ชีวิตตกต่ำ
เวลาผันผ่านจากชีวิตตกต่ำจนมาถึงชีวิตที่มีอิสระสามารถใช้ชีวิตเรียบง่ายอยู่สบายแม้ไร้ยศไร้ตำแหน่ง ทว่าร่างนี้มีความสุขดีมาสี่ปีแล้วจนกระทั่งเมื่อวาน...
เมื่อวานร่างนี้บังเอิญเห็นชายฉกรรจ์กำลังจับตัวเด็กน้อยคนหนึ่งขึ้นรถม้าที่ซอยเล็กแห่งหนึ่ง ร่างนี้จึงวิ่งตามไปโดยไม่ลืมฝากคนใช้ของตนให้วิ่งไปตามเจ้าหน้าที่ทางการมาช่วย ส่วนร่างนี้ตัดสินใจวิ่งตามพวกมันไป ด้วยเพราะบริเวณนั้นเป็นซอยเปลี่ยว นอกจากไม่สามารถช่วยเด็กน้อยคนนั้นได้แล้วยังถูกทำร้ายและจับตัวขึ้นรถไปด้วยอีกต่างหาก
เจียวเชินวิญญาณนี้ไม่รู้จะตำหนิร่างนี้อย่างไรเชียว
ตัวเองไร้ความสามารถแท้ ๆ ยังเสี่ยงเอาตัวเข้าหาอันตรายจนตายอย่างน่าสงสารเช่นนี้อีก
เฮ้อ ทว่าถึงร่างนี้จะคิดน้อยเกินไปจนน่าด่า แต่เจียวเชินก็รู้สึกชื่นชมในความคิดดีงามต้องการช่วยเหลือผู้อื่นอย่างแท้จริงของร่างนี้ยิ่งนัก
“พี่สาวไม่ใช่ผีสักหน่อย เด็กน้อยผู้น่ารักทั้งสองจ๊ะ พวกเจ้าต้องเงียบเสียงลงหน่อยน้า เดี๋ยวคนใจร้ายข้างนอกได้ยิน”
เจียวเชินได้รับรู้เรื่องราวทั้งหมดรวมถึงสามารถประเมินสถานการณ์ปัจจุบันของตนเองได้แล้วจึงตั้งสติหันมาสื่อสารกับเด็กในรถม้าอย่างใจเย็น
นิ้วเรียวจ่อที่ริมฝีปากในขณะมองตาเด็ก ๆ รอยยิ้มกว้างไปถึงดวงตาเป็นตัวปลอบประโลมจิตใจเด็กน้อยให้ยอมพยักหน้าทำตามคำบอกได้เป็นอย่างดี
“พี่สาวไม่ใช่ผีจริง ๆ หรือ”
“ใช่ พี่สาวเพิ่งตื่นจากการนอนหลับต่างหากเล่า เช็ดน้ำตาได้แล้วเด็ก ๆ”
“ข้าไม่ได้ร้อง อาเว่ยต่างหากเล่าที่ร้องไห้”
“ขะ…ข้าไม่ได้ร้อง เม็ดเหงื่อไหลออกมาจากตาต่างหาก”
เจียวเชินยิ้มขำและเผลอส่ายหน้าจึงรู้สึกเจ็บที่แผลบนหัวขึ้นมา หญิงสาวก้มลงไปฉีกชายชุดของตนเองขึ้นมากดบาดแผลเพื่อหยุดเลือดไม่ให้ไหลไปมากกว่านี้
เดี๋ยวได้ตายลงอีกรอบเพราะเลือดไหลหมดตัว
ในขณะที่เจียวเชินกำลังพยายามปฐมพยาบาลตัวเองเท่าที่ทำได้ ปรากฏว่าอยู่ดี ๆ รถม้าก็หยุดตัวลง เสียงคนเดินบนพื้นดังใกล้เข้ามาทำให้คนที่มีสติตื่นอยู่ทั้งสามหันมองหน้ากันโดยไม่ได้นัดหมาย
เจียวเชินอายุมากที่สุดรีบจับมือของเด็กน้อยทั้งสองให้หันมาตั้งใจฟังสิ่งที่นางกำลังพูดด้วยท่าทีเร่งรีบ
“เด็กดีทั้งสอง พวกเจ้าไม่อยากให้พี่สาวโดนคนใจร้ายข้างนอกตีหัวใช่หรือไม่”
“เจ้าค่ะ พวกเราไม่อยากให้พี่สาวกลายเป็นผี”
“ข้าก็ด้วย”
“เช่นนั้นตั้งใจฟังพี่ให้ดี พี่จะแกล้งตายกลายเป็นผี หากมีใครถามเรื่องของพี่สาวพวกเจ้าตอบว่าพี่ยังนอนไม่ตื่นนะ หรือให้ตอบไม่รู้ไปก่อน เข้าใจพี่สาวหรือไม่”
“ได้สิเจ้าคะ แต่ว่าทำไมต้องโกหก ท่านพ่อเคยบอกว่าการโกหกเป็นสิ่งไม่ดีนี่นา”
“ใช่ การโกหกเป็นสิ่งไม่ดี แต่หากไม่อยากให้พี่โดนตีหัวเจ็บ ๆ ต้องโกหกให้พี่ได้หรือไม่”
“ข้าไม่อยากให้พี่สาวเจ็บ ๆ ข้าจะโกหกพวกคนใจร้าย”
“อาเว่ยเล่า”
เจียวเชินหันมาสบตากลมโตของเจ้าก้อนแป้งพูดน้อยจนพูดไม่ทันเพื่อนตนเอง
“ข้าเข้าใจ พี่สาวจะแกล้งตายจะได้ไม่ต้องโดนทำร้าย ข้าเป็นบุรุษย่อมต้องช่วยเหลือสตรี”
เจียวเชินลูบหัวเด็กชายตัวน้อยทว่าฉลาดเกินตัว รู้จุดประสงค์ของนางได้อย่างง่ายดาย
“ดีมาก”
ขณะที่เจียวเชินล้มตัวลงไปนอนบนกองเลือดแห้งกรังของตนเองก็เป็นเวลาเดียวกับประตูห้องโดยสารเปิดออก
“ตื่นได้แล้วไอ้พวกเด็กเหลือขอ ถึงเวลากินข้าว กินน้ำแล้ว”
