Episode 02: Unlucky 【1】
[Richie’s Part]
ผมขอแก้ความเข้าใจผิดของเจ้าพวกนี้ก่อน
อย่างแรกเลยคือผมไม่ได้เป็นซอมบี้ฮันเตอร์ที่หนีตายมาอยู่ที่โกดังนี่เมื่อสองวันก่อน อย่างที่รู้กันว่าผมอยู่ที่นี่มาตั้งแต่หกเดือนก่อนแล้วแต่จำเป็นต้องโกหกเพื่อเอาตัวรอด เพราะไอ้หนุ่มเอเชียนั่นทำท่าจะยิงสมองผมกระจุยหลังจากที่เขาได้กลิ่นบุหรี่ที่ผมสูบและดับทิ้งไม่ทันก่อนที่พวกนั้นจะเข้ามา
และสอง ผมไม่ได้วิ่งหนีซอมบี้จนกางเกงหลุด กางเกงแดงขาสั้นรัดรูปที่พวกนั้นเห็น มันเป็นกางเกงของชุดมวยปล้ำรัดรูปที่ผมใส่ติดตัวมาตอนที่ถูกซอมบี้บุกการแข่งขันมวยปล้ำต่างหาก แต่ให้พวกนี้เข้าใจไปอย่างนั้นก็ดี เพราะผมจะได้ไม่ต้องเสียเวลาอธิบายให้เผยพิรุธไปมากกว่านี้ ทั้งที่ในใจก็นึกหงุดหงิดไอ้ไบรอันที่ดันทิ้งแต่เสื้อไว้ให้ผม ไม่เหลือกางเกงไว้ให้ด้วย
แต่นั่นก็ไม่ได้สำคัญเท่ากับการที่เจ้าพวกนี้พาผมขึ้นรถถังมา แล้วมุ่งหน้าไปยังเขตควบคุมโรค หมายเลข 16 แห่งนครลอสแอนเจลิส หากผมไม่ได้ติดเชื้อล่ะก็ ผมคงจะดีใจไม่น้อยที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้รอดชีวิต แต่เพราะผมติดเชื้อ ผมจึงได้แต่นั่งยิ้มแหยไปตลอดทางโดยเฉพาะเวลาที่เจ้าพวกนี้พากันว่าอย่างดีใจว่าหน่วยของพวกเขาเป็นหน่วยแรกที่ค้นหาผู้รอดชีวิตได้ประสบผลสำเร็จ และผมก็ได้รู้อีกอย่างว่า การที่เจ้าพวกนี้บุกเข้ามาถึงโกดังที่ผมอยู่ได้เป็นเพราะรถถังแสนยานุภาพคันที่ผมนั่งอยู่และบรรดาอาวุธสงครามต่าง ๆ ที่ถูกงัดออกมาใช้กำจัดซอมบี้ เด็ดกว่านั้นคือ ของพวกนั้นถูกขโมยมาจากคลังอาวุธเสียด้วย
“ไม่ได้ขโมย เรียกว่ายืมโดยไม่ได้ขออนุญาตต่างหาก” คนที่ชื่อแพทริกว่าหน้าทะเล้นเมื่อผมทำหน้าแหยหลังจากได้ยินว่าเจ้าพวกนี้เอาของเจ๋ง ๆ มาจากไหน
“มีของดีแต่ไม่ให้ใช้มันก็ยังไงอยู่ เห็นจอดตายซากอยู่ในโรงรถหลายปีดีดักแล้ว ไม่ได้เอามาใช้บ้าง น่าเสียดายแย่” แพทริกว่าขึ้นอีกครั้ง
