บทที่ 1 เชลย
บทที่ 1 เชลย
เปลวเพลิงสีแดงฉานโหมไหม้ไปทั่วจวนตระกูลไป๋ ซากปรักหักพังจากความร้อนไหม้ทำให้จวนทั้งจวนมอดไหม้จนเป็นตอตะโก กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งปะปนไปกับกลิ่นไหม้ของเนื้อไม้และซากศพ ราตรีนี้โหดร้ายยิ่งกว่าสิ่งใดสำหรับ ไป๋ซูเหมิง คุณหนูรองแห่งตระกูลไป๋ ร่างบอบบางสั่นสะท้านภายใต้ผ้าไหมสีม่วงครีมที่ตอนนี้เปื้อนเขม่าควันและหยาดเลือดของคนในจวน
หญิงสาวพยายามซ่อนกายอยู่หลังกองไม้ที่ยังคงคุกรุ่น หวังเพียงให้ความมืดมิดและกลุ่มควันช่วยบดบังการมีตัวตนจากเหล่าทหารที่กำลังกวาดล้างอย่างบ้าคลั่ง
เสียงดาบยังคงกระทบกันไปมา สลับกับเสียงกรีดร้องโหยหวนที่ดังไม่ขาดสาย ภาพสุดท้ายที่ไป๋ซูเหมิงเห็นคือใบหน้าเปื้อนเลือดของบิดาที่ผลักนางเข้าไปในห้องลับ ก่อนที่ประตูไม้จะปิดลงพร้อมกับเสียงโครมครามจากข้างนอก ความหวาดกลัวกัดกินหัวใจจนชาหนึบ นางไร้เรี่ยวแรงจะขยับกายเคลื่อนไหวไปไหน กลิ่นคาวโลหิตจากบาดแผลเล็กๆ ที่แขนแทบไม่ได้รู้สึกถึงความเจ็บปวด เมื่อเทียบกับความเจ็บปวดที่ฉีกกระชากในอก
“เจอแล้ว!” เสียงทุ้มต่ำห้าวหาญดังขึ้นใกล้ๆ พร้อมกับแสงไฟที่ส่องเข้ามายังที่ซ่อน ร่างกายของไป๋ซูเหมิงแข็งทื่อราวกับถูกสาป ดวงตาเรียวเล็กเบิกกว้างด้วยความตื่นตระหนก นางเพ่งมองเห็นเงาร่างสูงใหญ่ของบุรุษผู้หนึ่งที่กำลังค่อยๆ ก้าวเข้ามายังตำแหน่งของตน
ไป๋ซูเหมิงกำดาบเล่มเขื่องไว้ในมือข้างหนึ่งด้วยท่าทางที่สั่นเทา ตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่ หญิงสาวไม่เคยแม้แต่จะจับดาบสักครั้ง ครอบครัวมุ่งหวังให้นางศึกษาวิชาตำราต่างๆ และเรียนรู้งานภายในจวนเพื่อหาคู่ครองที่ดีให้แก่ตนเองในอนาคตเฉกเช่นคุณหนูจากตระกูลใหญ่ทั่วไป
ปลายดาบที่ยื่นออกไปด้านหน้าสั่นไหวอย่างไม่อาจห้าม ไม่ต่างกับหัวใจของไป๋ซูเหมิงที่เต้นรัวแรงราวกับจะทะลุออกมาด้านนอกอก
ไม่นานชายหนุ่มรูปร่างกำยำสวมชุดเกราะสีดำทะมึน เลือดสีแดงฉานอาบเปื้อนไปทั่วร่างกาย ใบหน้าคมคายภายใต้หมวกเกราะเหล็กฉายแววดุดัน ไร้ซึ่งความเมตตาปรานี ดวงตาคมกริบราวกับเหยี่ยวจ้องมองไป๋ซูเหมิงอย่างพิจารณา
“เจ้าคิดว่าจะหลบซ่อนพ้นอย่างนั้นหรือ” เสียงนั้นทุ้มต่ำและเย็นชา ร่างสูงก้าวเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ไป๋ซูเหมิงพยายามถอยหลัง แต่ก็ชนเข้ากับกำแพงที่อยู่ด้านหลังจนสุดทาง ไร้หนทางหนี “ออกมาเสียดีๆ หรือจะให้ข้าลากคอเจ้าออกมา”
ความหวาดกลัวแล่นพล่านทั่วร่าง ไป๋ซูเหมิงพยายามดันกายให้แนบชิดกับกำแพงราวกับต้องการเบียดตัวเองแทรกไปด้านในนั้น สองมือกำดาบในมือเอาไว้แน่นราวกับเป็นสิ่งเดียวที่จะช่วยปกป้องนางเอาไว้ได้
“เคล้ง...” เสียงดาบในมือของไป๋ซูเหมิงร่วงหล่นลงไปกับพื้น เมื่อบุรุษผู้นั้นแกว่งดาบฟาดลงบนดาบนั้นอย่างง่ายดาย ก่อนที่ปลายดาบคมกริบที่มีกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งชี้มาที่ลำคอของไป๋ซูเหมิงอย่างคุกคาม
ไป๋ซูเหมิงหลับตาปี๋ เตรียมรับชะตากรรมตรงหน้าแต่โดยดี แต่แล้วปลายดาบก็หยุดลงห่างจากผิวเนื้อไปเพียงหนึ่งคืบ
“เจ้าคือคุณหนูรองตระกูลไป๋” เสียงนั้นถามย้ำ ดวงตาคมกริบไล่มองสำรวจตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
