บทที่ 7
“พี่...” ชายหนุ่มกลั้นน้ำตาอย่างเต็มความสามารถ แต่มันก็ยังไหลออกมาอยู่ดี
“พี่แทนจำตอนที่ธุรกิจของเราเกือบล่มได้ไหมคะ พี่ภัทรพูดว่าเราจะต้องสู้จนถึงที่สุด เราต้องเดินต่อไปข้างหน้าโดยไม่ท้อถอย เหนื่อยล้าก็หยุดพักเอาแรง แต่พอหายเหนื่อยก็ต้องเดินต่อไป ถ้าเราเดินไปจนถึงปลายทางแล้วพบว่ามันไม่เป็นไปอย่างที่เราคิด เราก็ควรยอมรับความจริง ปล่อยวางทุกอย่างให้เป็นไปตามครรลองของมัน แล้วเดินก้าวต่อไปในหนทางใหม่ที่จะช่วยให้เรากลับมายืนหยัดอย่างมั่นคงได้อีกครั้ง” คำพูดของทิพย์ธารีทำให้แทนธีรานิ่งอึ้ง เขาจำได้ดีว่าภัทรรัตน์พูดเอาไว้อย่างไรบ้างเมื่อหลายปีก่อน ถ้อยคำเหล่านี้เคยช่วยให้เขาเลือกที่จะลุกขึ้นสู้อีกครั้ง จนกระทั่งประสบความสำเร็จในชีวิตตามที่คาดหวังไว้
ใช่แล้ว...สำหรับเรื่องของกุลธารินทร์ก็เช่นกัน
เขาควรหาทางทวงคืนความยุติธรรมให้ลูกเมีย ไม่ใช่เอาแต่หายใจทิ้งโดยมีความแค้นเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงจิตใจ นับจากวันนี้ไปแทนธีราคนเดิมจะตายไปจากโลกนี้เสีย และแทนธีราคนใหม่จะลุกขึ้นสู้ยิบตาและไม่ยอมล่าถอยแม้แต่ก้าวเดียว เขาจะทำทุกวิถีทางเพื่อสั่งสอนพวกคนชั่วให้รู้จักคุณค่าของชีวิต ลูกเมียเขาไม่ใช่ผักปลาที่จะมองข้ามได้โดยไร้สำนึก ในเมื่อสังคมนี้เต็มไปด้วยความเหลื่อมล้ำมากมาย มันคงไม่ผิดกระมังหากเขาจะตั้งตนเป็นมัจจุราชเพื่อคอยลงทัณฑ์คนเลว ซึ่งคนที่จะได้รับเกียรตินี้ก็คือผู้หญิงหน้าไม่อายที่กล้าจูบเขาในร้านอาหาร และเธอก็เป็นคนเดียวกับที่ทำให้เขาต้องสูญเสียครั้งใหญ่
“ทำไมเงียบไปล่ะคะ พี่แทนยังคิดมากอยู่อีกเหรอ” เสียงของน้องสาวทำให้เขารีบหันมาสบตา
“เปล่าหรอก พี่แค่คิดได้แล้วว่าควรทำยังไงต่อไปดี มัวแต่นอนร้องไห้อยู่แบบนี้ก็ไม่มีทางได้ภัทรกับน้องอ้อนคืนมาหรอก สู้ลุกขึ้นมาทำอะไรที่มันมีประโยชน์ดีกว่า” ดวงตาสีนิลวาววับขึ้นด้วยอารมณ์บางอย่าง แต่เมื่อเห็นทิพย์ธารีพยายามสังเกตว่าเขาโกหกหรือพูดจริง ชายหนุ่มก็ปั้นหน้าเรียบเฉยเพื่อให้อีกฝ่ายตายใจ
“นี่พี่แทนพูดจริงเหรอคะ” หญิงสาวยังไม่อยากปักใจเชื่อ เพราะคิดว่าแทนธีราไม่น่าจะว่าง่ายขนาดนี้ เธอพยายามพูดเตือนสติกรอกหูเขามาตลอดสามเดือน ทำไมจู่ๆถึงได้ยอมรับอะไรง่ายดายนัก หรือว่าการยกคำพูดของภัทรรัตน์ขึ้นมาอ้างจะช่วยสะกิดใจให้คิดได้
“จริงสิ นี่ถ้าทิพย์ไม่พูดในสิ่งที่ภัทรเคยพูดไว้ พี่คงจมอยู่กับความทุกข์ไปอีกนานเลย” แทนธีราแตะไหล่น้องสาว
“ทิพย์ดีใจนะคะที่พี่แทนยอมรับความจริงเสียที” เธอยิ้มเมื่อความคิดของตัวเองถูกต้อง คำพูดของอดีตพี่สะใภ้ช่วยให้พี่ชายของเธอยอมปล่อยวางบ้างแล้ว อีกไม่นานเขาคงกลับมามีชีวิตที่ปกติสุขอีกครั้ง แม้จะต้องกลายเป็นหนุ่มโสดที่ไร้คนเคียงข้างอีกครั้งก็ตาม