“ก็มันเอาไว้ใช้ยามจำเป็น ถึงได้จอดเก็บเอาไว้อย่างนั้น นายก็รู้ว่าตอนนี้ทางกองทัพต้องรักษาสิ่งของจำเป็น โดยเฉพาะพวกอาวุธเพราะทางรัฐบาลไม่มีปัญญาส่งมาให้เราเพิ่มได้อีกแล้ว กลับไปรับรองได้เลยว่าพวกเราโดนฉะเละแน่” คราวนี้ หนุ่มเอเชียที่เกือบจะระเบิดสมองผมพูดขึ้นมาบ้าง รู้สึกว่าเขาจะชื่อเนวิลล์มั้ง สีหน้าเขาบ่งบอกชัดเจนเลยว่าไม่เห็นด้วยกับคำพูดของแพทริกเท่าไหร่นัก
“ก็บอกแล้วว่ายืมมาเล่นนิด ๆ หน่อย ๆ คุณพ่อนายพลของไอ้ร็อบบ์คงไม่ว่าอะไรหนักหนาสาหัสเท่าไหร่หรอกน่า” แพทริกสวน หันไปเออออกับคนอื่น ๆ ที่เห็นดีเห็นงามกับคำพูดของเขาด้วย
“กลับไปเดี๋ยวก็รู้เองว่าจะสาหัสหรือแค่เบาะ ๆ ” เนวิลล์พ่นลมหายใจออกมาเต็มแรงแล้วว่าเสียงเรียบ
ผมรู้ในตอนนี้เองว่าผู้ชายผมทองหน้าหล่อน้อยกว่าผมที่ชื่อว่าร็อบบ์อะไรนี่ มีพ่อเป็นคนใหญ่คนโตแค่ไหน เป็นถึงลูกนายพลประจำเขตขนาดนั้น ไม่เกรงกลัวอะไรก็ไม่แปลก
“นายไม่ต้องกังวลไปไบรอัน ถ้าพ่อฉันจะลงโทษล่ะก็ สาบานเลยว่านายไม่ถูกลงโทษด้วยแน่” ร็อบบ์ว่าขึ้นเมื่อเห็นผมย่นคิ้วครุ่นคิด
มันก็แน่อยู่แล้วล่ะ ผมมาในฐานะผู้รอดชีวิตที่พวกหมอนี่เก็บได้นี่ ไม่ได้เป็นพวกซอมบี้ฮันเตอร์ที่แหกกฎมาเสียหน่อย!
กระนั้น ผมก็พยักหน้ารับ และลอบถอนหายใจเล็กน้อยเมื่อคิดถึงสิ่งที่ต้องเผชิญในอีกไม่กี่อึดใจข้างหน้า ความกังวลและความหวาดกลัวว่าจะถูกจับได้ว่าเป็นซอมบี้ประดังประเดเข้ามาในหัว จนผมเริ่มจะปวดหัวหนึบ ๆ ไม่อยากคิดเลยว่าถ้าพวกเขาจับได้ขึ้นมาว่าผมเป็นซอมบี้ ชะตากรรมของผมจะเป็นยังไง
ทำไมผมถึงคิดอย่างนี้น่ะเหรอ? ก็เพราะผมรู้ว่าก่อนจะเข้าไปในเขตควบคุมโรค มันจะต้องมีการตรวจหาไวรัสก่อนน่ะสิ ผมคงจะไม่รอดแน่ แต่ก็พยายามคิดในแง่ดีว่าการถูกพวกซอมบี้ฮันเตอร์ฆ่าโดยการยิงหัวนัดเดียวตาย ยังไงก็ดีกว่าการถูกพวกคอมพลีทซอมบี้ฉีกทึ้งกิน กว่าจะตายได้คงทรมานน่าดู
“ได้เวลาแล้ว” จู่ ๆ เนวิลล์ก็พูดขึ้น เรียกความสนใจของผมไปมองยังเขาทันที ก่อนสายตาจะปะทะเข้ากับกล่องบรรจุเข็มฉีดยาราวสิบเข็มได้
