บทที่ 1 ใจแตก (3)
บทที่ 1 ใจแตก (3)
“คนมันขาดอะพี่ เจ๊เลยขอให้หนูมาแทน”
“แล้วพาลูกมาด้วยหรือเปล่า ยังกระเตงลูกไปทำงานเหมือนเดิมไหมเนี่ย” ถามพลางก้มหน้าไปเซ็นเอกสารเพื่อออกใบกำกับการสั่งซื้อ ทำงานในหน้าที่นี้มาหลายปี อีกหนึ่งเรื่องที่จดจำได้ก็คือเรื่องของเด็กสาวสู้ชีวิตคนนี้นี่แหละ
ใครบ้างจะจำไม่ได้ ก็เจ้าหล่อนเล่นหอบลูกมาทำงานด้วยตั้งแต่ดึกดื่น ทั้งสงสารทั้งเอ็นดู แต่ก็เข้าใจดีว่าชีวิตของคนเรามันไม่เท่ากันจริง ๆ
“เหมือนเดิมแหละพี่ นี่ก็นอนอยู่บนรถ” พระแพงยิ้มอ่อนหันกลับไปมองตัวรถที่เด็กน้อยนั่งอยู่บนนั้น
“อ้าว คุณวรรษมาทำอะไรครับเนี่ย” ผู้จัดการไร่ร้องทักคนที่เพิ่งเข้ามาใหม่
“ก็มาดูความเรียบร้อยนี่แหละ เป็นไงบ้างวะ เรียบร้อยดีใช่ไหม”
หญิงสาวที่กำลังยืนรอก็ไม่ได้คิดสนใจอะไร หน้าที่เธอเหลือแค่รอรับใบจากผู้จัดการและขับรถกลับไปหาเจ๊แผงผัก และอีกไม่กี่ชั่วโมงต่อจากนั้นเธอก็ต้องไปส่งเด็กชายพระพายไปโรงเรียน ส่วนตัวเธอก็เตรียมตัวไปทำงานพิเศษต่อ คิดมาถึงตรงนี้ลมหายใจเฮือกใหญ่ก็ระบายออกมาจนไหล่ห่อเข้าหากัน
“เอ้า ได้แล้วน้อง เงินสดหรือโอนล่ะ” ใบกำกับสินค้าส่งยื่นมาให้พร้อมตัวเลขที่ต้องจ่ายบนเครื่องคิดเลข
“เงินสดจ้า” พระแพงยื่นหน้าไปมองตัวเลขใกล้ ๆ พลางหยิบเงินสดออกมาจากกระเป๋า ธนบัตรสีเทาคลี่ออกทีละใบจนครบจำนวนที่ต้องจ่าย
เธอทวนแล้วทวนอีกพอเห็นว่าตรงตามจอก็ส่งไปให้ผู้รับและหมุนตัวกลับไปที่รถ แต่ด้วยความไม่ระวังเลยทำให้เธอไม่ได้สนใจกับคนที่ยืนอยู่ด้านหลังตั้งแต่ต้น มัวแต่ดีใจที่อีกหนึ่งจ็อบจะเสร็จสิ้นและมีเงินรออยู่ หันไปก็เจอกับร่างกำยำสูงใหญ่ที่ยืนเท้าเอวปักหลักกวาดสายตาสำรวจโดยรอบ เธอชะงักฝีเท้ากะทันหันเพื่อไม่ให้ร่างกายชนปะทะกับเขาคนนั้น แต่ก็กลายเป็นว่าเสียหลักซะเอง
“อ๊ะ!” เสียงเล็กหวีดร้องเมื่อร่างกายซวนเซเสียการทรงตัว มือสองข้างคว้าอากาศ ตะกายจับไม่ให้หงายหลัง แล้วก็ได้รับความช่วยเหลือจากเจ้าของร่างกำยำที่รีบถลาเข้ามาประคองได้ทันเวลา
หมับ!