“พี่สัญญาว่าจะไม่อ่อนแออีก พี่เสียเวลามานานพอแล้ว จากวันนี้ไปพี่จะใช้เวลาทุกวินาทีให้คุ้มค่าที่สุด ทิพย์คอยดูนะว่าพี่จะทำได้อย่างพี่พูดไหม” แทนธีรายิ้มเหี้ยม แต่คนเป็นน้องสาวกลับอ่านรอยยิ้มปริศนานั้นไม่ออก
“ทิพย์จะรอดูความสำเร็จของพี่แทนค่ะ แต่ก่อนอื่นควรดื่มนมแล้วไปเข้านอนซะ”
“ยังไงพี่ก็ต้องดื่มไอ้นมนี่สินะ” ชายหนุ่มเด้งตัวลุกขึ้นนั่ง คว้าแก้วนมอุ่นไปจากมือน้องสาว ดื่มรวดเดียวจนหมด แล้วยื่นแก้วส่งคืนให้ด้วยสีหน้าที่ไม่เศร้าสลดเหมือนอย่างตอนแรก
“พรุ่งนี้ถือว่าเป็นการเริ่มต้นชีวิตใหม่ หวังว่าทิพย์จะเจอพี่แทนที่สวนนะคะ” ทิพย์ธารียกมือขึ้นลูบแก้มสากระคายของพี่ชาย ก่อนจะเดินจากไปพร้อมรอยยิ้มสดใส โดยไม่รู้เลยว่าเมื่อคล้อยหลังเธอแล้ว ใบหน้าของชายหนุ่มนั้นดูน่ากลัวเพียงใด ดวงตาเต็มไปด้วยประกายไฟแห่งความเกลียดชัง มุมปากข้างหนึ่งยกยิ้มขึ้นเหมือนกำลังเกิดความคิดชั่วร้ายบางอย่าง
แทนธีราคนนี้ไม่มีเค้าความอบอุ่นอ่อนโยนหลงเหลืออยู่อีกเลย...
ร่างสูงผุดลุกจากเก้าอี้หวายตัวโปรด ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในส่วนของห้องนอน นำกระเป๋าเดินทางออกมาวางบนเตียง ดึงเสื้อผ้าใส่ลงไปสี่ห้าชุด พร้อมกับข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นอีกหลายอย่าง จากนั้นก็คว้าผ้าขนหนูหายเข้าไปในห้องน้ำ ถึงเวลาที่ต้องสลัดคราบคนหมดอาลัยตายอยากออกไปเสียที
แทนธีราเท้ามือทั้งสองลงบนขอบอ่างล่างหน้าที่ทำด้วยหินอ่อนสีขาว จ้องมองไปในกระจกก็พบว่าตัวเองทรุดโทรมไปมากเหลือเกิน หนวดเคราเขียวครึ้ม ผมเผ้ายาวจนระต้นคอ ชายหนุ่มนิ่งอยู่อย่างนั้นครู่หนึ่ง ก่อนจะเปิดตู้เก็บของที่อยู่เหนือศีรษะเพื่อนำเชฟวิ่งครีมกับเครื่องโกนหนวดออกมาใช้งาน หลังจากนั้นก็ลงไปนอนแช่ในอ่างอาบน้ำเพื่อให้ร่างกายผ่อนคลาย
แทนธีราใช้เวลาอยู่ในห้องน้ำเพื่อจัดการกับตัวเองอยู่นานเป็นชั่วโมง ในที่สุดร่างสูงโปร่งที่มีเพียงผ้าเช็ดตัวผืนเดียวพันกายก็กลับออกมา ใบหน้าคมดูหล่อเหลาสะอาดตาขึ้นมาก เขานั่งลงบนเตียงเพื่อเช็ดผมให้แห้ง ระหว่างนั้นก็จ้องมองไปยังภาพครอบครัวที่มีกันอยู่สามคนอย่างไม่วางตา
หัวใจที่เจ็บปวดจนด้านชาถูกกระตุ้นให้มีความรู้สึกอีกครั้ง แทนธีราวางผ้าเช็ดผมลงบนเตียง ลุกเดินไปหยุดยืนอยู่ตรงหน้าภาพขนาดใหญ่ที่แขวนอยู่บนผนัง มือใหญ่ลูบไล้ใบหน้าภรรยาและแก้มนุ่มของลูกสาวที่ยังส่งกลิ่นหอมติดจมูกอยู่ตราบจนทุกวันนี้ ดวงตาของเขาแดงก่ำ เส้นเลือดตรงขมับปูดโปนขึ้นเหมือนทุกครั้งที่ร่างกายเกิดความเครียด