ผมมองเนวิลล์แจกเข็มฉีดยาให้ทุกคนเอาไปฉีดลงบนข้อพับแขนตัวเองอย่างงุนงง ก่อนจะปริปากถามทันทีที่เนวิลล์จัดการฉีดของเหลวในนั้นเข้าเส้นเลือดใหญ่ตัวเองเสร็จสิ้น
“นั่นอะไรน่ะ”
“ยาต้านไวรัส ถามอย่างกับไม่รู้จัก” เนวิลล์ว่าพลางเหลือบมองผมอย่างจับผิด
ผมรู้ตัวทันทีว่าถามอะไรไม่น่าถามออกไป ก็ตอนนี้ผมเป็นซอมบี้ฮันเตอร์เก๊ ๆ แล้ว จะทำหน้ามึนบอกว่าไม่รู้จักยาต้านไวรัสก็ยังไงอยู่ แม้ว่าในความเป็นจริงแล้ว ผมจะไม่รู้เลยสักนิดว่าทางรัฐบาลคิดค้นยาต้านไวรัสขึ้นมาได้แล้วก็ตาม
“ระ...รู้จักซี่ แค่สีมันไม่เหมือนกับที่ฉันเคยฉีดก็เท่านั้นเอง เลยสงสัย”
“ยาต้านไวรัสมันมีสีอื่นด้วยหรือไง” แอนนาเบลโพล่งขึ้นมาบ้างด้วยสีหน้ายียวน ขณะที่เธอโยนเข็มเปล่าคืนให้กับเนวิลล์
บอกตรง ๆ เลยนะว่าผมไม่ชอบหน้ายัยนี่เลย ถึงผมจะเคยเป็นเสือผู้หญิงตัวฉกาจก็เถอะ แต่เห็นหน้ายัยนี่แล้วชวนให้หงุดหงิดชะมัด ผู้หญิงอะไรไม่น่าจีบเลยแม้แต่นิดเดียว แต่ผมก็ทำได้เพียงยิ้มแห้ง ๆ ให้หล่อน ดีที่ไม่มีใครสนใจสิ่งที่หล่อนพูด นอกจากแพทริกที่ร้องดังขึ้นมา
“ใกล้จะถึงทางเข้าเขตแล้ว”
ผมทำท่าจะมองตามเสียงของแพทริก ทว่าเนวิลล์ก็เรียกผมไว้เสียก่อน
“นายเองก็ฉีดซะ” ว่าพลางยื่นเข็มฉีดยาที่มีน้ำยาเต็มหลอดให้ผมรับ
ผมกลืนน้ำลายเอื้อกทันที
“หะ...ให้ฉันฉีดเหรอ”
“ก็เออน่ะสิ หรือนายจะกินก็แล้วแต่” เขายียวนหน้าตาย
โอเค หมอนี่ก็เป็นอีกคนที่ผมเห็นแล้วหมั่นไส้ชะมัด
ผมรับเข็มฉีดยามา ทำท่าเก้ ๆ กัง ๆ ด้วยไม่รู้ว่าจะจัดการกับมันอย่างไรดี บอกตรงๆ นะว่าผมกลัว... ไม่ใช่ว่ากลัวเข็มหรืออะไรหรอก แต่ผมกลัวว่าถ้าผมฉีดไอ้น้ำสีเขียว ๆ นี่เข้าตัวไป แล้วถ้าเกิดมันมีปฏิกิริยาอะไรกับไวรัสซีในตัวผมขึ้นมาล่ะก็ ผมคงจะถูกจัดการตั้งแต่ยังไม่ทันได้ออกไปสูดอากาศนอกรถถังเป็นแน่
“มัวทำอะไรอยู่ ฉีดสักทีสิ” พอถูกเร่ง ผมก็สะดุ้งขึ้นมาน้อย
“เอ่อ...ไม่ต้องฉีดได้มั้ย”
“ทำไม”
“ฉัน...กลัวเข็มน่ะ” ผมโกหกหน้าด้าน ๆ
และเสียงหัวเราะของคนพวกนี้ก็ทำให้ผมรู้สึกว่าการโกหกเมื่อครู่นี้นั้นช่างเป็นข้ออ้างที่โง่เง่าสิ้นดี