อากัปกิริยาเกิดขึ้นด้วยระยะเวลาเพียงไม่กี่วินาที ร่างกายที่เกือบหงายล้มถูกคว้าไว้ด้วยวงแขนแกร่งของใครคนหนึ่ง เธอถูกดึงให้จมเข้าสู่ความอบอุ่น ใบหน้าแนบซบที่จุดเต้นของหัวใจของคนตรงหน้า
หญิงสาวหลับตาแน่นตกใจกลัวว่าตัวเองจะเผลอปล่อยไก่ แต่กลิ่นหอมจากเสื้อผ้าที่คาดว่าเป็นกลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มเคล้ากับน้ำหอมกลิ่นละมุนนั้นทำให้เธอรับรู้แล้วว่าตัวเองไม่ได้ก้นจ้ำเบ้าสู่พื้น
เธอค่อย ๆ เชยใบหน้าขึ้นมองเจ้าของอ้อมแขนใจดี กำลังจะอ้าปากกล่าวขอบคุณแต่ทุกการกระทำที่จะเกิดขึ้นกลับหยุดกึกเมื่อสายตาปะทะเข้ากับใบหน้าโหดตึงที่ประสานมองกัน
“จะค้างอีกนานไหมครับ หนัก!” เสียงห้าวเข้มถามด้วยสีหน้าหงุดหงิด รูปประโยคที่พอกลายเป็นภาษาเขียนแล้วดูสุภาพ แต่ห้วงอารมณ์ในภาษาพูดกลับแตกต่างสิ้นเชิงเพราะเขากำลังส่งผ่านความดุดันมาให้กัน
“ขะ...ขอโทษค่ะ!” พระแพงรีบขยับตัวออกจากการช่วยเหลือทันที หยัดตัวยืนหลังตรงเหมือนตอนเคารพธงชาติราวกับตัวเองกำลังรายงานตัวต่อผู้บังคับบัญชาก็ไม่ปาน
ทำไมต้องดุขนาดนั้นด้วย...
“เชิญครับ คันอื่นเขารออยู่” คนตรงหน้าผายมือเป็นการไล่กลาย ๆ ให้เธอกลับขึ้นรถไปได้แล้วเมื่อจ่ายเงินเรียบร้อย
พระแพงที่ได้ยินแบบนั้นก็รีบก้มหน้างุดสับเท้าหนี เธอกลัวเขาจนตัวสั่น นอกจากร่างกำยำจะใหญ่กว่าเธอสองเท่าแล้วเขายังหน้าโหดอีกต่างหาก ช่างสวนทางกับกลิ่นหอมชวนหลงบนเสื้อเหลือเกิน
“พระพายลงมาทำไมลูก” จังหวะที่เดินเบี่ยงตัวออกไปก็เห็นว่าเด็กชายยืนขยี้ตาด้วยอาการงัวเงีย เธอรีบเดินเข้าไปอุ้มเด็กน้อยขึ้น ความกลัวที่มีอยู่ทุนเดิมเลยไม่อยากให้ถูกไม่พอใจอีกที่ปล่อยเด็กมาเดินวุ่นวาย
“แม่ทำไรคับ นั่นใครคับ”
“เอ่อ...กลับกันเถอะครับ”
หญิงสาวหันไปมองยังคนหน้าดุอีกครั้ง เขายังอยู่ในสภาพหน้าแบบเดิมที่เพิ่มเติมคือความสงสัย เธอรีบหลบตา เปิดประตูและวางเด็กชายพระพายบนเบาะคาดเข็มขัดให้เรียบร้อย จากนั้นก็เดินอ้อมมาขึ้นนั่งประจำที่แล้วรีบขับเคลื่อนตัวรถออกไปอย่างรวดเร็ว
ตัวรถกระบะสองประตูขับเคลื่อนออกไปตามหนทาง หากยังคงมีดวงตาคมที่ทอดมองไปจนสุดระยะสายตาและหันกลับมาส่งคำถามให้กับคนที่อยู่ใกล้ ๆ
“เด็กคนนั้น ลูกเหรอ?”
“ใช่ครับ ลูกของน้องเขาแหละ”
และคำตอบที่ได้รับก็ยิ่งทำเอาแปลกใจ คิ้วเข้มเลิกขึ้นพร้อมกับใบหน้าที่หันกลับไปมองใหม่อีกครั้ง
“ยังดูเด็กอยู่เลย”
“นั่นสิคุณวรรษ น้องเขายังเป็นนักศึกษาอยู่เลยนะ แต่ลูกโตจนสี่ขวบแล้ว คงใจแตกแต่เด็กแหละครับ” พูดแล้วก็ส่ายหน้าถอนหายใจ ทั้งสงสารทั้งระอาแต่ก็อดค่อนขอดปรามาสไม่ได้ทุกที
เจ้าของคำถามนึกคิดไปตามสิ่งที่ได้ยินก็พยักหน้ารับเออออเห็นด้วย “อืม คงงั้น”