ไป๋ซูเหมิงสัมผัสได้ถึงท่าทางอันคุกคาม ความเย็นเยือกแผ่ซ่านไปทั่วร่างจนทำให้ขนอ่อนลุกซู่ขึ้นมา หญิงสาวพยักหน้าเล็กน้อย นางลอบกลืนน้ำลายเหนียวลงคออย่างยากลำบาก ลำคอแห้งผากจนแทบไม่อาจเปล่งเสียงใดๆ ออกมาได้
“มากับข้า” ชายผู้นั้นกล่าวเสียงห้วน ก่อนจะเอื้อมมือใหญ่ข้างหนึ่งมาคว้าต้นแขนเล็กของไป๋ซูเหมิง แรงบีบมหาศาลทำให้ไป๋ซูเหมิงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด กระดูกของนางเจ็บร้าวราวจะแตกหัก หญิงสาวพยายามกระตุกแขนออก แต่ก็ไม่สามารถหลุดพ้นจากพันธนาการนั้นได้เลย
“ปล่อยข้า! เจ้าคนเถื่อน!” ไป๋ซูเหมิงพยายามขัดขืนอย่างอ่อนแรง สายตาเต็มไปด้วยความเกลียดชังและความหวาดกลัวปะปนกัน นางมองเห็นตราสัญลักษณ์ “เหลียน” บนชุดเกราะของอีกฝ่าย นั่นหมายความว่าชายผู้นี้คือทหารจากกองทัพของแม่ทัพหลงเทียน แม่ทัพใหญ่ของแคว้น
“หึ! ปากดีนัก” ชายผู้นั้นแค่นหัวเราะในลำคออย่างเย็นชา แรงบีบที่แขนยิ่งเพิ่มขึ้นราวกับต้องการจะบดขยี้ นางออกแรงกระชากร่างบอบบางของไป๋ซูเหมิงให้ลุกขึ้นอย่างรุนแรงจนไป๋ซูเหมิงเซถลา ไป๋ซูเหมิงเจ็บจนน้ำตาคลอเบ้า แต่นางก็พยายามกัดฟันทน
ชายผู้นั้นไม่พูดพร่ำทำเพลงอีกต่อไป นางถูลู่ถูกังไป๋ซูเหมิงออกมาจากซากปรักหักพังอย่างไม่ไยดี ไป๋ซูเหมิงเห็นทหารจำนวนมากกำลังเคลื่อนไหวอยู่ในความมืด บางคนกำลังฉุดลากผู้หญิงและเด็กที่รอดชีวิต บางคนกำลังตรวจสอบซากศพ เสียงร้องไห้และเสียงโหยหวนยังคงดังก้องราวกับเสียงจากนรก
“ท่านแม่ทัพ...” ทหารนายหนึ่งโค้งกายเคารพชายหนุ่มผู้นั้น
เขายังคงลากไป๋ซูเหมิงไปด้านหน้า ก่อนจะหันไปมองทหารคนนั้นด้วยสายตาว่างเปล่า
“นำตัวไปรวมกับพวกเชลยคนอื่น” ชายผู้นั้นออกคำสั่งเสียงเข้มก่อนจะผลักไป๋ซูเหมิงออกไปข้างหน้าอย่างไม่เบามือ
ไป๋ซูเหมิงล้มลงกับพื้น เข่ากระแทกเข้ากับเศษอิฐอย่างแรง แต่ยังไม่ทันได้ร้องอะไร เสียงฝีเท้าของชายผู้นั้นก็ดังห่างออกไปแล้ว ทิ้งไว้เพียงความเจ็บปวดและความหวาดกลัวที่เกาะกุม
ไป๋ซูเหมิงถูกทหารอีกคนหนึ่งจับข้อมือและฉุดกระชากไปรวมกับเชลยคนอื่นๆ ที่ถูกมัดรวมกันไว้ด้วยเชือกอย่างหยาบกระด้าง นางเงยหน้ามองกลุ่มควันดำทะมึนที่พวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า กลิ่นไหม้ยังคงตลบอบอวลในอากาศ นางภาวนาขอให้ทั้งหมดนี้เป็นเพียงฝันร้ายที่ตนเองจะตื่นขึ้นมาในไม่ช้า แต่ความเจ็บปวดที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างย้ำเตือนว่านี่คือความเป็นจริงอันโหดร้าย
ไป๋ซูเหมิงถูกจับโยนไปกองรวมกับเชลยคนอื่นๆ อย่างไม่สนใจไยดี หญิงสาวสัมผัสได้ถึงสายตาหวาดกลัวของคนเหล่านั้นที่จ้องมองมายังตนเอง บรรดาคนรับใช้และบ่าวไพร่ที่รอดชีวิตจากการสังหารหมู่ บางคนบาดเจ็บสาหัส บางคนร้องไห้ไม่หยุด แต่ทุกคนล้วนมีแววตาที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง
“เตรียมตัวออกเดินทาง!” เสียงตะโกนของทหารนายหนึ่งดังขึ้น ทำให้ทุกคนสะดุ้งเฮือก เชลยทุกคนถูกผูกเชือกต่อกันเป็นแถวยาว บังคับให้เดินก้าวตามกันไปอย่างไร้เรี่ยวแรง แม้ค่ำคืนนี้ดวงจันทร์จะสุกสว่างอยู่บนท้องฟ้าแต่มิได้ทำให้เหล่าเชลยมีความหวังใดหลงเหลืออยู่เลย
