หนึ่ง ขบวนพ่อค้าเถื่อน
“ตื่นได้แล้วไอ้พวกเด็กเหลือขอ ถึงเวลากินข้าว กินน้ำแล้ว”
แสงลอดเข้ามาในห้องโดยสารเล็กน้อยแสดงว่ายังเป็นเวลากลางคืนอยู่ เสียงโยนห่อข้าวจำนวนเท่ากับเด็กในห้องโดยสารดังขึ้นต่อเนื่องปลุกเด็กน้อยทั้งหลายให้ตื่นจากนิทรามารับรู้ความจริงอันโหดร้าย
ห่อข้าวบางอันตกพื้นแตกกระจายจนเม็ดข้าวและผักข้างในหกออกมาพวกมันก็ไม่สนใจเลยสักนิดซ้ำยังโยนแรงเหมือนเดิม บางคนถึงกับหัวเราะออกมาราวกับเป็นเรื่องขำขันที่เห็นเด็ก ๆ กรูกันเข้ามาแย่งห่อข้าวที่ยังไม่แตก
ใครแรงน้อยสู้ไม่ได้ก็ต้องยอมแพ้นั่งโกยข้าวห่อที่ตกแตกเอาไปกินอย่างเลือกไม่ได้
“กินเร็ว ๆ นะเว้ย อีกไม่ถึงสามชั่วยามจะถึงประตูเมืองอีกฝั่งหนึ่งแล้ว หลังจากนี้พวกเจ้าจะต้องถูกขายต่อไปอีกเจ้าหนึ่ง ข้าไม่รู้ว่าต่อจากนั้นพวกเจ้าจะได้กินอีกมื้อยามใดอีก ข้าไม่เกี่ยวแล้วนะเว้ย...ฮ่า ๆ”
เจียวเชินนอนฟังอย่างเก็บรายละเอียด สมองก็ประมวลหาทางเอาตัวรอดและหาทางช่วยเหลือเด็กพวกนี้ก่อนที่จะโดนขายไปที่ไหนต่อก็มิอาจทราบได้
“ลูกพี่ แล้วพวกเราจะเอาอย่างไรกับศพสตรีผู้นี้ดีเล่า มันตายไปตั้งแต่ข้าอุ้มขึ้นมาทิ้งไว้บนรถแล้ว ตอนนั้นรีบร้อนคิดไม่ออกจึงเอามันมาด้วยก่อน”
“เจ้าแน่ใจนะว่านางตายแล้ว”
“แน่ใจขอรับ นางไม่หายใจแล้วมิเช่นนั้นข้าคงมัดมือมัดเท้านางไปแล้วไม่ปล่อยให้นอนอยู่ตรงนั้นหรอก”
คนเป็นลูกพี่กวาดสายตามองเด็กที่ขโมยมาด้วยสายตาเหมือนกำลังตรวจสอบอะไรบางอย่าง “พวกเจ้ามีใครเห็นแม่นี่ขยับตัวหรือไม่”
“...”
ดวงตากว่าสิบคู่เงยมามองคนถามอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ
“ไม่ขอรับ”
“พี่สาวให้บะ...อุ๊บ”
“เจ้าปิดปากเด็กนั่นทำไมฮะ ! ไอ้เด็กเหลือขอ” อาเว่ยเม้มปากแน่นส่ายหน้า ค่อย ๆ ลดมือเล็กลงเมื่อเห็นมือของผู้ใหญ่ใจร้ายยกขึ้นกลางอากาศทำท่าเหมือนจะตบเขาหากเขาไม่ยอมเอามือที่ปิดปากออก
“ข้าจะบอกว่าพี่สาวคนสวยเป็นผีไปแล้ว ฮึก ข้ากลัว”
“เออ ก็แล้วไป” คนเป็นลูกพี่ชักสีหน้าขู่เด็กอย่างอารมณ์เสียก่อนหันกลับไปพูดกับลูกน้องต่อ “เก็บศพมันไว้ในนี้ก่อน เอาไว้ออกจากเมืองหลี่ซงไปถึงกลางป่าก่อนค่อยโยนทิ้งให้สัตว์ป่ากิน”
“ขอรับ”
เมืองหลี่ซง ?
