บท
ตั้งค่า

Episode 01: Survivor【1】

[Richie’s Part]

เสียงขู่กรรโชกที่ดังผ่านประตูโกดังร้างมาให้ได้ยิน ทำให้ผมที่ต้องรีบซุกตัวลงในกล่องไม้ซึ่งเป็นกล่องขนาดใหญ่สำหรับบรรจุสินค้า ปิดฝาขังตัวเองอยู่ภายในและพยายามเก็บเสียงให้เงียบที่สุดเพื่อไม่ให้ไอ้พวกตัวที่อยู่ด้านนอกมันรู้ว่ายังมีผมอยู่ข้างในโกดังร้างแห่งนี้

ผมใช้ชีวิตอยู่ที่นี่มาตั้งแต่เมื่อหกเดือนก่อนหลังจากที่ไวรัสนรกที่ชื่อว่าไวรัสซีระบาดไปทั่วโลกเมื่อปลายปีที่แล้วหลังจากที่มันเริ่มกระจายในแถบทวีปแอฟริกาก่อนหน้านั้นสามปี ที่นี่เปรียบเสมือนบ้านหลังที่สองและบ้านหลังสุดท้ายของผมในสถานการณ์ที่ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะมาถึงมั้ย จากประสบการณ์ในการอยู่ที่นี่ตลอดหกเดือน ทำให้ผมรู้ว่าไอ้พวกตัวที่เดินเกลื่อนอยู่ข้างนอกนั้นมันประสาทสัมผัสดีต่อสิ่งเร้าเพียงสองอย่างเท่านั้น นั่นก็คือเสียงและกลิ่น

สำหรับกลิ่นน่ะ ผมไม่ค่อยเป็นกังวลนักเพราะโกดังนี้ค่อนข้างทึบ ดูอย่างไรก็น่าจะเก็บกลิ่นได้ดี แถมเมื่ออาทิตย์ก่อน ผมเพิ่งจะได้เสื้อเครื่องแบบของซอมบี้ฮันเตอร์หน่วยหนึ่งที่เอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่มาใส่ คราบเลือดและเศษเนื้อที่เปรอะเปื้อนบนเสื้อนั้นพอจะกลบกลิ่นดั้งเดิมของผมไปได้บ้างเมื่อผมมีกลิ่นช้ำเลือดช้ำหนองไม่ต่างจากพวกมัน ส่วนเรื่องเสียงนั้นเป็นสิ่งที่ผมต้องระวังเป็นอย่างยิ่ง หากมีเสียงดังขึ้นเมื่อไหร่ พวกมันก็พร้อมจะพังโกดังและบุกเข้ามาเขมือบผมอย่างไม่รีรอทันที

ทำไมพวกมันถึงจะบุกมาเขมือบผมน่ะเหรอ?

ก็เพราะพวกมันไม่ใช่คน แต่เป็นซากศพเดินได้ หรือที่เรียกกันทั่วไปว่าซอมบี้ไง

ใช่แล้วล่ะ ผมกำลังพูดถึงซอมบี้ ซอมบี้ที่กินคนเป็น ๆ ได้หน้าตาเฉยน่ะ

น่าตกใจใช่มั้ยที่สิ่งที่คุณเคยเห็นในภาพยนตร์มันมาเกิดขึ้นในชีวิตจริง แถมพอเกิดขึ้นแล้ว รัฐบาลทั่วโลกก็ทำอะไรมันไม่ได้เหมือนกับที่ภาพยนตร์พวกนั้นคุยโวไว้สักนิด ทั้งยาต้านไวรัส ทั้งยารักษา หาต้นตอที่มาของไวรัสยังทำไม่ได้ด้วยซ้ำ ที่พวกนั้นทำได้อยู่อย่างเดียวก็คือ การส่งหน่วยทหารที่ถูกเรียกว่า ‘ซอมบี้ฮันเตอร์’ ออกตามหาผู้รอดชีวิตให้ไปอยู่ในเขตควบคุมโรคที่กระจายอยู่ตามจุดต่าง ๆ ของเมือง