“ตัวอย่างกับหมีป่า กลัวเข็มนี่นะ พระเจ้า!” แพทริกเป็นคนแรกที่ระเบิดหัวเราะราวกับว่ามันเป็นเรื่องขบขันเสียเต็มประดา ก่อนจะตามมาด้วยเสียงของแอนนาเบลและร็อบบ์ จะมีก็แต่เพียงเนวิลล์เท่านั้นที่มองหน้าผมอย่างรำคาญ
“เออ ฉันกลัวเข็ม แล้วฉันก็ไม่อยากฉีดด้วย เพราะฉันกลัวเข็ม” ผมแสร้งยอมรับ ทั้งที่ในใจอยากจะเอาเข็มทิ่มตัวเองโชว์ให้พวกนี้ดูสักสิบเข็มว่าผมไม่ได้กลัวเข็มแท่งเล็ก ๆ พวกนี้เลยแม้แต่น้อย
“จี้เป็นบ้าเลยว่ะ เป็นซอมบี้ฮันเตอร์แต่กลัวเข็มเนี่ยนะ”
“เป็นซอมบี้ฮันเตอร์มันไม่ได้เกี่ยวกับการกลัวเข็มนี่หว่า” ผมยอกย้อน ก่อนแพทริกจะพยายามกลั้นหัวเราะเพื่อถามคำถามใหม่กับผม
“แล้วปกตินายฉีดยาต้านยังไงน่ะ”
“ให้หมอประจำกองทัพฉีดให้” ผมโกหกอีกครั้ง ไม่รู้เหมือนกันว่าหมอในเขตควบคุมโรคจะมีมั้ย แต่เข็มฉีดยามันก็ต้องมาคู่กับหมอใช่มั้ยล่ะ อันนี้เมคเซ้นส์สุด ๆ ละ
“แล้วเวลานายออกลาดตระเวนล่ะทำยังไง” แอนนาเบลแทรกถามขึ้นมาบ้าง
“ก็... เพื่อนในหน่วยฉีดให้” ผมตอบไม่เต็มเสียงนัก แต่คำพูดของผม ทำให้ร็อบบ์หันไปมองหน้าเนวิลล์เป็นสัญญาณทันที
“งั้นก็ยื่นแขนมา ฉันจัดการให้”
“อะไรนะ!”
สัญญาณที่ว่าก็คือให้เนวิลล์ฉีดยาผมนั่นแหละ ผมร้องลั่นทันใด ขณะที่เนวิลล์จัดการถอดปลอกเข็มฉีดยาออก และดีดตัวเข็มด้วยนิ้วชี้และนิ้วโป้งเบา ๆ
“ก็นายบอกว่าปกติให้เพื่อนในหน่วยฉีดให้ ฉันก็เลยจะจัดการให้”
ผมลืมตาโพลง ใครจะไปรู้ล่ะว่าการพูดพล่อย ๆ ของผมเมื่อกี้จะทำให้เขาเสนอตัวขึ้นมา
“ยื่นแขนออกมา” เนวิลล์ออกคำสั่งอีกครั้ง หากแต่ผมรีบดึงมือขึ้นมากอดตัวเองอย่างรวดเร็ว
“แต่ว่าเพื่อนฉันมือเบามากเลยนะ แทบไม่รู้สึกอะไรเลย ฉันกลัวว่านายจะทำฉันเจ็บ”
ผมพยายามทำท่าทางสะบัดสะบิ้ง ให้อีกฝ่ายเข้าใจว่าผมกลัวเข็มจริง ๆ แล้วจะเห็นใจผมบ้าง แต่เปล่าเลย เนวิลล์ไม่เห็นใจสักนิด ซ้ำยังออกคำสั่งเสียงเขียวอีกต่างหาก
“ตอนฝึกนายเจ็บตัวหนักกว่าตอนถูกฉีดยาอีก อย่ามาเรื่องมาก ฉันบอกให้ยื่นแขนมา”
“ไม่” ผมปฏิเสธ
“บอกให้ยื่นแขนมา!”
“ไม่!”