ช่วงเวลานี้คงพักรถม้าชั่วคราว พวกมันต้องพักกลางดึกตรงที่ไม่มีคนสังเกตง่าย ๆ แสดงว่าพวกนางยังอยู่ในเมืองหลี่ซง
เมืองหลี่ซงมีขนาดใหญ่กินพื้นที่ดินแดนทักษิณมากที่สุดจึงต้องใช้เวลาเดินทางผ่านนานหน่อย
โชคดีเหลือเกินที่ยังไม่ออกจากเมืองไป มิเช่นนั้นหนทางรอดย่อมยากยิ่ง
เจียวเชินรอให้พวกมันปิดประตูห้องโดยสารและจากไปก่อนลุกขึ้นมานั่งแอบสำรวจมองสิ่งแวดล้อมข้างนอกผ่านรูตรงช่องหน้าต่างรถม้า
ตอนรถม้าเริ่มออกเคลื่อนที่เจียวเชินเห็นเป็นชายป่า พอรถม้าเคลื่อนที่ได้สักพักนางเห็นเป็นบ้านคนที่ปิดประตูสนิทเพราะเวลานี้เป็นยามวิกาล
เจียวเชินแอบมองจนอยู่นานจนกระทั่งได้ยินเสียงกีบม้าวิ่งอยู่ไกล ๆ ดวงตาหงส์จึงเปล่งประกายราวกับพบเจอแสงสว่างก่อนหันกลับมามองเด็กน้อยทุกคนในรถม้าคุมขัง
“เด็กดีทั้งหลาย พวกเจ้าอยากกลับบ้านหรือไม่”
“...”
“ยะ…อยากเจ้าค่ะพี่สาว แต่ว่า...”
“ไม่มีแต่ พี่สาวมีการละเล่นที่ผู้ชนะจะได้กลับบ้าน กติกาคือใครสามารถเกาะรถม้าได้แน่นที่สุดชนะ เอาละทุกคนเริ่มหาที่ยึดเกาะได้”
“เจ้าค่ะ/ขอรับพี่สาว”
“...” เจียวเชินหันกลับมาส่องรูมองข้างนอกอีกครั้งเมื่อเห็นเด็ก ๆ ทุกคนกระตือรือร้นให้ความร่วมมือกับนางเป็นอย่างดี
ชาติที่แล้วเจียวเชินเป็นเด็กกำพร้าแถมโตขึ้นมาแล้วยังประกอบอาชีพเป็นพี่เลี้ยงเด็กเพื่อหาเลี้ยงตัวเองและมูลนิธิที่ตนเองเติบโตมาด้วยตัวคนเดียว ดังนั้นการพูดคุยโน้มน้าวใจเด็กให้ทำตามนั้นจึงเป็นเรื่องถนัดของนางไม่น้อย
เมื่อแหล่งที่มาของเสียงฝีเท้าม้าดังใกล้เข้ามาจนหญิงสาวสามารถมองเห็นได้ว่าพวกเขาเป็นกลุ่มไหน ดูจากเครื่องแบบการแต่งกายแล้วนางมั่นใจว่าเป็นเหล่าทหารลาดตระเวนอย่างแน่นอน
โอกาสนี้แหละเป็นหนทางของพวกนาง
ปึก ปึก ปึง!
เจียวเชินบอกให้เด็กคนอื่นเกาะให้มั่นเพื่อที่นางจะได้ออกแรงดันห้องโดนสารแห่งนี้ให้เทน้ำหนักไปข้างใดข้างหนึ่ง เรื่องจากหญิงสาวรูปร่างเล็กและแรงน้อยจึงต้องทุ่มตัวหลายครั้งจนกระทั่งรถม้าเสียหลักพลิกคว่ำขณะกำลังเคลื่อนที่ผ่านกลุ่มทหารลาดตระเวน
ฮี่ ฮี๊!
เสียงม้าร้องสอดประสานกับเสียงรถทั้งคันพลิกคว่ำเรียกความสนใจของขบวนทหารขี่ม้าให้หันมาสนใจเป็นอย่างดี
อย่างน้อยสนใจในแง่ต้องการเข้ามาช่วยเหลือก็ยังดีกว่าปล่อยผ่านขบวนพ่อค้าจอมปลอมนี้ไปเฉย ๆ
“พวกเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ต้องการความช่วยเหลือใดหรือไม่”
เสียงของเหล่าทหารที่ลงจากม้ามาสอบถามขบวนพ่อค้าที่จู่ ๆ ก็เกิดอุบัติเหตุ
“อะ…เอ่อ ไม่เป็นไรขอรับ พวกข้าน้อยไม่กล้ารบกวนพวกท่านหรอก ทำการค้าต้องเดินทางไกลเรื่องพวกนี้พ่อค้าอย่างข้าน้อยพบเจอมามาก พวกท่านไม่ต้องเป็นห่วงขอรับ ข้าน้อยสามารถจัดการได้สบาย ๆ”
“เช่นนั้นก็ดี ใต้เท้าของข้าต้องรีบกลับเข้าเมือง พวกเจ้าช่วยจัดการเปิดทางให้หน่อยก็แล้วกัน”