บทที่ 4
“อ๋อ...คุณพ่อสุดหล่อของน้องอ้อนนี่เอง อึก...ขอโทษทีค่า”
“เดินระวังหน่อยสิครับ เมาแบบนี้น่าจะให้เพื่อนพามาห้องน้ำนะ” ชายหนุ่มพยายามช่วยให้เธอยืนตั้งหลักอย่างมั่นคงกว่าเดิม แต่เธอกลับแนบใบหน้าเข้ากับอกกว้าง แล้วยกมือขึ้นโอบกอดรอบเอวเขาไว้เสียแน่น
“หล่อแล้วยังใจดีอีก...” คนเมาพูดอ้อแอ้
“นี่คุณครับ ปล่อยผมดีกว่า ถ้าใครมาเห็นเข้าคงไม่ดีแน่...ปล่อยสิ ผมจะพาไปส่งที่โต๊ะให้เอง” แทนธีราชักหงุดหงิดขึ้นมาแล้ว ต่อให้เมาแค่ไหนเธอก็น่าจะสงวนท่าทีเอาไว้บ้าง นี่ถ้าเขาเป็นคนฉวยโอกาสล่ะก็ เธอคงไม่รอดพ้นจากการถูกเอาเปรียบไปได้แน่
“ไม่เอา”
“ถ้าคุณไม่ปล่อยผมจะทิ้งคุณไว้ตรงนี้แหละ อย่าหาว่าผมใจร้ายนะครับ” ชายหนุ่มพยายามดึงมือที่ยุ่มย่ามอยู่ตรงเอวออก เขาไม่อยากใช้แรงกับเธอเยอะนัก ถึงอย่างไรเธอก็กำลังเมาขาดสติอยู่ ไม่ใช่ทำไปเพราะเจตนาไม่ดี
กุลธารินทร์เงยหน้าขึ้นสบตากับแทนธีรา ริมฝีปากของเธอแยกยิ้มกว้าง ดวงตาหวานฉ่ำเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ ยังไม่ทันที่จะถูกชายหนุ่มผลักไสได้สำเร็จ หญิงสาวก็ทำในสิ่งที่คาดไม่ถึง เท้าเรียวภายใต้รองเท้าส้นสูงสีดำเขย่งยกตัวเองขึ้น มือหนึ่งรั้งต้นคอของคนที่ตัวสูงกว่าให้โน้มต่ำลงมา แล้วแนบริมฝีปากเข้าหาด้วยความรวดเร็ว
แทนธีราถึงกับตาค้าง เพราะคาดไม่ถึงเลยว่าสาวน้อยคนนี้จะกล้าจูบคนแปลกหน้าอย่างเขา ความตกใจไม่ได้ทำให้ชายหนุ่มผละออกห่างในทันที แต่เมื่อตั้งสติได้ว่าลูกเมียกำลังรออยู่ในรถ มือใหญ่ที่วางอยู่บนเอวเพรียวก็ผลักเธอออกเต็มแรง ส่งผลให้ไหล่ของกุลธารินทร์กระแทกเข้ากับฝาผนังอย่างแรง
“โอ๊ย!” เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดทำให้แทนธีราลังเล
“บ้าชะมัด!” เขาอยากเดินออกไปจากที่นี่เสียเดี๋ยวนี้เลย แต่ก็ต้องเปลี่ยนใจกลับมาฉุดกระชากร่างบางเข้าหาตัว รีบประคองเธอให้เดินออกจากมุมที่ลับตาคนเพื่อส่งให้ถึงมือเพื่อน สีหน้าที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจทำให้ทุกสายตาหันมาจ้องมอง
“เพื่อนคุณเมามาก ผมว่าให้ใครสักคนไปส่งที่บ้านได้แล้วนะครับ” ชายหนุ่มแนะนำด้วยน้ำเสียงห้วนจัด
“เอ่อ...ค่ะๆ นี่คนขับรถของยัยกุลก็มารอรับพอดี เดี๋ยวพวกเราจะไปส่งเธอที่รถเองค่ะ ขอบคุณมากเลยนะคะที่ช่วยพามาส่ง ตอนแรกพวกเราก็อาสาจะไปเป็นเพื่อนแล้วค่ะ แต่ยัยกุลไม่ยอม” ผู้หญิงหน้าตาธรรมดาแต่แต่งหน้าเสียจัดจ้านเอ่ยขึ้น
“ยัยกุลนะยัยกุล รู้ว่าตัวเองดื่มไม่ค่อยเก่งแล้วยังดื้ออีก อุตส่าห์ห้ามแล้วเชียว” เพื่อนอีกคนหันมาตำหนิเรื่องที่หญิงสาวดื่มหนักจนลืมไปว่าตัวเองคออ่อน ตอนนี้คนอื่นก็เริ่มมึนเมากันแล้วเหมือนกัน แต่ดูเหมือนว่าเจ้าของงานจะเป็นคนที่ย่ำแย่ที่สุด