พอเขาเสียงดัง ผมก็เสียงดังบ้าง เนวิลล์ย่นคิ้วยู่ ดูก็รู้เลยว่าเขาชักจะหงุดหงิดแล้ว แต่ยังเก็บอารมณ์อยู่
“ฉันจะบอกนายอีกครั้งว่า...ยื่น – แขน - มา”
“ฉันก็จะบอกนายอีกครั้งเหมือนกันว่า...ไม่ – ไม่ - ไม่”
“ฉันว่านายยื่นแขนให้เนวิลล์จะดีกว่า ไม่งั้นอย่าหาว่าฉันไม่เตือน” ร็อบบ์พูดขึ้นมาบ้าง ฟังยังไงก็ดูเหมือนคำขู่
ผมยู่หน้าลง ยิ่งเหลือบมองเห็นกำแพงคอนกรีตสูงชะลูดที่อยู่ตรงหน้า ผมก็รู้ว่าเวลาของผมคงจะเหลือไม่มากแล้ว ถ้าไม่ตายเพราะร่างกายมีปฏิกิริยากับยาต้านไวรัส ก็คงจะถูกยิงหัวตายหลังจากถูกตรวจเจอเชื้อไวรัสก่อนเข้าไปข้างใน ถ้าจะตายจริง ๆ ล่ะก็ อย่างที่ผมบอก ขอตายแบบครั้งเดียวไม่ทรมานด้วยการถูกยิงหัวดีกว่า ดูท่าทางแล้วถ้าตายด้วยยาต้านไวรัสอะไรนี่ คงจะทรมานสาหัสสากรรจ์แน่นอน
“ฉันก็ขอบอกอีกทีว่าไม่” ผมปฏิเสธชัดถ้อยชัดคำอีกครั้ง
“ก็แล้วแต่นะ ฉันเตือนนายแล้ว” ร็อบบ์ยักไหล่ไม่ยี่หระแล้วเมินใส่ผม
หลังจากนั้นเพียงเสี้ยววินาที แขนข้างขวาของผมก็ถูกกระชากออกไป ซึ่งคนที่กระชากไปก็ไม่ใช่ใครที่ไหน นอกจากเนวิลล์ ผมรีบกระชากกลับมากอดอกไว้ทันที
“บอกแล้วไงว่าไม่!”
ผมเกือบจะกระหยิ่มยิ้มอย่างผู้ชนะแล้ว ทว่าเนวิลล์กลับพุ่งเข้ามาฟาดสันมือลงบนต้นคอของผม ความปวดแปลบแล่นพล่านไปทั่วร่างจนผมมึนงงไปชั่วขณะ และก่อนที่ผมจะตั้งหลักได้ แขนของผมก็ถูกดึงไปอีกครั้ง แต่ไม่ได้ถูกดึงไปฉีดยาแต่อย่างใด ทว่าถูกดึงไปจับพลิกไพล่หลัง แล้วเนวิลล์ก็ใช้ตัวโถมทับลงมาให้ผมก้มลง ความเจ็บปวดทวีเพิ่มขึ้นไปอีกจนผมร้องโอยออกมา
“โอ๊ย... เจ็บ ๆ ๆ ยอมแล้ว ยอมให้ฉีดแล้ว...” ผมแทบจะไม่มีเสียงร้องขอชีวิตด้วยความเจ็บมันแผ่ซ่านจนแทบจะควบคุมร่างกายตัวเองไว้ไม่ได้
ยิ่งไปกว่านั้น ผมได้ยินเสียงเย็น ๆ จากเนวิลล์ดังขึ้นมาข้างหูดุจกับเสียงมัจจุราชที่พร้อมจะกระชากวิญญาณผมก็ไม่ปาน
“สายไปแล้ว ไบรอัน บรู๊ค...”
“โอ๊ย!”
ผมแหกปากร้องลั่นรถถังแทบจะทันทีที่สิ้นเสียงของเขา
ทำไมน่ะเหรอ...
ก็หมอนั่นเอาเข็มฉีดยาจิ้มบั้นท้ายผมเต็มแรงเลยน่ะเซ่! ไหนบอกว่าให้ฉีดที่ข้อพับแขนยังไงกันเล่า!
พอจัดการกับผมได้เรียบร้อย เนวิลล์ก็ถอยกลับออกมานั่งที่เดิม ถอดเข็มออกจากตัวกระบอกฉีดแล้วเก็บลงกล่องเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ขณะที่ผมค่อย ๆ บิดตัวกลับมานั่งให้เป็นปกติที่สุด พลางร้องโอดโอยกับความปวดระบมที่แล่นพล่านไปทั่วตัว
“บอกแล้วว่าอย่าหาว่าฉันไม่เตือน” ร็อบบ์หัวเราะร่วนทันทีที่เห็นใบหน้าเหยเกของผม
ก็ใครจะไปรู้ล่ะว่าไอ้ที่เตือนมันคือเรื่องนี้!