ที่ผมรู้ว่ามีพวกทหารพวกนี้ออกลาดตระเวนตามหาผู้รอดชีวิต ก็เพราะผมได้ยินเสียงประกาศจากเครื่องกระจายเสียงของทหารลาดตระเวนพวกนั้นเกือบทุกอาทิตย์ แต่ไม่เคยมีครั้งไหนที่หน่วยลาดตระเวนพวกนั้นจะฝ่าดงซอมบี้ที่ออกันอยู่ข้างหน้าโกดังขนาดใหญ่แห่งนี้มาเจอตัวผมได้ ก็ในที่ที่ผมอยู่ มันเป็นโกดังร้างที่อยู่ในส่วนลึกสุดของโกดังเก็บสินค้าหลังห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง และถูกปิดตายโดยฝีมือผมหลังจากที่ผมหนีพวกนรกนั่นมาลงหลักปักฐานตั้งแต่ช่วงที่ไวรัสระบาดใหม่ ๆ ด้วยคิดว่าสถานที่แห่งนี้มันน่าจะปลอดภัยที่สุดแล้ว

โอเค สารภาพตามตรงก็ได้ว่าผมไม่ได้ตั้งใจจะมาอยู่ที่นี่ แต่บังเอิญรถของทางการที่ขนผู้รอดชีวิตจากการระบาดของไวรัสเมื่อปลายปีที่แล้วซึ่บรรทุกผมมาด้วยถูกจู่โจมโดยพวกติดเชื้อ ทำให้คนเกือบทั้งคันรถไม่รอดชีวิต จะมีก็แต่ผมนี่แหละที่วิ่งหนีออกมาจากขุมนรกนั้นได้ ก่อนจะทะเล่อทะล่ามาเจอโกดังร้างนี่ แล้วจัดการปิดตาย ขังตัวเองอยู่ในนี้ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ถึงผมจะไม่เคยออกไปด้านนอกเลยตั้งแต่ตอนนั้น ผมก็พอจะเดาได้ว่าข้างนอกนั้นคลาคล่ำไปด้วยพวกซากศพเดินได้มากมายแค่ไหน เพราะถ้าไม่เยอะจนฝ่าเข้ามาไม่ได้ ป่านนี้พวกซอมบี้ฮันเตอร์คงจะบุกเข้ามาด้านใน และเจอตัวผมไปแล้วเรียบร้อย

จริง ๆ แล้วก็เคยมีซอมบี้ฮันเตอร์หน่วยหนึ่งบุกเข้ามาถึงที่นี่เหมือนกันนะ ล่าสุดก็เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว น่าเสียดายที่พวกนั้นเข้ามาได้ลึกสุดแค่ด้านหน้าโกดัง ก่อนจะถูกซอมบี้จัดการกินโต๊ะราบคาบเป็นหน้ากลอง แต่ก็ดีแล้วล่ะที่เข้ามาไม่ถึง เพราะไม่อย่างนั้นพวกนั้นคงจะต้องเจอผมแล้วอาจจะต้องสงสัยแน่ว่าทำไมผมถึงมาอยู่ในนี้ ดีอีกอย่างที่พวกนั้นไม่ได้สละชีวิตโดยเสียเปล่า ยังเหลือเศษซากเสื้อผ้าให้ผมได้เอาไว้ใช้อำพรางกลิ่นของตัวเอง

