เรื่อง ตราบลมหายใจ รักที่เฝ้าคอย ตอนที่ 1 ชายชรากับนิทานของเขา
ตอนที่ 1
ชายชรากับนิทานของเขา
ชายชราในชุดผ้าฝ้ายสีหม่นซีดจางตามกาลเวลา เดินก้าวช้า ๆ ไปตามทางดินคดเลี้ยวที่ทอดยาวนำพาเขาไปยังบริเวณท้ายหมู่บ้าน มือข้างหนึ่งหิ้วถังน้ำเก่า ๆ อีกมือหนึ่งกำด้ามไม้กวาดฟางที่ปลายเริ่มหลุดลุ่ย เสียงน้ำในถังกระเพื่อมเบา ๆ ตามจังหวะการย่างเท้าที่ไม่ได้เร่งรีบอะไร ด้านหลังสะพายตะกร้าสานใบย่อมมาด้วยหนึ่งใบ
จนมาหยุดอยู่หน้าเนินดินท้ายหมู่บ้าน ที่มีพื้นที่สูงกว่าบริเวณหมู่บ้านไม่มากนัก หลังมือเช็ดปาดเหงื่อออกจากใบหน้า หากเป็นเมื่อหลายสิบปีก่อน ระยะทางและน้ำหนักของน้ำในถังเพียงเท่านี้ ไม่สามารถเล่นงานเขาได้แน่
ห้าปีมานี้ สังขารของคนเราเป็นสิ่งไม่เที่ยง ตัวเขาก็ไม่ได้หนุ่มแน่นเหมือนดังเมื่อก่อน พอเดินมาได้สักพัก ก็จำต้องหยุดพักหายใจพอให้อาการเหนื่อยทุเลาเบาบางลง พอให้มีแรงปีนขึ้นเนินดินตรงหน้าได้ ปีนอย่างช้า ๆ ทีละก้าว ๆ จนกระทั่งขึ้นมายืนอยู่บนยอดสุดของเนินดิน ที่มีต้นอิงฮวายืนเด่นตระหง่านอยู่เพียงต้นเดียว
รอยย่นบนใบหน้าทอดเงาใต้แสงอาทิตย์อ่อน ๆ ยามเช้า แหงนขึ้นมองต้นอิงฮวาที่ดอกและใบร่วงหล่นจนเกือบจะหมดทุกกิ่งก้านแล้ว คล้ายกันกับเวลาชีวิตของเขาที่เหลือน้อยลงไปทุกลมหายใจเข้าออก
มือเหี่ยวย่นวางถังน้ำลงกับพื้นดินก่อน ปลดตะกร้าสานออกจากหลัง จากนั้นก็จับไม้กวาดลงมือปัดกวาดเศษซากของกลีบดอกที่เคยบานสะพรั่งมากองรวมกันตรงโคนต้น เพื่อให้กลายเป็นปุ๋ยบำรุงดินตามธรรมชาติ
ใช้เวลาค่อนข้างนานกว่าทุกวัน ชายชราที่มีผมขาวเป็นเงินยวง ถึงได้ทำภารกิจทำความสะอาดใต้ต้นอิงฮวาเสร็จเรียบร้อย กระนั้นเขาก็ยังไม่ได้พักหายใจหายคอ ขยับเท้าช้า ๆ ไปหิ้วถังน้ำที่บรรจุน้ำเกือบเต็มถังมาเทน้ำรดไปตามโคนต้นจนน้ำหมดเกลี้ยงถัง
เสียงหายใจหอบเหนื่อยดังผสานไปกับสายลมที่พัดหวีดหวิว เป็นสัญญาณเตือนว่าร่างกายทำงานหนักเกินขีดจำกัดแล้ว ชายชราถึงได้เดินไปแบกตะกร้าสาน ก้าวเท้าไปยังเนินดินเตี้ย ๆ ที่อยู่ห่างจากโคนต้นอิงฮวาไม่มาก ทรุดกายนั่งลง เป่าปากสูดลมหายใจเข้าออกสองถึงสามรอบ พอให้อาการใจสั่นที่กำลังเกิดขึ้นพอทุเลาลงไป
สองมือล้วงหยิบผ้าผืนใหญ่มาวางตรงหน้าป้าย ที่ตัวเขาเป็นคนแกะสลักตัวอักษรลงบนแผ่นไม้นั้นด้วยตนเอง ก่อนจะหยิบอาหารคาวหวาน ผลไม้ และสุราผลไม้หมักออกมาวางเรียงอย่างเป็นระเบียบ พร้อมกับจานชามและแก้วน้ำอย่างละสองชุด ชุดหนึ่งเขาวางเรียงตรงหน้าของเขาเอง ส่วนอีกชุดชายชรานำไปจัดเรียงอยู่ต่อหน้าป้าย