ผมแสร้งทำเป็นไม่สนใจเสียงหัวเราะที่ดังลั่น เหลือบมองเนวิลล์ที่ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างเคือง ๆ ให้ตายเถอะ เห็นตัวกว่าผมอย่างนี้ ใครจะไปรู้ว่ามือหนักเป็นบ้า
“มองอะไร หรืออยากจะโดนอีกเข็ม”
พอโดนผมมองนาน ๆ เข้า เนวิลล์ก็เปรยขึ้นมาโดยไม่มองหน้าผมแม้แต่น้อย ผมยังคงจ้องเขาอยู่และสังเกตเห็นในตอนนี้นี่เองว่าที่ต้นคอด้านซ้ายของเขามีรอยสักเป็นตัวอักษรอยู่ แต่ไม่ทันจะได้รู้ว่าคือตัวอะไร เขาก็เงยหน้าขึ้นมามองแล้วแสยะยิ้มเย้ยให้ สาบานได้เลยว่ารอยยิ้มบนหน้าหล่อ ๆ ของเขาเป็นรอยยิ้มที่กวนเส้นประสาทเท้าของผมมาก นี่ถ้าผมได้เจอกับเขาตอนไวรัสซียังไม่ระบาดล่ะก็ ป่านนี้ผมคงไม่รอช้า ท้าขึ้นเวทีมวยปล้ำไปเรียบร้อยแล้ว
“เนวิลล์นี่ตัวอันตราย อย่าได้คิดแหยมเชียว ไม่งั้นหมอนั่นอาจจะไม่หยุดแค่เอาเข็มจิ้มก้นนายแน่นอน” ร็อบบ์แกล้งกระซิบข้างหูผม ให้ผมได้มองหน้าเขาอย่างไม่สบอารมณ์
นี่จะมาขู่กันเพื่อ?! อย่างกับรู้ว่าผมคิดอะไรอย่างนั้นแหละ
หนำซ้ำ เนวิลล์ยังตอกย้ำคำพูดของร็อบบ์โดยการคว้าปืนขึ้นมาขัดไปมา พลางชำเลืองมองผมแล้วยิ้มเผล่
ให้ตายเถอะ ไม่มองก็ได้ อย่างน้อยผมก็ยังรักชีวิต ยังไม่อยากตายตอนนี้
ผมละสายตาออกจากเนวิลล์ ก่อนจะรู้สึกร้อนวูบวาบในร่างกายขึ้นมาอย่างประหลาด เดาได้ว่าต้องเป็นฤทธิ์ของยาต้านไวรัสที่ทำปฏิกิริยากับไวรัสในร่างกายผมแน่ ๆ มันร้อนราวกับถูกไฟเผา จนเหงื่อกาฬผมเริ่มไหลอาบทั่วร่าง หัวผมมึนงงขึ้นมาอีกครั้งจนผมแทบทรงตัวไม่อยู่ ผมกำมือแน่น ก้มหน้านิ่ง พยายามบังคับตัวเองให้ดูนิ่งและปกติมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ จนกระทั่งแพทริกขับรถถังเข้าใกล้บริเวณกำแพงเขตควบคุมโรคขึ้นเรื่อย ๆ
“นายโอเคมั้ย” ท่าทางผิดปกติของผมทำให้ร็อบบ์เอ่ยปากถามขึ้นมา
“โอเคสิ ฉันไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย” ผมรีบเงยหน้า หันไปบอกร็อบบ์อย่างรวดเร็ว
“แน่นะ?” เขาหรี่ตาลงเหมือนไม่เชื่อ ก็แน่ล่ะ เหงื่อเม็ดเป้งไหลท่วมหน้าอย่างนี้ คงจะสบายดีอยู่หรอก
“แน่สิ” ผมก็ยังคงโกหกไปอยู่ดี
ผมว่าร็อบบ์ไม่เชื่อแหละ แต่เขาคงไม่อยากจะเซ้าซี้ เลยว่าตามน้ำไป
“งั้นก็ดี ฉันจะได้ไม่ต้องห่วงว่านายจะเป็นอะไรไปเพราะฝีมือของมือขวาฉัน”
