บทที่ 6 เสนอหน้า (2)
บทที่ 6
เสนอหน้า (2)
“ยังไม่ถึงวันเลย ชัยชนะจะมาแล้วเหรอวะ” สารวัตรหนุ่มสั่นหน้าพลางหัวเราะ ยังไม่ทันถึงวันนั้นเลยเขาไม่รู้ว่าจะพบกับชัยชนะหรือความล้มเหลว
“เอาน่า ดื่มเอาฤกษ์เอาชัย พูดแต่เรื่องดี ๆ ไว้ก่อนมันจะได้เป็นมงคลไงวะ มา ๆ ชนเว้ย!”
“ชนครับ!” เสียงสมาชิกในทีมดังขึ้นพร้อมกับการเคลื่อนแก้วเครื่องดื่มชนประสานกัน จนเกิดเสียงสนั่นไปทั่วตัวบ้าน
ของเหลวที่ไหลกลืนเข้าสู่ร่างกายนอกจากจะเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจแล้ว มันก็เป็นการย้ำชัดความมั่นใจแน่วแน่ให้กับอุดมการณ์อันแรงกล้าด้วย
ชัยชนะเท่านั้นที่เขาจะได้ครอบครอง!
กว่าจะแยกย้ายกับทีมสมาชิกก็ปาเข้าไปตีหนึ่งกว่าแล้ว ศตวรรษเดินออกมาส่งเพื่อนที่ติดรถมาพร้อมกับลูกน้องก่อนที่เขาจะขับรถตรงไปยังไร่กมลซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านพักตัวเองมากนัก
บ้านที่ศตวรรษอยู่นั้นตั้งอยู่ท้ายไร่ส้มที่พ่อและแม่ของเขาช่วยกันทำ ส่วนไร่กมลก็เป็นหนึ่งในหุ้นส่วนที่พ่อของเขามีส่วนร่วมด้วยตั้งแต่หลายสิบปีก่อน นั่นจึงทำให้เขาคลุกคลีและเติบโตมากับแปลงผักแปลงผลไม้มาตั้งแต่เกิด
ถึงแม้จะมีไร่ส้มเป็นของตัวเองแต่เขากลับทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยของนายอัศวินแห่งไร่กมล ส่วนไร่ส้มเขาก็ให้พ่อและแม่บริหารเพราะตั้งใจแบ่งหน้าที่กันทำงาน ในเมื่อพ่อกับแม่เขาดูแลไร่ส้มแล้ว เขาในฐานะลูกก็เข้ามาช่วยดูแลในส่วนไร่กมลให้เอง
รถโฟร์วิลขับแล่นไปตามหนทางคดเคี้ยวราวสิบห้านาทีก็ถึงจุดหมาย ช่วงเวลานี้อาจเป็นเวลาหลับนอนของใครหลายคนแต่ไม่ใช่กับคนงานบางส่วนในไร่กมล ช่วงดึกดื่นแบบนี้ครึกครื้นเสียยิ่งกว่ากลางวันเพราะมีลูกค้าจากทั่วสารทิศขับมารับสินค้าด้วยตัวเองนับร้อยทุกวัน
ไร่กมลเป็นไร่ขนาดใหญ่ ส่งออกค้าขายผักให้กับพ่อค้าแม่ค้าในภาคเหนือและรวมถึงต่างประเทศ ดูแลบริหารมาตั้งแต่รุ่นปู่รุ่นทวด ยึดมั่นอุดมการณ์และความซื่อตรงมานานเกือบศตวรรษ ไม่แปลกเลยที่ไร่กมลจะยิ่งใหญ่และเป็นที่หนึ่งในภาคเหนือเช่นนี้
“อ้าวคุณวรรษ มาทำอะไรครับเนี่ย” เสียงของยอดผู้จัดการไร่เอ่ยขึ้นหลังจากละสายตาจากสมุดการสั่งซื้อในแต่ละวัน แล้วก็เห็นว่าผู้ช่วยนายใหญ่เดินเข้ามาซึ่งไม่ใช่เรื่องปกติเลยที่คนในตำแหน่งนี้จะมาเดินเตร็ดเตร่ให้เห็น
“มาเฉย ๆ มันนอนไม่หลับ” ตอบเสียงยานครางก่อนจะทิ้งตัวนอนลงกับแคร่ใต้หลังคาซึ่งใช้เป็นสถานที่จัดซื้อขายสินค้าในทุก ๆ วัน
เขานอนไม่หลับจริง ๆ นั่นแหละ หลังแยกย้ายกับเตวินทร์แล้วเรื่องที่คุยกันก็ประเดประดังเข้าหัวไม่หยุดหย่อน ก็เลยตัดสินใจขับรถมาที่ไร่เผื่อว่าจะมีอะไรให้ทำแก้เบื่อได้บ้าง
“เมื่อกี้นี้เจ๊แหวนโทรมาขอให้เราเอาผักไปส่งที่ตลาด คนงานของเจ๊แกเขาไม่ว่าง คุณวรรษจะให้ทำไงดีครับ” ยอดเอ่ยถามผู้เป็นเจ้านาย ปกติแล้วไร่กมลไม่มีนโยบายขับรถไปส่งสินค้าให้ลูกค้าในเวลานี้ ที่ไร่จัดระบบและระเบียบเป็นอย่างดี หากให้คนงานในไร่ขับไปส่งสินค้าถึงที่ก็จะต้องเป็นสินค้าที่มียอดสั่งซื้อถึงห้าหมื่นบาทขึ้นไป ซึ่งล้วนแต่เป็นเจ้าใหญ่ ๆ ที่เอาไปแจกจ่ายกันเป็นทอด ๆ อีกที
หากแต่เจ๊แหวนที่ผู้จัดการไร่หมายถึงนี้เป็นเพียงแม่ค้าแผงผักเล็ก ๆ เท่านั้น ยอดการสั่งซื้อรายวันแค่หลักพันไปถึงหมื่นต้น ๆ เนื่องจากรับสินค้ามาขายจากหลายไร่เพื่อประหยัดต้นทุนราคา ใช่ว่าเขาจะเลือกปฏิบัติกับลูกค้าที่มียอดสั่งซื้อเยอะ หากแต่มันเป็นกฎและข้อตกลงที่วางไว้มาตั้งแต่ก่อนซื้อขายกันแล้ว
“แล้วมึงบอกไปว่าไง” เสียงเข้มถามแต่ดวงตายังคงปิดสนิทดังเดิม
“ปฏิเสธไปนั่นแหละครับ แต่เจ๊แกก็ขอร้องไม่เลิกเลย ผมก็ชักจะใจอ่อนด้วย เจ๊แกเขาซื้อผักจากไร่เรามานานแล้ว” แน่นอนว่าระบบอุปถัมภ์ย่อมมีอยู่ทุกวงการ คนค้าขายเจอหน้ากันมานานร่วมสิบปีย่อมต้องมีความรู้สึกเข้ามาเกี่ยวข้องกับกฎเกณฑ์ที่วางไว้
ศตวรรษไม่ได้ว่างกล่าวอะไร เขาเองก็เข้าใจและไม่เคยตำหนิหากลูกน้องของเขาจะขับรถไปส่งผักให้ลูกค้าเองในกรณีที่ยอดสั่งซื้อไม่ถึง แต่ขอเพียงแค่ไม่ให้กระทบกับภาระงานปัจจุบันที่ต้องออกใบกำกับตรวจเช็กสินค้าซึ่งกินเวลาไปจนถึงฟ้าสางแล้ว
“แล้วแต่มึงละกัน อยากไปส่งเองก็ไป แต่ทำงานให้เสร็จก่อน”
