่บางอย่าง
มือแกร่งยกขึ้นเป็นสัญญาณ บรรดาทหารและองครักษ์ก็หุบปากฉับ จากนั้นลดธนูลง
จูฟางหรงหัวเราะประหนึ่งคนเสียสติ “ทำไมเพคะ ท่านยิงสิ ยิงเลย หรือว่าท่านยังติดใจเรื่องที่เรายังเป็นสามีภรรยากัน”
“เจ้ากลับมา”
“กลับรึ กลับให้ท่านทรมานข้าก่อนตายงั้นหรือ จะฆ่าก็ไม่ฆ่า จะปล่อยก็ไม่ปล่อย ท่านสนุกมากหรือไม่ที่ได้เห็นข้าเหมือนตายทั้งเป็น โหย่วอี้อ๋อง…”
เท้าเล็กเปิดขึ้นและเริ่มเข้าใกล้ขอบผาเรื่อย ๆ หน้าหล่อเหลาก็ยิ่งหม่นทะมึน
“ข้าบอกให้เจ้ากลับมา!”
“คนเผด็จการ ท่านมันอ๋องปีศาจ!”
จูฟางหรงตัดสินใจกระโดดลงหน้าผาอย่างไม่ลังเล บรรดาทหารเบื้องหลังวิ่งกรูเข้ามา ต่างเบิกตากว้างตะลึงลาน จูฟางหรงประสานกับนัยน์ตาคมกริบของเขา แววตาของบุรุษผู้นี้ช่างเยือกเย็นและน่ากลัวยิ่งกว่าปีศาจร้าย
เขาไม่ได้เห็นแก่ความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยาแม้สักเสี้ยว กักขังหน่วงเหนี่ยวทรมานนางอย่างแสนสาหัส วันนี้จูฟางหรงเลือกจบชีวิตอันแสนบัดซบนี้ลง หวังว่าโลกหน้านางจะไม่ต้องเกิดมาเป็นมือสังหารให้ใครหลอกใช้ และไม่ถูกสามีข่มเหงเฉกเช่นชาตินี้อีก
ลาก่อนหลงโหย่วอี้
.
.
.
“เฮือก!!”
“คุณหนู ท่านเป็นอะไรหรือเจ้าคะ”
เสียงนี่ เสียงสตรีผู้นี้นี่ใครกัน หรือข้าอยู่ในปรโลกแล้ว…
จูฟางหรงหันรีหันขวางทว่ากลับรู้สึกคล้ายคนตาบอดสนิท ดูเหมือนยามนี้ศีรษะของนางกำลังถูกบางอย่างปกคลุมไว้ หนำซ้ำจูฟางหรงยังรู้สึกคล้ายกับว่าตนกำลังนั่งอยู่บนบางอย่างซึ่งลอยตัวเหนือพื้นดิน
มือเรียวยกขึ้นด้วยอาการสั่นเทา เสียงเล็กจากด้านนอกยังคงถามย้ำ ทว่าหูของจูฟางหรงนั้นอื้ออึงไปตั้งนานแล้ว
เสียงลมหายใจหอบถี่ดังวนเวียนภายในโซนสมองพลางกลืนน้ำลายหนืดเหนียวลงคอประหนึ่งลำบากยากยิ่ง ไม่นานผ้าที่คลุมปกปิดการมองเห็นก็ถูกเลิกขึ้นจนสุด
นัยน์ตาหงส์เบิกค้างตะลึงลาน
เรายังไม่ตายอีกหรือ!?