“หงเอ๋อร์ เจ้าหิวแล้วหรือยัง วันนี้ข้ามาช้าหน่อย กว่าลูกสะใภ้ของเราจะเตรียมของให้ เขาก็วุ่นอยู่กับการดูแลเจ้าตัวน้อย หลานสาวของพวกเราอย่างไรเล่า”
ชายชราบ่นพึมพำเพียงลำพัง มือสั่นเทาที่เกิดขึ้นเองรินสุราใส่ลงในแก้วทั้งสองใบจนเต็ม มีหกออกนอกแก้วบ้างตามประสามือไม้ที่สั่นเพราะความชรา
นอกจากสุราผลไม้ที่หมักเองแล้ว ชายชรายังตักข้าว ตักกับข้าวใส่ลงในจานวางเปล่าทั้งของตนเอง แล้วก็ของเจ้าของชื่อที่ชายชราเรียกว่าหงเอ๋อร์
“เจ้าชิมผัดหมูเปรี้ยวหวานดูหน่อยนะ ลูกสะใภ้ของเรารสมือดีใช่ย่อยเลยแหละ แล้วยังน้ำแกงไก่ป่านี้อีก รสชาติเข้มข้นถูกใจข้ายิ่งนัก”
ไม่พูดเปล่ามือเหี่ยวย่นตักน้ำแกงคำโตขึ้นมาซดจนเกิดเสียง ท่าทางน่าจะถูกปากเหมือนอย่างที่พูดเอาไว้ ผ่านไปเกือบสองเค่ออาหารแต่ละจานก็เกลี้ยงลง รวมไปถึงสุราผลไม้ในไหก็ไม่เหลือ
ชายชราเก็บจานชามเปล่ากลับไปเก็บเอาไว้ในตะกร้าสานตามเดิม จากนั้นก็นั่งเพ่งมองป้ายวิญญาณ ประกายตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความถวิลหา มือเหี่ยวย่นลูบไล้ไปตามตัวอักษรทีละตัว
...หลันเยี่ยนหง...
“ข้าคิดถึงเจ้า นานเท่าใดแล้วที่ข้าไม่ได้ยินเสียง ไม่ได้เห็นหน้า ไม่ได้ดูแลเจ้า...เจ้าช่างใจร้ายนัก ทิ้งให้ข้าต้องโดดเดี่ยวอยู่เพียงลำพังเช่นนี้”
ใบหน้าอันเต็มไปด้วยริ้วรอยเหี่ยวย่นหม่นหมองดุจท้องฟ้าครึ้ม ดวงตาฟ้าฝางตามกาลเวลากะพริบตาถี่ ๆ ขับไล่หยดน้ำสีใสที่ปริ่มจวนเจียนจะไหลออกมา แต่มันก็สุดจะกลั้น ท้ายที่สุด เขาก็ต้องยอมแพ้ ปล่อยให้น้ำตาของลูกผู้ชายไหลออกมาอีกครั้งหนึ่ง
“หงเอ๋อร์...ฮึก ๆ ทุกคืนวันที่ไร้เงาของเจ้ามันทรมานเหลือเกิน”
แม้ข้างกายของชายชราจะมีบุตรชาย ลูกสะใภ้และหลานสาวอยู่รายล้อม แต่พวกเขาเหล่านี้ไม่อาจทดแทนผู้หญิงเพียงหนึ่งเดียวในใจของเขาได้ ความเหงา ความอ้างว้างไม่เคยหายไปจากใจของเขาแม้แต่วินาทีเดียว แม้ในวันที่มีผู้คนอยู่ข้างกายเขาก็ตาม
“นั่น...ท่านปู่คนนั้น มานั่งร้องไห้อยู่ใต้ต้นอิงฮวาอีกแล้ว”
“จริงด้วย เหตุใดถึงต้องมาแอบร้องไห้อยู่คนเดียวแบบนี้ด้วย”
เด็กน้อยทั้งชายและหญิง ที่ชอบจับกลุ่มมาวิ่งเล่นอยู่บนเนินดินท้ายหมู่บ้านแห่งนี้ เห็นภาพชายชราร้องไห้ต่อหน้าหลุมศพจนชินตา แต่ยังไม่มีใครกล้าเข้าไปพูดคุยกับแก ว่ามานั่งร้องไห้ด้วยเหตุอันใด
จนกระทั่งวันนี้ เด็กหญิงหน้าตาจิ้มลิ้มรูปร่างจ้ำม่ำคนหนึ่งพึ่งเคยมาวิ่งเล่นกับเด็กกลุ่มนี้เป็นครั้งแรก เพ่งมองไปบริเวณหน้าหลุมศพที่อยู่ใกล้ต้นไม้ แม้จะเห็นเพียงด้านข้าง เด็กหญิงก็จำได้ว่าเป็นผู้ใด
