ตอนที่ 4
“พี่ต้องไปแล้ว”
หญิงสาวบอก คลายวงแขนที่โอบรอบไหล่กว้างของน้องชาย
“ผมจะไปส่งพี่บนเรือ” พชรดนัยพูด
“ไม่ต้อง ส่งแค่นี้แหละ แล้วพี่ขอนะ ไม่ต้องมาคอยยืนแหงนหน้ามองจนกว่าเรือจะพ้นท่า บอกตามตรง เห็นภาพแบบนั้นแล้วอดใจหายไม่ได้ เดี๋ยวเพชรกลับเลยละกัน จะต้องย้ายไปอยู่หอในมหา’ลัยไม่ใช่หรือกลับไปเก็บข้าวของเถอะ”
“ก็ได้ครับ”
“ยังงั้นสิน้องรัก แล้วพี่จะติดต่อมาทุกระยะละกัน แต่เชื่อเถอะ เราน่ะพอเข้าห้องเรียนก็คงลืมไปเลยว่าพี่ไปถึงไหน เป็นยังไงบ้าง”
“ไม่ลืมสิน่า พี่สาวผมทั้งคนนะ”
สีหน้าขึงขังอย่างไม่ยอมรับธรรมชาตินิสัยของตัวเอง ทำให้คนเป็นพี่นึกขันจนอดที่แหย่ต่ออีกนิดไม่ได้ “เอาเถอะจ้ะ เชื่อแล้วว่าไม่ลืม ภายในชั่วโมงนี้นะ”
แต่พชรดนัยกลับกลับพูดไปอีกเรื่อง
“พี่จุ๋มยังจำรหัสเมย์เดย์ระหว่างเราได้ใช่ไหม”
ความจริง ‘เมย์เดย์’ ไม่ใช่รหัส แต่เป็นสัญญาณขอความช่วยเหลือ จะถูกส่งออกมาเพื่อขอความช่วยเหลือในกรณีที่เรือ หรือเครื่องบินประสบอุบัติภัยรุนแรง ศัพท์เดิมเป็นภาษาฝรั่งเศส คือ เหมดเดซ์ ย่อมาจาก เอดเดซ์-มัว แปลว่าช่วยฉันช่วย เรือฝรั่งเศสส่งสัญญาณนี้เป็นครั้งแรกเพื่อขอความช่วยเหลือ ก็เลยรับไว้ใช้เป็นภาษาสากล แต่เนื่องจากคนอังกฤษและอเมริกันมีมากกว่า จึงเลือนมาเป็นเมย์เดย์ซึ่งออกเสียงง่ายกว่า
“จำได้สิ” จอมสุรางค์ตอบรับ
รหัสเมย์เดย์ที่น้องชายหล่อนพูดถึง เป็นรหัสลับเฉพาะระหว่างพี่น้องใช้เล่นกันประสาเด็ก สมมุติเรื่องราวตามจินตนาการว่า ถ้ามีโจรสลัดจับตัวพี่สาว หรือน้องชายไป แล้วมีการเรียกค่าไถ่ จะต้องให้ฝ่ายโจรแสดงหลักฐานยืนยันว่าคนที่ถูกจับยังปลอดภัย และไม่ผิดตัว ด้วยการบอกรหัสลับพี่น้องเท่านั้นรู้กันว่าหมายถึงอีกฝ่าย
ที่เล่นสมมุติเรื่องถูกโจรสลัดจับตัวนี้ เมื่อค่อยเจริญวัยขึ้นก็ไม่ได้เล่นกันอีก แต่เมื่อถูกส่งตัวมาไกลบ้าน ห่างไกลพ่อแม่ พี่น้องก็ตกลงกันว่าจะนำรหัสเมย์เดย์ที่เคยเล่นกันเมื่อครั้งยังเยาว์มาใช้เพื่อความไม่ประมาท ถือเป็นการป้องกันไว้ก่อน หากมีคนส่งข่าวมาบอกให้พี่หรือน้อง ซึ่งไม่ได้อยู่ด้วยกันตอนนั้นกำลังตกอยู่ในอันตรายให้รีบออกไปช่วยเหลือ คนที่ได้รับแจ้งจะต้องแน่ใจว่าไม่ถูกหลอก หรือเป็นกลลวงของคนร้ายล่อออกไปติดกับ ซึ่งก็ยังไม่เคยเกิดเหตุการณ์ให้ต้องใช้รหัสเมย์เดย์นี้ เมื่อน้องชายพูดขึ้นมาทำให้จอมสุรางค์ยิ่งขัน เห็นว่าน้องชายออกจะอาการหนักเรื่องความเป็นห่วงสวัสดิภาพของหล่อน
“จำได้ก็ดีแล้ว ป้องกันไว้ก่อน แต่ก็หวังว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นให้ผมต้องรีบแจ้นไปช่วยพี่หรอกนะ”
“ไม่มีอะไรหรอกน่า โธ่...เลิกกังวลซะที บอกแล้วไงว่าพี่ดูแลตัวเองได้”
