ตอนที่ 2 ปัญหา 2
คืนเข้าหอผ่านไปโดยที่เธอเองก็ไม่รู้ว่าเจ้าบ่าวของตัวเองกลับมานอนที่เพนต์เฮาส์หรือเปล่า เช้ารุ่งขึ้นเธอก็แต่งตัวออกไปทำงานราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ความเครียดเมื่อวานหลังงานแต่งดูเหมือนจะยังเทียบไม่ได้กับความวุ่นวายในเช้าวันนี้ แค่เธอวางกระเป๋าลงที่โต๊ะทำงานเลขาก็วิ่งหน้าตื่นเข้ามารายงานทันที
"พี่เอยคะ ออร์เดอร์ที่เราส่งไปเมื่อวันก่อนถูกตีกลับหมดเลยค่ะ"
"เกิดอะไรขึ้น"
"ลูกค้าแจ้งว่าสินค้าผิดสเปกค่ะ"
"เราไม่ได้ตรวจสินค้าก่อนส่งหรือ"
"ทางสโตร์แจ้งว่าสุ่มตรวจแล้วค่ะ"
เธอได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ทิ้งเมื่อนึกถึงมูลค่าสินค้านำเข้าหลายล้านบาทในล็อตนี้
"โทรไปขอโทษลูกค้าหรือยัง"
"โทรแล้วค่ะ"
"งั้นเดี๋ยวบอกลูกค้าเราจะสั่งล็อตใหม่ให้ แล้วก็ให้ราคาพิเศษ"
"เอ่อ...คือ..."
"ทำไมหรือ"
"ลูกค้าแจ้งว่าจะไม่รับสินค้าจากเราแล้วค่ะ"
"เรียกประชุมทุกแผนก"
"งั้นวันนี้พอแค่นี้ก่อนแล้วกัน ทุกคนลองกลับไปทบทวนข้อผิดพลาดในครั้งนี้แล้วพรุ่งนี้เราค่อยมาประชุมกันต่อ"
เสียงขานรับเบาๆ จากหัวหน้าแผนกต่างๆ ดังขึ้น ก่อนที่ทุกคนจะลุกออกไป
"นิตเดี๋ยวช่วงบ่ายมาหาพี่หน่อยนะ"
แต่เพราะเสียงเรียกให้หัวหน้าแผนกบัญชีเข้าพบตอนบ่าย นั่นจึงทำให้ทุกคนหันหน้ามามองด้วยสายตาอยากรู้
กว่าจะออกจากห้องประชุมอีกครั้งก็เลยเวลาอาหารเที่ยงไปเกือบชั่วโมง ถ้าไม่ติดว่าหน้าตาพนักงานแต่ละคนสีหน้าไม่สู้ดีแล้ว เธอคงจะลากยาวต่ออีก เมื่อในที่ประชุมยังหาข้อสรุปการแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้ไม่ดีพอ นั่นหมายถึงเม็ดเงินจำนวนหลายล้านที่สูญเสียไป รวมถึงลูกค้ารายใหญ่ของบริษัทอีกด้วย
ถ้าบริษัทอยู่ในช่วงที่ทำยอดขายหรือกำไรได้หลายเท่าตัวกว่านี้เธอคงจะไม่เดือดเนื้อร้อนใจ แต่ในเมื่อตอนนี้สถานการณ์ทางการเงินของบริษัทกำลังอยู่ในช่วงย่ำแย่ ลูกค้ารายสำคัญก็ค่อยๆ โดนแย่งออกไปจนหมด เหลือแต่ลูกค้ารายเล็กที่ยอดขายน้อยนิดแทบจะไม่สามารถทำกำไรให้บริษัทได้ หรืออย่าว่าแต่กำไรเลยบวกลบค่าขนส่งในแต่ละครั้งก็แทบจะขาดทุนอยู่แล้ว
เธอนั่งมองงบการเงินของเดือนที่แล้วอย่างพิจารณา ยอดขายในเดือนนี้ก็ยิ่งดูจะน้อยลงกว่าเดือนที่แล้ว รายได้ที่ควรจะได้จากสินค้าในล็อตนี้สูญหายไปหลายล้านบาท มันมีผลโดยตรงกับค่าใช้จ่ายสำคัญในเดือนหน้าไม่น้อย
"ยอดรับเงินเดือนนี้จนถึงเดือนหน้าประมาณเท่าไรหรือนิต"
"เอ่อ...ไม่ถึงล้านค่ะคุณเอย"
"เงินเราทั้งหมด หักค่าใช้จ่ายประมาณการแล้ว พอจะจ่ายหนี้ธนาคารเดือนหน้าได้หรือเปล่า"
"ไม่พอค่ะ" เสียงตอบของหัวหน้าแผนกบัญชีดูจะยิ่งแผ่วเบาลงเรื่อยๆ
"ขาดเท่าไร"
"ประมาณสองล้านกว่าบาทค่ะ"
"อืม เข้าใจแล้ว เดี๋ยวพี่จัดการให้ กลับไปทำงานเถอะ"
รับปากหัวหน้าแผนกบัญชีไปอย่างไม่รู้ว่าจะหาเงินเกือบสามล้านนั้นมาจากไหน ครั้นจะเอ่ยปากขอผู้เป็นพ่อก็คงไม่ต่างจากการปล่อยให้บริษัทนำเข้าสินค้าจิปาถะเล็กๆ จากต่างประเทศของเธอเจ๊งไม่ท่า พร้อมคำก่นด่าปรามาส
เกื้อกลับมาถึงห้องเกือบจะสองทุ่ม โยนสูทลงที่โซฟาด้วยความเคยชินก่อนจะปลดรั้งเนกไทให้คลายออกจากต้นคอ กระดุมเสื้อเชิ้ตยังไม่ทันถูกปลดออกพลันสายตาก็เหลือบเลยไปถึงโซนห้องครัวกว้างด้านในจึงได้เห็นหญิงสาวที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของตัวเองอยู่ในห้องครัว
เธอเดินไปมาระหว่างอ่างล้างจานกับเตาทันสมัย หยิบจับเครื่องครัวด้วยความชำนาญราวกับรู้ว่าของแต่ละอย่างอยู่ตรงไหน ทั้งที่เขาเองแทบจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีดปอกผลไม้อยู่ตรงไหน ครัวทันสมัยของเขาก็มีไว้คล้ายเฟอร์นิเจอร์ชิ้นหนึ่งของห้องเท่านั้น
เกื้อเดินมาหยุดยืนพิงเคาน์เตอร์ด้านหลัง เอียงคอมองว่าเธอกำลังทำอะไร
"อุ๊ย! ตกใจหมดเลย ฉันกำลังทำกับข้าวค่ะ มีผัดผักกับต้มยำ คุณทานข้าวมาหรือยัง ทานด้วยกันไหมคะ เสร็จพอดี"
สายตาเป็นคำถามของเขา ทำให้เธอเอ่ยตอบและเอ่ยชวน
"ไม่"
"เอ่อ...ค่ะ"
คำปฏิเสธเสียงเข้มเกือบทำเธอหน้าเสีย พอเขาหันหลังเดินกลับไปขวัญเอยจึงได้แต่ยักไหล่ให้ตัวเองด้วยท่าทางเซ็งๆ
ก็ไม่แปลกถ้าเขาจะเกลียดเธอ ในเมื่อคนสองคนที่ไม่เคยรู้จักหรือแม้แต่จะเคยเห็นหน้ากันมาก่อน ต้องถูกจับแต่งงานแบบนี้ในยุคสมัยที่แม้แต่ทรงผมนักเรียนก็ยังเป็นสิทธิส่วนบุคคล