“ท่านปู่”
เด็กหญิงวิ่งนำหน้าสหายชายหญิง เข้าไปหาชายชราท่าทางใจดี สีหน้าแววตากังวลเป็นห่วง ว่าเหตุใดท่านปู่ที่มักจะยิ้มแย้มเวลาอยู่ต่อหน้าทุกคน ถึงมาแอบร้องไห้อยู่ตรงนี้
ทางด้านชายชราได้ยินเสียงเล็กอันคุ้นเคย บวกกับเสียงฝีเท้าหลายคู่ รีบยกมือขึ้นมาปาดน้ำตาออก พร้อมกับหันหน้ามามองทางต้นเสียง พอเห็นว่าเป็นหลานสาวของตนเอง ก็อ้าแขนรอรับ ฝืนยิ้มออกมาให้เจ้าตัวน้อยทั้งหลาย
“ท่านปู่”
“อันเอ๋อร์”
ร่างเล็กโถมเข้าหาท่านปู่ ก่อนจะโอบรอบลำคอเอาไว้ ส่วนเด็กคนอื่น ๆ ก็พากันยืนอยู่รอบตัวของสองปู่หลาน สีหน้าเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“อันเอ๋อร์ หลานมาแถวนี้ได้อย่างไร มากับใคร แล้วบิดามารดาของหลานรู้หรือเปล่า ว่าหลานออกมาจากบ้าน”
คนเป็นปู่รีบซักไซ้ไล่เลียงหลานสาวด้วยความเป็นห่วง ถึงแม้เนินดินนี้จะไม่ห่างจากหมู่บ้านมากนัก แต่หลานสาวของเขา ไม่เคยออกมาวิ่งเล่นไกลขนาดนี้มาก่อน หากเทียบกับเด็กคนอื่น ๆ
“ท่านปู่ไม่ต้องห่วงเจ้าค่ะ หลานขออนุญาตท่านพ่อท่านแม่เรียบร้อยแล้ว ว่าแต่ท่านปู่เถอะ มานั่งร้องไห้ทำไมคนเดียว” หลานสาวไม่ยอมให้ปู่เปลี่ยนเรื่อง รีบวกเข้ามาสอบถามเรื่องที่สงสัยทันที
“ปู่ไม่ได้ร้อง หลานคงตาฝาดไป” ชายชรารีบปฏิเสธ แม้ดวงตาจะแดงก่ำต่างจากปกติก็ตาม
“แต่หลานเห็นจริง ๆ นะเจ้าคะ เพื่อน ๆ ของหลานก็เห็น ใช่หรือไม่” ใบหน้าเล็กหันไปโดยรอบ เอ่ยถามสหายที่มาวิ่งเล่นด้วยกัน
“ใช่...พวกเราก็เห็น”
“พวกเราไม่ได้ตาฝาดเสียหน่อย”
“แล้วก็เห็นมาหลายครั้งแล้วด้วย ที่ท่านปู่แอบมาร้องไห้คนเดียว”
เด็กชายเด็กหญิงช่วยกันยืนกรานเสียงหนักแน่นขนาดนี้ มีหรือชายชราจะยังโกหกเสียงแข็งได้อีกต่อไป นอกจากยืดอกยอมรับไปเสียให้จบ ๆ
“ปู่ยอมรับก็ได้ ว่าปู่ร้องไห้”
“ท่านปู่ร้องไห้ทำไมหรือเจ้าคะ/ขอรับ” เด็ก ๆ พร้อมใจกันเอ่ยถามขึ้นมา
“ปู่ร้องไห้ เพราะปู่คิดถึงนิทานเรื่องหนึ่งขึ้นมา หลาน ๆ อยากฟังกันหรือเปล่า”
“อยากฟังเจ้าค่ะ/ขอรับ” เป็นอีกครั้งที่เด็ก ๆ พร้อมใจกันผสานเสียง
“อยากฟังก็นั่งลง” ไม่รอให้ชายชราพูดบอกซ้ำสอง เด็ก ๆ รีบพากันนั่งลงรอบตัวของชายชรา ดวงตาทุกคู่จดจ้องมองใบหน้าเหี่ยวย่นอย่างตั้งอกตั้งใจ
ก่อนเสียงของหลานสาวจะเอ่ยถามขึ้นมา “เป็นนิทานเกี่ยวกับอะไรหรือเจ้าคะท่านปู่”
ใบหน้าเหี่ยวย่นเหลียวไปมองเนินดินที่ได้รับการดูแลอย่างดี ก่อนตอบขึ้นมา “เป็นเรื่องของหญิงสาวที่เฝ้ารอคนรัก กับชายหนุ่มที่ผิดคำสัญญา แล้วยังมีสุนัขตัวหนึ่ง ที่ซื่อสัตย์กับเจ้าของของมัน”...