มือขวาที่ว่าคงจะหมายถึงเนวิลล์
“โอ๊ย แค่ฉีดยาแค่นี้ เรื่องจิ๊บ ๆ น่า มือขวานายมือเบาจะตาย หนังฉันหนา แค่นี้ไม่สะเทือนหรอก” ผมแสร้งว่าเหมือนกับตัวเองไม่เป็นอะไร ทั้งที่ตอนนี้ธาตุจะแตกอยู่รอมร่อ ไหนจะความปวดแปลบที่เนวิลล์ทิ้งไว้ให้ผมอีก
กระนั้นผมก็แสร้งฉีกยิ้มที่คิดว่าดูเป็นธรรมชาติมากที่สุดออกมาเมื่อเนวิลล์ชำเลืองตามามอง พอเขาเลิกสนใจ ผมก็กลับมานั่งนิ่งครู่เดียว ความร้อนวูบวาบในกายก็หายไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมโล่งใจขึ้นมาทันทีที่ยาต้านไวรัสไม่ได้มีปฏิกิริยากับไวรัสในร่างกายผมมากไปกว่านี้ แต่ผมก็ต้องมาปวดขมับอีกระลอกเมื่อเห็นแพทริกขับรถถังมาจอดอยู่หน้าปากทางเข้าเขต
“ถึงแล้ว” แพทริกว่า
เหงื่อเม็ดโตพร้อมใจกันหลั่งไหลออกจากทุกอณูรูขุมขนอีกครั้งจนเสื้อผ้าที่ผมใส่อยู่เปียกชุ่ม และผมก็ต้องใจเต้นระรัวเป็นกลองดุริยางค์เมื่อเห็นซอมบี้ฮันเตอร์สิบกว่านายที่แต่งตัวต่างจากพวกผมพากันกรูเข้ามาที่รถถังพร้อมกับอาวุธปืนในมือ แล้วจ่อมันมาที่รถ
“ทิ้งอาวุธ แล้วค่อย ๆ ออกมาข้างนอกทีละคน!”
เสียงของใครบางคนด้านนอกดังขึ้น เป็นสัญญาณให้ร็อบบ์พยักหน้าบอกให้ทุกคนทำตาม ก่อนที่เขาจะเป็นคนแรกที่ออกไป ตามด้วยแอนนาเบล แพทริก และเนวิลล์
พอผมเห็นร็อบบ์ถูกซอมบี้ฮันเตอร์คนหนึ่งเอาไม้สแกนที่มีลักษณะคล้ายกับที่ใช้ตรวจหาโลหะในสนามบินมาวาดไปมาตามตัวเขา ผมก็กลืนน้ำลายเอื้อกทันที ด้วยผมรู้ว่ามันคือเครื่องตรวจหาเชื้อไวรัส เพราะผมเคยถูกซอมบี้ฮันเตอร์ใช้มันตรวจร่างกายก่อนซึ่งตอนนั้นโชคดีที่มันตรวจไม่พบ แต่ครั้งนี้ ผมไม่แน่ใจว่ามันจะตรวจเจอหรือเปล่า ด้วยเชื้อมันลุกลามมากกว่าเมื่อปีก่อนอยู่มาก ยิ่งเห็นร็อบบ์ถูกตรวจดวงตาด้วยเครื่องมืออีกอย่างที่ผมไม่เคยเห็นด้วยแล้ว ความกังวลก็ผุดพรายขึ้นในใจผมอีกครั้ง
ทำไมครั้งนี้ตรวจละเอียดจังวะ?
ผมกลัวเหลือเกินว่าจะถูกจับได้ว่าเป็นซอมบี้ ทำให้ผมรีบคว้าข้อเท้าของเนวิลล์ที่กำลังจะออกจากรถไว้ทันที
“ฉันไม่ลงไปได้มั้ย”
“พูดบ้าอะไรของนาย” เขาชะงัก หันมามองผมด้วยสีหน้าหงุดหงิด
“ฉันถามว่าฉันไม่ลงไปได้มั้ย แบบว่า... ฉันกลัวว่าฉันจะถูกทำโทษน่ะ” ผมโกหกอีกแล้ว ตั้งแต่เจอเจ้าพวกนี้ ผมโกหกเป็นครั้งที่เท่าไหร่ของวันแล้วเนี่ย