ก็บอกแล้วใช่มั้ยล่ะว่าเมื่ออาทิตย์ก่อน ผมเพิ่งจะได้เสื้อเครื่องแบบของซอมบี้ฮันเตอร์มาใส่ ทำใจกล้าเปิดประตูเหล็กออกไปคว้ามาตอนที่พวกซอมบี้หน้าโกดังถูกเบี่ยงความสนใจไปยังพวกซอมบี้ฮันเตอร์หน่วยอื่นที่พยายามจะบุกเข้ามาข้างใน แน่นอนว่าพวกนั้นก็ไม่รอดเช่นเดียวกัน ส่วนซอมบี้ฮันเตอร์ที่เป็นเจ้าของเสื้อที่ผมใส่ หมอนั่นมีชื่อว่า ‘ไบรอัน บรู๊ค’ หน้าตาเป็นยังไงไม่ต้องถาม เศษซากอะไรก็ไม่เหลือให้เห็น และที่ผมตัดสินใจเอาเสื้อของเขามาใส่ก็เพราะว่าผมรู้ว่าซอมบี้พวกนั้นมันไวต่อกลิ่นและเสียง ผมจึงพยายามทำตัวกลมกลืนโดยการปกปิดกลิ่นตัวเอง กลิ่นเลือดผสมกลิ่นน้ำลายของซอมบี้ทำให้ผมอยู่อย่างสงบสุขตลอดทั้งอาทิตย์ ไม่มีซอมบี้ตัวไหนมาเกาประตูแกรก ๆ พยายามจะเข้ามากินสมองผมเหมือนหกเดือนก่อนเลยแม้แต่น้อย

ผมจำเป็นต้องทำแบบนี้แม้ว่าผมจะไม่อยากทำด้วยมันชวนขยะแขยงสุดทน และแม้ว่าผมเองก็ติดเชื้อ เป็นซอมบี้ไม่ต่างจากพวกมันก็ตาม

ใช่แล้ว... ผมเองก็เป็นซอมบี้ แต่อย่าเพิ่งงงว่าทำไมผมถึงบอกว่าตัวเองเป็นซอมบี้ ทว่ายังมีความคิดและสติสัมปชัญญะครบถ้วน ต่างจากพวกซอมบี้ที่อยู่ด้านนอกนั่น ผมจะอธิบายให้เข้าใจได้คร่าว ๆ แล้วกันว่าซอมบี้ที่เกิดจากเชื้อไวรัสซีเนี่ย ผมแยกมันออกเป็นสองประเภทตามความเข้าใจของผม

ประเภทแรกคือ พวก ‘คอมพลีทซอมบี้’ เป็นซอมบี้ที่คุณเห็นได้ทั่วไปตามท้องถนน พวกนี้จะติดเชื้อจากการถูกคอมพลีทซอมนี้ตัวอื่นกัดเลยทำให้แปรสภาพเป็นคอมพลีทซอมบี้ตาม ลักษณะทางกายภาพเด่น ๆ ของพวกนี้คือ เป็นซากศพที่ยังเคลื่อนไหวได้ ส่วนกิจวัตรประจำวันก็ไม่ต้องถาม แน่นอนว่าต้องจ้องหาพวกที่รอดชีวิต แล้วจัดการเขมือบให้ไม่เหลือซากอยู่แล้ว

ส่วนซอมบี้อีกประเภท ผมเรียกมันว่า ‘แรร์ซอมบี้’

ซอมบี้ประเภทนี้จะต่างจากคอมพลีทซอมบี้อย่างสิ้นเชิง เพราะไม่ได้ติดเชื้อไวรัสซีจากการถูกกัด แต่เป็นเพราะกินน้ำลายของซอมบี้เข้าไปต่างหาก ดังนั้น ลักษณะทางกายภาพจะไม่เหมือนกับคอมพลีทซอมบี้ ยังเหมือนกับคนปกติทุกประการ แต่บางส่วนของร่างกายจะเริ่มออกอาการที่เรียกว่า ‘เน่า’

จะเรียกว่าอยู่ในสภาพกึ่งเป็นกึ่งตายก็ได้ ส่วนเรื่องที่ผมบอกว่าเน่า มันก็ไม่ใช่ว่าเน่าแบบซากศพพวกนั้นหรอกนะ มันออกจะเหมือนรอยช้ำที่เป็นปื้นขนาดใหญ่ราวกับถูกกระแทกมาอย่างรุนแรงมากกว่า มันไม่มีกลิ่น มีแต่สีที่คล้ำขึ้นทีละน้อยเท่านั้น และอาการของมันก็กำเริบช้ากว่าการเน่าเปื่อยของซากศพจริงๆ อยู่หลายเท่า เพราะผมคอบสังเกตอาการของตัวเองตลอดระยะเวลาที่อยู่ในสภาพอย่างนี้มากว่าครึ่งปี

