บทที่ 2 ในเงื้อมมือ
บทที่ 2 ในเงื้อมมือ
ตลอดเส้นทางสู่ค่ายทหารของแคว้นเหลียนเป็นการเดินทางที่ทรมานแสนสาหัส สำหรับไป๋ซูเหมิง หญิงสาวไม่เคยต้องเผชิญความลำบากเช่นนี้มาก่อน ร่างกายอ่อนแอ บอบบางของนางแทบจะทานทนไม่ไหวกับความหนาวเย็นของลมในยามค่ำคืน เส้นทางที่เต็มไปด้วยหินกรวดทำให้เท้าของนางบวมช้ำจนต้องเดินขากะเผลก หญิงสาวต้องกัดฟันฝืนทนเดินไปเบื้องหน้าต่อ เชลยบางคนล้มลงกลางทางและถูกทิ้งไว้ข้างหลังอย่างไม่ไยดี แม้น้ำตาจะคลอเบ้าจนแทบไหลอาบออกมา แต่ไป๋ซูเหมิงก็พยายามกัดฟันกลั้นมันเอาไว้
กระทั่งรุ่งสาง ขบวนเชลยก็มาถึงค่ายทหารขนาดใหญ่ ไป๋ซูเหมิงแหงนหน้ามองป้ายผ้าขนาดใหญ่ที่โบกสะบัดต้องลมเหนือประตูทางเข้า เขียนคำว่า “แม่ทัพหลงเทียน” ตัวอักษรสีแดงฉานประหนึ่งเลือดสด หัวใจของไป๋ซูเหมิงกระตุกวูบเมื่อนึกถึงชายผู้นั้น ชายผู้ที่ลากนางออกมาจากซากปรักหักพัง ผู้ที่มีดวงตาเย็นชาและแววตาอำมหิต
ไป๋ซูเหมิงถูกต้อนเข้าไปในค่ายกักกันขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยเหล่าเชลยจากตระกูลต่างๆ ทุกคนดูอ่อนแรงและไร้ชีวิตชีวา ผิวพรรณซีดเซียว ดวงตาเหม่อลอย
ไป๋ซูเหมิงทรุดตัวลงนั่งพิงกำแพงไม้ที่ทำจากไม้ซุงอย่างหยาบๆ ความเหนื่อยล้าเข้าครอบงำจนแทบจะหลับตาลง แต่เสียงฝีเท้าหนักๆ ที่เดินเข้ามาก็ทำให้นางสะดุ้งตื่น
“ท่านแม่ทัพ...คุณหนูไป๋ซูเหมิงอยู่ที่นี่ขอรับ” เสียงแหบห้าวดังขึ้นตรงหน้า ไป๋ซูเหมิงเงยหน้าขึ้นมองเห็นใบหน้าของหลงเทียน แม่ทัพใหญ่ของแคว้นเหลียนที่ยืนตระหง่านอยู่ตรงหน้า ไม่มีหมวกเกราะปิดบัง ทำให้ไป๋ซูเหมิงได้เห็นใบหน้าของนางอย่างชัดเจน ใบหน้าคมคาย แต่แฝงด้วยความดิบเถื่อนและแผลเป็นจางๆ เหนือโหนกแก้มซ้าย ดวงตาคมกริบสีดำสนิทราวกับห้วงเหวลึกจ้องมองมาที่นางอย่างเฉยชา
ไป๋ซูเหมิงตัวสั่นสะท้าน หญิงสาวกลัวดวงตาคู่นั้นที่สุด มันเหมือนดวงตาของพยัคฆ์ที่จ้องมองเหยื่อ รอคอยเวลาที่จะขย้ำเหยื่ออันโอชะตรงหน้า
“ไป๋ซูเหมิง...เจ้าคงรู้ว่าชีวิตของเจ้าอยู่ในกำมือข้า” หลงเทียนกล่าวเสียงเรียบ แต่แฝงด้วยอำนาจที่ไม่อาจโต้แย้ง “เวลานี้ตระกูลไป๋ของเจ้าโดนข้อหาสมคบคิดกับข้าศึก เป็นกบฏต่อแคว้น โทษคือประหารเจ็ดชั่วโคตร”
คำพูดนั้นราวกับมีดกรีดลงบนบาดแผลที่ยังไม่หายดี ไป๋ซูเหมิงเจ็บจนจุกในอก หญิงสาวเงยหน้ามองหลงเทียนด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความคับแค้น
“บิดาของข้า... ไม่เคยคิดกบฏ!” ไป๋ซูเหมิงเปล่งเสียงออกมาอย่างยากลำบาก แม้จะกลัวจนตัวสั่น แต่หญิงสาวก็ไม่อาจยอมรับข้อกล่าวหานี้ได้ “พวกท่านใส่ร้ายตระกูลไป๋!”
