ตอนที่ 4 ขึ้นเขาไปด้วยกัน
“พร้อมแล้วใช่ไหม”
“ฉีเอ๋อร์พร้อมแล้วขอรับ!” เด็กน้อยกระโดดยืนขึ้นเต็มความสูง ด้านหลังแบกตะกร้าใบเล็ก สองมือกำสายสะพายแน่น
จวี้หยางยิ้มให้กับความน่ารักเล็ก ๆ หันสายตาไปหาคนข้างกาย
“พวกข้าพร้อมแล้ว”
โจวหลิงพยักหน้ากระชับธนูบนบ่าหันหลังเดินออกจากบ้านไป
ครอบครัวทั้งสามเดินไม่เร็วไม่ช้าไปตามทางเดิน มุ่งหน้าสู่ภูเขาลูกใหญ่ท้ายหมู่บ้าน ภาพครอบครัวสามคนเดินด้วยกันมีเด็กน้อยยืนอยู่ตรงกลางระหว่างผู้ใหญ่ทั้งสองสร้างความประหลาดใจให้คนมองเป็นอย่างมาก
พวกเขาสงสัยเหลือเกินว่าอะไรดลใจให้จวี้หยางออกมาเดินเล่นกับครอบครัว อีกทั้งสองสามวันมานี้ยังไม่ได้ยินเสียงด่าทอ บุตรชายตัวน้อยอีกด้วย
“ท่านแม่ในป่ามีของอร่อยหรือไม่ขอรับ” ด้วยสองสามวันมานี้มารดาทำดีกับตนมาก ๆ ไม่ทำหน้ายักษ์ใส่ เด็กน้อยจึงร่าเริงมากขึ้นทั้งยังกล้าเอ่ยถาม
“แม่เองก็ไม่รู้คงต้องถามท่านพ่อฉีเอ๋อร์แล้ว” พูดพร้อมหันมองคนข้างกายที่เอาแต่มองไปข้างหน้า
“ท่านพ่อในป่ามีของอร่อยหรือไม่ขอรับ” เด็กน้อยผู้ไม่รู้เรื่องราวหันไปถามบิดา
“มีของอร่อย”
“อู้วว! ท่านแม่ท่านพ่อบอกว่าในป่ามีของอร่อยด้วยละขอรับ ท่านแม่ทำให้ฉีเอ๋อร์กินได้ไหมขอรับ”
“ได้สิแม่จะทำให้ฉีเอ๋อร์กินเยอะ ๆ เลย แต่ต้องหาให้ได้ก่อนนะลูก”
“ท่านแม่ใจดีที่สุดดดด!!” ไม่ว่าเปล่าโจวฉียังหันหน้ามากอดขามารดาเงยหน้ายิ้มกว้างส่งมาให้
จวี้หยางโดนความน่ารักนี้ตกเข้าอย่างจัง ยกมือขึ้นลูบหัว เผยยิ้มอ่อนโยน
“ตั้งใจเดินได้แล้ว เดี๋ยวจะสายเอานะ”
“ขอรับท่านแม่!”
ท่าทางสนิทสนมและการแสดงออกของจวี้หยางสองสามวันมานี้ตกอยู่ในสายตาโจวหลิงตลอด ชายหนุ่มอยากจะรู้นักว่าเกิดอะไรขึ้นกับภรรยา เหตุใดนางถึงได้หันมาใส่ใจบุตรชายที่เคยทิ้งขว้างไปนานหลายปี
รวมถึงอยากจะรู้ว่านางจะทำดีกับบุตรไปได้อีกนานแค่ไหน
หากภรรยาคิดเปลี่ยนแปลงตนเองเป็นมารดาที่ดีเขาก็จะปล่อยไป เพราะถือเป็นเรื่องดี แต่หากนางมีแผนการในใจเขาคงต้องจัดการสักครั้ง
เขาไม่อยากเห็นบุตรชายเจ็บปวดจากการกระทำของจวี้หยางอีกแล้ว
...