“ช่างเถอะน่า ฉันว่าพากุลไปส่งที่รถเถอะ น้าศรมารอนานแล้วนะ” ชายหนุ่มที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวในกลุ่มเสนอขึ้นบ้าง เขาคิดว่ามันไม่มีประโยชน์อะไรเลยที่จะมาต่อว่าคนเมา เพราะเมื่อเธอตื่นขึ้นมาในเช้าวันใหม่ก็คงจำอะไรไม่ได้ชัดเจนนักหรอก บ่นไปก็เสียเวลาเปล่า
“ฉันกลับเองได้น่า พวกเธอ...อึก...พวกเธอไม่ต้องห่วงเลย” กุลธารินทร์ยิ้มร่าเริง
“เอาเป็นว่าผมช่วยแค่นี้ล่ะกันนะครับ เชิญพวกคุณตามสบายเลย” แทนธีราขอตัวเดินแยกไปเพราะเห็นว่าไม่ใช่ธุระหน้าที่อะไรของเขาอีก ขณะที่ร่างสูงโปร่งกำลังจะก้าวออกจากร้าน หญิงสาวก็รีบคว้ากระเป๋าแล้วเดินตามมาติดๆ ซ้ำยังอาจหาญควงแขนเขาไว้ราวกับเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ
ภัทรรัตน์มองเห็นเหตุการณ์นั้นเข้าพอดี แต่เธอไม่ได้ลงจากรถ เพราะพอดูออกว่าผู้หญิงที่เกาะแขนสามีแน่นกำลังเมามาก อีกอย่างลูกสาวตัวเล็กก็หลับสนิทอยู่ในอ้อมกอด เธอจึงเลือกที่จะมองดูทุกอย่างไปเงียบๆ และไม่จำเป็นต้องคิดมากหรือหึงหวงอะไร เพราะคนเป็นภรรยาย่อมรู้นิสัยของสามีตัวเองดีอยู่แล้ว
“อะไรกันคุณ!” แทนธีราดึงมือคนเมาออกห่างตัว สีหน้าดูฉุนเฉียวหนักขึ้นหลายเท่า
“ใจร้าย...ไปส่งที่รถหน่อยก็ไม่ได้” กุลธารินทร์เบ้ปากใส่เขา ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ากำลังทำตัวไม่เหมาะสมกับการเป็นกุลสตรีเอาเสียเลย สาเหตุหนึ่งอาจเป็นเพราะเธอต้องการประชดชีวิตกับใครสักคน หลังจากมีคำสั่งสายฟ้าแลบให้รีบแต่งงานกับแฟนหนุ่ม ทั้งที่ตัวเธอเองเพิ่งจะเรียนจบปริญญาตรีมาหมาดๆ
อันที่จริงกุลธารินทร์รักเขาและอยากมีอนาคตร่วมกัน ทั้งสองคนคบหาดูใจกันมาราวสามปีแล้ว แต่ความใฝ่ฝันของเธอคือการได้เรียนต่อในระดับปริญญาโทมากกว่าการไปเป็นแม่บ้านให้ใครสักคน เมื่อครู่ใหญ่คนรักของเธอก็มาร่วมฉลองด้วย แต่ไม่นานเขาก็ต้องกลับไปเพราะมีธุระที่ต้องจัดการอีก เขาเห็นงานสำคัญกว่าเธอเสมอ สิ่งนี้เองที่ทำให้กุลธารินทร์คิดว่าตัวเองยังไม่พร้อมที่จะมีสามี แต่ในเมื่อบุพการีเร่งเร้าโดยไม่สนใจรับฟังเหตุผล เธอก็ขัดข้องไม่ได้
“เกิดอะไรขึ้นครับ” น้าศรเดินลงจากรถมาหาคุณหนูคนสวย
“ไม่มีอะไรหรอกน้าศร น้าศรรีบพากุลกลับเถอะครับ เมาจนกวนคนอื่นไปหมดแล้ว” เพื่อนชายคนเดิมพูดขึ้น แล้วไม่รอช้าที่นำตัวกุลธารินทร์ไปส่งให้จนถึงที่รถ
“ปล่อยนะเทพ! กุลขับรถเองได้” หญิงสาวสะบัดตัวออกห่าง
“บ้าน่ากุล กุลเมาขนาดนี้จะขับยังไงไหว มันอันตรายนะ ผิดกฎหมายด้วย”
“กุลไม่สน เทพลืมไปแล้วเหรอว่าพ่อแม่กุลเป็นใคร”
“เออ...เรารู้ว่าพ่อแม่กุลน่ะทำได้ทุกอย่าง แต่ถ้ากุลไปทำคนอื่นเดือดร้อนขึ้นมาจะรับผิดชอบไหวเหรอ”