หลงเทียนเลิกคิ้วเล็กน้อย ราวกับประหลาดใจกับความกล้าหาญของกวางน้อยตรงหน้า เขาย่อตัวลงเล็กน้อย ใบหน้าห่างจากไป๋ซูเหมิงเพียงคืบ ลมหายใจอุ่นร้อนของหลงเทียนรินรดใบหน้าของไป๋ซูเหมิง ทำให้ไป๋ซูเหมิงรู้สึกราวกับถูกเปลวเพลิงเผาผลาญ
“ปากกล้านัก” หลงเทียนพึมพำเสียงต่ำ “แต่ในค่ายทหารของข้า ปากดีไม่ได้ช่วยให้รอดตาย”
หลงเทียนยื่นมือใหญ่ข้างหนึ่งออกไปเชยคางเล็กๆ ของไป๋ซูเหมิงขึ้นอย่างรุนแรง ใบหน้าของไป๋ซูเหมิงเชิดขึ้น เผยให้เห็นลำคอระหงที่เต็มไปด้วยรอยขีดข่วนจากการเดินทาง เขาจ้องมองใบหน้างดงามที่ซีดเซียวของไป๋ซูเหมิง นัยน์ตาฉายแววบางอย่างที่ยากจะอ่านออก
“เจ้าคิดว่าชีวิตของเจ้ามีค่าแค่ไหนกัน” หลงเทียนถาม ก่อนจะออกแรงบีบที่คางของไป๋ซูเหมิง จนไป๋ซูเหมิงเม้มปากแน่นด้วยความเจ็บปวด “สำหรับข้า เจ้าก็แค่เบี้ยตัวหนึ่ง”
ไป๋ซูเหมิงพยายามจะเบือนหน้าหนี แต่ก็ไม่สามารถทำได้ หลงเทียนขยับใบหน้าเข้ามาใกล้ขึ้นอีก จนปลายจมูกแทบจะชนกัน ไป๋ซูเหมิงสัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมบางเบาของเหล้าและกลิ่นคาวเลือดจางๆ ที่ติดอยู่บนตัวของอีกฝ่าย
“จากนี้ไป จงใช้ชีวิตอย่างเชื่อฟัง หาไม่แล้วเจ้าคงรู้ว่าจุดจบจะเป็นเช่นใด” หลงเทียนกล่าวเสียงกระซิบ แต่กลับทรงพลังราวกับคำประกาศิต
รุ่งเช้าของวันถัดมาไม่ได้นำพาความหวังมาสู่ไป๋ซูเหมิงเลยแม้แต่น้อย แสงแดดอ่อนยามเช้าสาดส่องเข้ามาในค่ายกักกันผ่านซี่กรงไม้ ทำให้เห็นสภาพอันน่าเวทนาของเหล่าเชลยที่นอนซมอยู่บนพื้นดินแข็งกระด้าง กลิ่นอับชื้นและกลิ่นเหงื่อปะปนกันจนเวียนหัว ไป๋ซูเหมิงรู้สึกราวกับวิญญาณได้หลุดลอยออกจากร่างไปแล้ว ความอ่อนเพลียทำให้นางกินอะไรไม่ลง แม้จะมีทหารนำอาหารแห้งและน้ำมาให้เพียงเล็กน้อย
ทันใดนั้น ประตูก็เปิดออก เสียงฝีเท้าหนักๆ ดังเข้ามา ไป๋ซูเหมิงเงยหน้าขึ้นมองด้วยแววตาเลื่อนลอย ก่อนจะพบกับสายตาคมกริบของหลงเทียนที่ยืนอยู่เบื้องหน้าพร้อมกับทหารติดตามอีกสองนาย
“ตามข้ามา” หลงเทียนออกคำสั่งเสียงห้วน นางยังคงสวมชุดเกราะสีดำทะมึนเช่นเดิม บ่งบอกถึงความเป็นนักรบที่พร้อมรบอยู่เสมอ
ไป๋ซูเหมิงไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายต้องการอะไรจากตนเอง แต่นางก็จำต้องลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเล ร่างกายยังคงเจ็บปวดจากบาดแผลและอาการอ่อนล้า ทหารนายหนึ่งเข้ามาปลดเชือกที่มัดนางไว้กับเชลยคนอื่น ก่อนจะดันหลังนางให้เดินตามหลงเทียนออกไป
หลงเทียนเดินนำหน้าอย่างไม่รีรอ เขาเดินตรงไปยังกระโจมที่พักหลังใหญ่ที่สุดในค่าย ไป๋ซูเหมิงก้าวตามอย่างช้าๆ หัวใจเต้นรัวด้วยความกังวล ไม่รู้ว่าชะตากรรมใดกำลังรอนางอยู่
ภายในกระโจมกว้างขวางถูกจัดวางอย่างเรียบง่ายแต่ดูทรงอำนาจ มีโต๊ะขนาดใหญ่ตั้งอยู่ตรงกลางพร้อมแผนที่ที่กางออก และอาวุธนานาชนิดที่วางเรียงรายอยู่บนแท่นไม้ หลงเทียนทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ที่ทำจากหนังสัตว์อย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะกวาดสายตามาที่ไป๋ซูเหมิงที่ยืนนิ่งอยู่หน้าประตู
“เข้ามาสิ” เขากล่าวเสียงเรียบ ดวงตายังคงว่างเปล่า ไร้อารมณ์
ไป๋ซูเหมิงก้าวเข้ามาในกระโจมอย่างเชื่องช้า ความรู้สึกอึดอัดเข้าเกาะกุม เมื่ออยู่ในพื้นที่ส่วนตัวของชายผู้เป็นภัยคุกคามที่สุดต่อชีวิตของนาง
“นั่งลง” หลงเทียนผายมือไปยังเก้าอี้อีกตัวที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ไป๋ซูเหมิงลังเลเล็กน้อย ก่อนจะยอมทรุดตัวลงนั่งช้าๆ
“เจ้าบาดเจ็บ” หลงเทียนเอ่ยขึ้น น้ำเสียงราบเรียบ จนไป๋ซูเหมิงไม่แน่ใจว่านางกำลังถามหรือแค่สังเกต เขามองไปที่แขนของไป๋ซูเหมิงที่ยังมีรอยเลือดแห้งกรัง
“เล็กน้อย” ไป๋ซูเหมิงตอบเสียงแผ่ว ไม่ต้องการให้ความอ่อนแอของตนเองเป็นที่สังเกต