จูฟางหรงควานหาบางอย่างบริเวณเข็มขัดผ้า และได้พบเรื่องอัศจรรย์ที่ว่ายามนี้ นางกำลังนั่งอยู่บนเกี้ยวเจ้าสาวเมื่อหลายเดือนก่อน เพราะเครื่องแต่งกายบนเรือนร่างมันได้ยืนยันบางอย่างจนแจ่มชัด
“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน ทำไม ทำไมข้ากลับมาที่นี่ล่ะ”
ซองกระดาษขนาดเล็กร่วงแหมะลงบนตัก จูฟางหรงคลี่อ่านข้อความด้านในก็นิ่งค้างไปอีกหน มือเรียวยกขึ้นกุมขมับ
ภารกิจลับของนางคือการลอบสังหารโหย่วอี้อ๋องโดยแฝงตัวในฐานะคุณหนูสกุลจูลูกสาวเสนาบดีผู้ถือครองตำแหน่งปิงปู้แห่งแคว้นช่านเป่ย ซึ่งแน่นอนนางเติบโตมาในคราบของคุณหนูเพียงคนเดียวของสกุลจูตั้งแต่เยาว์วัยเพื่อการนี้โดยเฉพาะ โดยมีหอหงฮวาเป็นผู้หนุนหลัง
การวิวาห์ครั้งนี้ก็หาใช่งานพิธีการเล็ก ๆ จูฟางหรงกำลังเข้าสู่ประตูวิวาห์กับโหย่วอี้อ๋องอีกครั้ง แน่นอนว่าหากนางเลือกลงจากเกี้ยวตามแผนการ ไม่นานจูฟางหรงก็ต้องพบจุดจบเดิม
นั่นคือความตายและความทรมาน!
หอหงฮวาเป่าหูและหลอกใช้นางมาโดยตลอดทั้งที่หอบัดซบนี่คือเบื้องหลังการตายทั้งหมดของครอบครัวนาง จูฟางหรงก็เป็นเพียงหมากตัวหนึ่งในกระดานเท่านั้น เมื่อใดที่นางล้ม หอเส็งเคร็งนั่นก็พร้อมกำจัดนางทิ้งในทันที ไม่ว่าจูฟางหรงคิดเลือกเส้นทางใด ก็ล้วนมีจุดจบที่ไม่สวยหรูทั้งสิ้น
จูฟางหรงตริตรองเพื่อหาทางรอดให้ตนเองอยู่นาน เหงื่อก็ผุดซึมเต็มฝ่ามือ ยามนี้หลงโหย่วอี้ยังไม่รู้จักหรือระแคะระคายในตัวของนาง เช่นนั้นโอกาสบัดซบที่ไม่ต้องการ
จูฟางหรงขอเลือกคว่ำกระดานหมากดูสักครา
“วางเกี้ยว…ถึงลานพิธี เชิญเจ้าสาวลงจากเกี้ยว…”
สีหน้างดงามยามนี้เต็มไปด้วยความกลัดกลุ้มกระวนกระวายใจ มือทั้งสองบีบบี้เพื่อปลอบประโลมตนเอง
หรงหรง คิดสิ หนี หรือเดินหน้าต่อ
“คุณหนู ถึงเวลาแล้วเจ้าค่ะ”
เสียงแม่สื่อดังขึ้น จูฟางหรงหลุดจากภวังค์ ผ้าแพรสีชาดที่วางทิ้งไว้ถูกคลุมลงบนศีรษะอีกครั้ง
จูฟางหรงกำหนดลมหายใจเข้าออกเพื่อเรียกสติ ร่างระหงยืดกายขึ้นแช่มช้า ขาเสลาก้าวออกมาจากเกี้ยวด้วยท่วงท่างามสง่า
ในโลกนี้ขอแค่มีชีวิตรอดถึงไม่ยุติธรรมก็ต้องกล้ำกลืนฝืนทนมิใช่หรือ เช่นนั้นข้าจะขอกำหนดชะตาชีวิตใหม่ด้วยตัวข้าเอง
เชิงอรรถ
^
เสนาบดีกรมกลาโหม หรือปิงปู้ (兵部) เสนาบดีกรมนี้ทำหน้าที่ด้านธุรการทางทหารมากกว่าถือกำลัง
