ตอนที่ 3 สามีผู้เงียบขรึม
จวี้หยางสัมผัสสายตาที่จ้องมองมาไม่ได้ เพราะตอนนี้ความสนใจทั้งหมดของนางตกอยู่บนตัวเด็กน้อย
หลังทำอาหารให้กินและพูดดีด้วยไม่กี่ประโยค ท่าทีหวาดกลัวของบุตรชายก็ถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้มมีความสุขเสียแล้ว
“ฉีเอ๋อร์พูดจริงนะขอรับ อาหารที่ท่านแม่ทำอร่อยมาก หากท่านพ่อได้กินจะต้องชอบแน่นอน!” ว่าพลางช่วยมารดาล้างถ้วยชาม
“ท่านพ่อจะกลับมาเมื่อใดหรือ?”
“อืม...ไม่แน่ใจขอรับ บางวันท่านพ่อก็ไม่กลับทิ้งให้ฉีเอ๋อร์อยู่กับท่านแม่”
ยามเอ่ยประโยคนี้สีหน้าเบิกบานพลันเศร้าสร้อยลงเล็กน้อย
การที่จวี้หยางเอ่ยถามเช่นนี้ เพราะในความทรงจำของเจ้าของร่างไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับช่วงเวลาที่โจวหลิงกลับบ้าน เธอรู้เพียงแค่ว่าเขามักจะกลับบ้านไม่ตรงเวลา หรือไม่ก็สองวันกลับบ้านหนึ่งครั้ง
งานของโจวหลิงอยู่ในเมืองส่วนทำงานอะไรนั้นตัวจวี้หยางก็ไม่รู้ สิ่งที่นางให้ความสนใจมีเพียงเงินที่เขาหามาได้เท่านั้น
“เช่นนั้นหากวันนี้ท่านพ่อไม่กลับมาเราเข้านอนเร็วหน่อยดีหรือไม่? เด็ก ๆ ต้องนอนให้เพียงพอถึงจะโตนะ”
คำพูดพึ่งจบไป ร่างกายพลันถูกเงาสูงใหญ่ทาบทามลงมา
จวี้หยางตกใจหันไปมอง สายตาจึงสบเข้ากับนัยน์ตาตรวจสอบของอีกฝ่าย หลังหายตกใจและควานหาใบหน้านี้ในความทรงจำ จวี้หยางจึงรู้ว่าอีกฝ่ายคือ สามีของเจ้าของร่าง
“กลับมาแล้วหรือ?” ความเงียบถูกแทนที่ด้วยเสียงเอ่ยถาม
คนตรงหน้าหลุบตามองไม่พูดอะไรอยู่นานสองนาน หันสายตามองบุตรชายตัวน้อย
“ฉีเอ๋อร์พ่อมาแล้ว” คนถูกเรียกเงยหน้าขึ้นมอง
“ท่านพ่อ! ฉีเอ่อร์คิดถึงท่านพ่อมาก ๆ เลยขอรับ” โจวฉีกระโดดลุกขึ้นหันไปกอดขาบิดาแน่น ใบหน้าเล็กถูไถไปมากับหน้าขา ก่อนเงยหน้าขึ้นเอ่ยเสียงเจื้อยแจ้ว
“ท่านพ่อวันนี้ท่านแม่ทำกับข้าวให้ฉีเอ่อร์ด้วยขอรับ ท่านแม่ทำกับข้าวอร่อยมาก”
ความสงสัยทบทวี หัวคิ้วขมวดเข้าหากันจ้องมองสตรีตรงหน้า
คนถูกจ้องมองกลืนน้ำลายลงคอ
เพราะอย่างนี้ไงถึงได้ผิดใจกันตลอด
โจวหลิงไม่ใช่คนเลวร้ายก็จริงแต่ด้วยนิสัยไม่ค่อยพูดค่อยจาของเขา ทำให้พวกเขามักทะเลาะกันด้วยเรื่องไร้สาระอยู่หลายครั้ง และคนที่หยิบยกหัวข้อขึ้นมาทะเลาะ รวมถึงโมโหอยู่คนเดียวเสียทุกครั้งก็มักจะเป็นจวี้หยาง
หญิงสาวผู้ถูกสายตามองนิ่งเผยยิ้มสู้ ไม่สนใจท่าทีเมินเฉยก่อนหน้าของเขาเอ่ยขึ้นว่า
“ท่านกลับบ้านมาหิวข้าวหรือไม่? ในห้องครัวยังมีกับข้าวที่ข้าทำทิ้งไว้เหลืออยู่”
“...”
จวี้หยางยิ้มแห้งขึ้นมาแล้ว
ถึงจะรู้ว่าไม่ค่อยพูดจากความทรงจำแล้วก็เถอะ แต่พอได้มาสัมผัสด้วยตัวเองอย่างนี้ ก็ทำให้นางทำตัวไม่ถูกเหมือนกัน
“เอาล่ะข้าจะถามท่านอีกครั้ง จะกินข้าวที่ข้าทำหรือไม่ ?” จวี้หยางยืนขึ้นให้ระดับสายตาใกล้เคียงกัน
โจวหลิงมองนิ่ง
จวี้หยางรู้สึกเหมือนกำลังยืนอยู่กลางหน้าผา หากกระโดดลงไปก็มีแต่ต้องตายแต่หากหันหลังกลับก็จะเผชิญกับสายตาดุร้ายของสัตว์ป่า
จวบจนกระทั่งเสียงหนึ่งดังขึ้น ความรู้สึกกดดันพาให้หายใจลำบากถึงได้สลายหายไป
“ข้าจะกิน”
“ท่านคิดถูกแล้ว!” หญิงสาวเอ่ยยิ้ม ๆ พยายามทำตัวให้เป็นธรรมชาติมากที่สุด หันหลังเข้าไปในครัวตักข้าวใส่ชามให้เขา
“ข้าวของท่าน”
โจวหลิงมองอาหารสีสันน่ากินตรงหน้าสลับกับมองหน้าภรรยา ในใจเกิดคำถามมากมายต้องการคำอธิบาย แต่ด้วยนิสัยของตนจึงเลือกที่จะเงียบ
“ขอบคุณ”
คนฟังเบิกตาเล็กน้อย มุมปากหยักขึ้นเป็นรอยยิ้ม
นิสัยดีอยู่นี่นา คิดพลางมองตามแผ่นหลังเขาซึ่งเดินห่างออกไป
...