ใช่... ผมก็เป็นซอมบี้ประเภทนี้

และที่ผมเรียกซอมบี้ประเภทเดียวกับผมว่าแรร์ซอมบี้ ก็เพราะผมคิดว่า มันจะมีสักกี่คนเชียวที่โคตรจะซวยที่ไปกินน้ำลายซอมบี้อย่างไม่ได้ตั้งใจแบบนั้น คือ...ความจริงอาจจะมีแรร์ซอมบี้ที่ติดเชื้อด้วยวิธีการอย่างอื่นที่ไม่ได้กินน้ำลายก็ได้ แต่สำหรับกรณีผม มันเริ่มต้นด้วยสาเหตุแบบนี้น่ะ

ถ้าอยากจะรู้ว่าผมไปเขมือบน้ำลายซอมบี้มาได้ยังไง ผมคงต้องขอเล่าย้อนไปเมื่อปีที่แล้วในตอนที่ผมยังเป็นนักศึกษาและเป็นนักกีฬามวยปล้ำสุดฮ็อตประจำมหาวิทยาลัยสักหน่อย ช่วงนั้นชีวิตของผมดูดีแทบจะทุกอย่าง ผมเป็นที่หมายปองของสาว ๆ เป็นที่อิจฉาของหนุ่ม ๆ ในมหาวิทยาลัย แต่ความซวยมันมาบังเกิดตอนที่ผมลงแข่งมวยปล้ำในการแข่งขันกีฬามหาวิทยาลัย ใครจะไปรู้ล่ะว่าขณะที่ผมซัดกับคู่ต่อสู้นัวเนีย จู่ ๆ จะมีซอมบี้ฝูงใหญ่บุกเข้ามาในโรงยิม หนำซ้ำ ซอมบี้ตัวหนึ่งยังพยายามจะกินผมโดยการจับผมทุ่มลงบนพื้น ล็อคแขนล็อคขา ตั้งท่าจะกินสมอง แล้วมีหรือที่นักมวยปล้ำอย่างผมจะยอมถูกล็อค แล้วให้มันกินสมองง่ายๆ แน่นอนว่าผมสู้สุดกำลัง บีบคอซอมบี้ตัวนั้นจนมันทำน้ำลายยืดใส่ปากผมที่อยู่ใต้ร่าง

นั่นแหละ ความอภิมหาซวยเลยบังเกิดตั้งแต่วินาทีนั้น

ตอนที่ติดเชื้อใหม่ ๆ ผมยังไม่มีอาการใด ๆ ที่บ่งบอกว่าติดเชื้อสำแดงออกมา เลยทำให้เครื่องสแกนตรวจหาเชื้อไวรัสของทางรัฐหาเชื้อไวรัสในตัวผมไม่เจอ ผมเลยรอดจากการถูกเหล่าซอมบี้ฮันเตอร์เป่าสมอง และได้ถูกพาอพยพไปกับผู้รอดชีวิตคนอื่น ๆ เพื่อไปอยู่ในที่ปลอดภัย แต่จนแล้วจนรอด ก็ไม่มีใครไปถึงเขตควบคุมโรคตามที่หวัง โดนฝูงซอมบี้ดักเล่นงานเสียก่อน ส่วนผมก็รอดตาย แล้วก็กลายมาเป็นครึ่งคนครึ่งซากศพอย่างที่เห็น

เหมือนจะโชคดีที่รอดมาได้นะ แต่ไม่...ไม่เลย การอยู่ในสภาพกึ่งเป็นกึ่งตาย นอกจากจะต้องคอยหลบจากพวกคอมพลีทซอมบี้ที่จ้องจะกินผมแล้ว ผมยังจะต้องคอยระวังพวกซอมบี้ฮันเตอร์ด้วย เพราะเจ้าพวกนี้จะไม่ฟังอะไรทั้งนั้น ถ้าเห็นว่าติดเชื้อ หนทางเดียวที่พวกนั้นจะทำก็คือ... เป่าสมองผู้ติดเชื้อก่อนที่จะกลายเป็นซอมบี้ นึ่คือทางเดียวที่ทางรัฐทำการรักษาเยียวยาผู้ติดเชื้อ