พี่น้องยิ้มแก่กัน ก่อนฝ่ายน้องจะเป็นคนดึงตัวพี่สาวเข้ามาสวมกอดแนบร่างสูงของเขาอยู่อึดใจ ทั้งคู่ไม่รู้ตัวกันเลยว่า ภาพแสดงความใกล้ชิดสนิทสนมต่อกันฉันพี่น้องนี้ ได้ตกเป็นเป้านิ่งให้กับสายตาเข้มคมคู่หนึ่ง
อันที่จริง ภาพชายหนุ่มวัยต้นยี่สิบร่างสูงเพรียว กับหญิงสาวร่างโปร่งอรชร ได้ถูกจับตามองนับแต่สองพี่น้องก้าวลงจากรถแท็กซี่แล้วด้วยซ้ำ
“รักษาเนื้อรักษาตัวด้วยนะพี่ แล้วอย่าลืมส่งข่าวมาทุกระยะตามที่บอก”
คนเป็นน้องพูดประโยคสุดท้าย หลังคลายแขนจากร่างพี่สาว จากนั้นก็หันหลังเดินดุ่มจากไปทันทีโดยไม่อยู่รอให้พี่สาวขึ้นเรือไปก่อน
พี่น้องซึ่งแทบจะไม่เคยจากกัน เพราะเมื่อถูกส่งตัวมาเรียนที่อเมริกา ก็มาด้วยกัน เมื่อต้องแยกกัน และคงอีกนานกว่าจะได้เจอกันอีก เพราะน้องชายยังต้องเรียนต่ออีกหลายปี จึงเป็นธรรมดาว่าจะเกิดอาการใจหาย และรู้สึกเศร้าสร้อย โดยเฉพาะฝ่ายที่ยังต้องอยู่ห่างไกลครอบครัว
สี่ปีมาแล้วที่พี่น้องพากันเดินทางมาเรียนต่อยังประเทศที่คุณปู่คุณย่าใช้เป็นเรือนตาย บิดาและอาๆ ก็เรียกว่าโตขึ้นบนแผ่นดินแห่งความเสรีนี้ ถึงว่าเมื่อมาถึงใหม่ๆ จะมีอาแท้ๆ ถึงสองคนให้ความดูแลในฐานะผู้ปกครองในต่างแดน แต่อาทั้งสองก็มีงานยุ่งของตัวเอง การให้ความดูแลจึงเป็นไปในลักษณะดูแลห่างๆ มากกว่าจะมาอยู่ใกล้ชิดให้เห็นหน้ากันทุกวัน จึงเท่ากับว่าพี่น้องอยู่กันเองตามลำพังมากกว่า ความรักความผูกพันที่มีต่อกันระหว่างสองพี่น้องจึงมีมากกว่าพี่น้องคู่อื่นๆ ทั่วไป
เมื่อต้องเดินทางจากเมืองไทย อันเป็นบ้านเกิด พชรดนัยอายุเพียงสิบหก ขณะพี่สาวก็เพิ่งผ่านวัยสิบแปดมาไม่นาน แต่ทั้งสองก็ถูกบิดาจับตัวส่งมาไกล ด้วยเหตุผลต้องการให้ลูกๆ เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่เข้มแข็ง หลังจากเล็งเห็นว่า ถ้ายังขืนอยู่เมืองไทย ด้วยความรักที่พ่อแม่ และตายายมีให้ อาจทำให้ลูกชาย-หญิง ไม่รู้จักโต เพราะถูกเลี้ยงอย่างทะนุถนอมมากไป
แน่นอนว่า การตัดสินใจครั้งนั้นของดอกเตอร์ ทรงพิชิต ทำให้เขาถูกภรรยา รวมไปถึงพ่อตาแม่ยาย พากัน ‘บอยคอต’ เฉพาะภรรยานั้นไม่พูดกับเขาถึงสามวันเต็มๆ
ถึงวันนี้ ผลที่รับก็ดูจะคุ้มค่า เพราะบุตรสาว บุตรชาย ต่างเติบใหญ่อย่างคนมีวุฒิภาวะ ไม่ใช่คอยแต่จะเกาะพ่อแม่ญาติผู้ใหญ่ให้ช่วยตัดสินใจนั่นโน่นนี่แทนร่ำไป
ระยะเวลาสี่ปีเต็มๆ ในต่างแดน บิดามารดา ตาและยายจะพากันบินมาเยี่ยมเพียงปีละครั้ง ช่วงคริสต์มาสถึงปีใหม่ ไม่มากกว่านั้น และตลอดสี่ปี สองพี่น้องไม่ได้กลับเมืองไทยเลย ได้หล่อหลอมเด็กสาววัยสิบแปดที่ไม่เคยห่างกายพ่อแม่ ไม่เคยลงมือทำอะไรเอง ให้กลายเป็นบัณฑิตสาวผู้เข้มแข็ง สามารถยืนหยัดได้ด้วยลำแข้งตัวเอง ขณะน้องชายวัยสิบหกเมื่อสี่ปีก่อน ซึ่งปกติก็มีอุปนิสัยใจคอเป็นคนช่างคิด มีความสุขุมคัมภีร์ภาพกว่าอายุอยู่แล้ว ก็ได้กลายเป็นชายหนุ่มเต็มเนื้อเต็มตัว ดูแลทั้งตัวเองและพี่สาวได้เป็นอย่างดี