“จะทำอะไรดีนะ...” จวี้หยางเท้าคางพลางคิดถึงสิ่งที่อยากจะทำต่อจากนี้
ก่อนอื่นเลยบ้านหลังนี้ แม้จะพูดได้ไม่เต็มปากว่าทรุดโทรมแต่ก็ไม่ได้น่าอยู่มากขนาดนั้น
ประตูบ้านหลวม ๆ ที่หากเกิดพายุคงหลุดออก กับกระเบื้องหลังคาที่ถึงจะดูดีแต่ก็มีรอยแตกและช่องว่างให้เห็นประปราย
อยากหาเงินเข้าบ้านมาก ๆ จะได้มีเงินสร้างบ้าน
ไหน ๆ ได้เกิดใหม่ทั้งทีแถมยังไม่มีหนี้ให้ต้องรับผิดชอบ จวี้หยางจึงเกิดความคิดอยากมีอะไรเป็นของตัวเอง
ทว่าก่อนจะไปถึงขั้นนั้นต้องพัฒนาที่อยู่อาศัยและมองหาว่าอะไรพอจะทำเงินได้บ้าง
ส่วนเงินที่โจวหลิงหามาได้เพียงพอแค่ให้คนในบ้านใช้เท่านั้น และหากต้องการเก็บเงินสร้างบ้านก็ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาอีกกี่ปีถึงจะมีเงินมากพอมาสร้างบ้าน
ไม่ได้การละต้องรีบหาช่องทางหาเงินให้ได้!
จวี้หยางคิดเป็นมั่นเป็นเหมาะแล้วโผลงถามโจวหลิงออกไป
“โจวหลิงพรุ่งนี้ไม่ทราบว่าท่านจะหยุดงานสักวันได้ไหม?”
คนฟังเงยหน้าขึ้นมาจากชามข้าว
“ข้าอยากขึ้นเขาเสียหน่อย ท่านไปกับข้าได้หรือไม่?”
ตักข้าวเข้าปากไม่พูด
“...” จวี้หยาง
ผ่านไปประมาณหนึ่งเฟินคนที่เอาแต่กินข้าวเงียบ ๆ จึงเอ่ยขึ้น
“พรุ่งนี้ไม่ได้ ข้าต้องไปแจ้งทางเถ้าแก่ให้ทราบก่อน วันมะรืนได้หรือไม่?”
จวี้หยางยิ้มแย้มขึ้นมาทันที
“ได้ข้าจะรอท่านนะ!” หญิงสาวยิ้มกว้าง หันไปสนใจเด็กชายตัวน้อย
“ฉีเอ๋อร์ลูกเคยขึ้นเขาไหม”
“ไม่ขอรับ ฉีเอ๋อร์ไม่เคย” พูดพลางส่ายหน้า
“อีกสองวันแม่กับพ่อจะพาฉีเอ๋อร์ขึ้นเขาตื่นเต้นไหมลูก”
ดวงตาเด็กน้อยแต่งแต้มประกายระยิบระยับ “ตื่นเต้นขอรับ ท่านแม่จะพาฉีเอ๋อร์ขึ้นเขาหรือขอรับ”
“ใช่ แต่ต้องรอท่านพ่อแจ้งเจ้านายก่อน ต้องรออีกสองวันถึงจะได้ขึ้นไปบนเขาด้วยกัน”
“ฉีเอ๋อร์จะรอ รอขึ้นเขากับท่านพ่อและท่านแม่”
จวี้หยางยิ้มอ่อนโยน ยกมือลูบหัวเด็กน้อยด้วยสีหน้าอบอุ่น
เป็นเด็กน่ารักแสนเชื่อฟังจริง ๆ
พอมองโจวฉีอย่างนี้แล้วจวี้หยางจึงเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา เด็กน้อยคนนี้ไม่เคยขึ้นเขามาก่อน แถมร่างกายยังอ่อนแออยู่มาก หากต้องเดินทางไกลทันทีร่างกายอาจจะรับไม่ไหว
เห็นทีก่อนจะถึงวันขึ้นเขา ตนคงต้องทำอาหารซึ่งเต็มไปด้วยประโยชน์และสารอาหารอย่างครบครันให้กิน รวมถึงพาออกกำลังกายเล็ก ๆ น้อย ๆ ร่างกายเด็กน้อยจะได้แข็งแรงขึ้นโดยเร็ว
จวี้หยางคิดพลางเผยสีหน้ามั่นใจ ไม่ได้รับรู้เลยว่ามีสายตาคู่หนึ่งมองมาอย่างสำรวจ
สตรีตรงหน้าเขาใช่จวี้หยางจริงหรือ?