“ขึ้นเขาอันตรายอยู่ใกล้ ๆ ข้าไว้”
“ได้ ข้าจะไม่ไปไหนไกล” พูดกับคนข้างกายแล้วก็หันมาหาลูกน้อย “ฉีเอ๋อร์ได้ยินแล้วใช่ไหมลูก”
“ขอรับฉีเอ๋อร์จะเป็นเด็กดีเชื่อฟังท่านพ่อท่านแม่” เด็กน้อยพยักหน้ายิ้ม ๆ หันมองบิดาทีมารดาที
หลังพูดข้อควรระวังเวลาอยู่ในป่าให้ทั้งสองคนฟังหมดแล้ว โจวหลิงจึงหันหลังเดินนำขึ้นเขาท่ามกลางสายตาคาดหวังเป็นประกายของสองแม่ลูก
โชคดีที่ทางขึ้นเขาไม่ได้ลาดชันมากนัก ร่างกายที่ไม่ได้ออกแรงมากเท่าใดของจวี้หยางและโจวฉียังพอทนการเดินทางครั้งนี้ไหว
ถึงจะเหนื่อยหอบไปมากแต่ก็ไม่ถึงขั้นเหนื่อยจนเป็นลม
“นั่งพักกันก่อน อีกไม่นานจะถึงบริเวณที่ชาวบ้านส่วนใหญ่หยุดหาของป่าแล้ว”
จวี้หยางพยักหน้าเข้าใจ ทิ้งตัวนั่งบนโขดหินข้างเส้นทางขึ้นเขาทันที
“ฉีเอ๋อร์มานี่ลูกมานั่งข้างแม่”
“ขอรับท่านแม่” เด็กน้อยเดินมาหย่อนตัวนั่งข้างมารดา จวี้หยางเอื้อมมือออกไปเด็ดใบไม้มาพัดวีให้ลูกน้อย
“เหนื่อยมากหรือไม่? กินน้ำก่อนนะลูก”
“ไม่เท่าใดขอรับ ฉีเอ๋อร์ยังไหว”
“ท่านไม่นั่งพักหน่อยหรือ?” จวี้หยางเอ่ยถามอีกฝ่ายหลังสังเกตได้ว่าเขาเอาแต่มองมานิ่ง ๆ ไม่พูดอะไร
“ไม่ล่ะ ข้าจะลองเดินไปดูแถวนี้สักหน่อยไม่ไกลนัก เจ้าพักเหนื่อยแล้วก็พาลูกเดินหาของป่าบริเวณนี้แล้วกัน อย่าลืมว่า”
“ห้ามเข้าป่าลึก ห้ามไปไกล ให้อยู่ในระยะที่มองเห็น ท่านพูดคำนี้มาหลายครั้งจนข้าจำได้หมดแล้ว”
คนถูกขัดคำพูดเงียบปากฉับ “เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน”
“ได้ ข้าจะพักอีกสักหน่อยค่อยเดินสำรวจรอบ ๆ ”
โจวหลิงหันหลังเดินห่างออกไปแล้ว ชายหนุ่มไม่ได้อยู่ห่างออกไปไกลมากนัก ยังพอมองเห็นการเคลื่อนไหวและแผ่นหลังอยู่บ้าง
สองแม่ลูกนั่งพักกันอีกสักพักก็ลุกขึ้นยืน
“ฉีเอ๋อร์หายเหนื่อยหรือยังลูก หากหายเหนื่อยแล้วพวกเราไปสำรวจแถว ๆ นี้กัน”
“ฉีเอ๋อร์หายเหนื่อยแล้วขอรับ พร้อมสำหรับการสำรวจ!”
โจวฉีตื่นเต้นกับการขึ้นเขาครั้งนี้มาก เด็กน้อยดูมีชีวิตชีวามากกว่าครั้งแรกที่เจอกัน นัยน์ตาที่เคยแต้มแววอับแสงถูกความสดใสเปล่งประกายกลบจนมิด ไม่เหลือร่องรอยเหมือนครั้งแรกเจออีกแล้ว อีกทั้งท่าทีหวาดกลัวเหล่านั้นก็หายไปจนหมดสิ้น
จวี้หยางหยัดตัวลุกขึ้น จูงมือบุตรชายตัวน้อยเดินไปห่างโจวหลิงออกมาไม่ไกลนัก ทั้งสองคนเดินไปเรื่อย ๆ สายตาก็คอยสอดส่องหาสิ่งที่พอจะกินได้
ก่อนนัยน์ตาสีอ่อนจะมองเห็นผลไม้ป่าแสนคุ้นเคย มุมปากหยักขึ้นเป็นรอยยิ้ม เอ่ยกับบุตรชายว่า“ฉีเอ๋อร์แม่ว่าเราเจอของดีเข้าให้แล้ว”