ผมรู้ดีและจำขึ้นใจแม้ว่ารัฐบาลจะไม่ได้ประกาศ เพราะผมเคยเห็นซอมบี้ฮันเตอร์นายหนึ่งจัดการสังหารผู้ติดเชื้อที่นั่งรถมากับผมในครั้งนั้นทันทีที่รู้ว่าเขาติดเชื้อ เหตุผลง่าย ๆ คือ ถ้าไม่ชิงลงมือฆ่าก่อน ผู้ติดเชื้อรายนั้นก็จะแปรสภาพและมาฆ่าพวกที่ไม่ได้ติดเชื้อในภายหลัง

ผมก็เข้าใจนะ แต่ก็อดหวั่นใจไม่ได้เลย และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำให้ผมไม่ยอมติดต่อพวกหน่วยลาดตระเวน ด้วยกลัวว่าจากการขอความช่วยเหลือ จะกลายเป็นการขอความตายให้ตัวเองแทน ผมจึงเลือกที่จะใช้ชีวิตอย่างนี้จนกว่าจะมั่นใจว่าทางการคิดค้นยารักษาได้สำเร็จ แล้วค่อยออกไปเผชิญโลกอีกครั้ง

แต่ก็ใช่ว่าการเป็นแรร์ซอมบี้มันจะไม่ดี มันมีดีอย่างหนึ่งคือาสภาพร่างกายที่เปลี่ยนไปทำให้ความอยากอาหารนั้นหมดไปโดยสิ้นเชิง จึงกลายเป็นว่าไม่กิน ก็ยังมีชีวิตอยู่ได้แม้ว่าจะอยู่โดยไม่มีเสบียงอาหาร และไม่เพียงแต่ความอยากอาหารเท่านั้นด้วยนะที่หายไป ความรู้สึกทางกายภาพเหมือนมนุษย์ปกติก็หายไป ไม่หายไปทั้งหมดก็เกือบจะไม่รับรู้ เช่นพวกความง่วง ความเหนื่อยอะไรอย่างนี้ พวกนี้ยังรู้สึกอยู่บ้างแต่ก็น้อย ที่ยังรู้สึกได้ชัดเจนกว่าใครเพื่อนก็คือ ความเจ็บปวดที่เหมือนจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดินเลย ซ้ำยังโชคดีที่ขนาดของร่างกายไม่ลดลงไปจากเดิมแต่อย่างใดเมื่อไม่ได้กินอาหาร อวัยวะทุกส่วนยังคงดูปกติเหมือนเดิมทุกประการไม่ต่างจากตอนที่ผมยังไม่ได้ติดเชื้อเลยแม้แต่น้อย เลยทำให้ผมไม่ดูเหมือนซอมบี้อย่างที่ควรจะเป็นนัก

มันก็ดีแหละ ผมเองก็ไม่อยากดูเหมือนซากศพเดินได้ทั้งที่หน้าตาหล่อเหลาเอาการอย่างนี้นักหรอก

ผมขยับตัวอีกครั้งเมื่อเห็นว่าเสียงของซอมบี้ที่ด้านนอกพวกนั้นเริ่มเงียบลงอีกครั้ง พอจะเดาได้ว่ามันเงียบลงเพราะอะไร ก็เบนเข็มไปทางอื่นน่ะ เมื่อกี้ได้ยินเสียงเหมือนมีหน่วยลาดตระเวนบุกมา พวกซอมบี้ฮันเตอร์พวกนี้ก็เหมือนจะไม่เข็ด รู้ทั้งรู้ว่ามาก็ตายเปล่าก็ยังจะมากันอีก

ผมนั่งนิ่งสักครู่กระทั่งมั่นใจว่าไม่มีพวกมันตัวไหนอยู่หน้าประตูอีกแล้ว ก็กระโดดออกมาจากกล่องไม้ คว้าบุหรี่ที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อขึ้นมาจุดสูบ

อ้อ ผมลืมบอกไปใช่มั้ยว่าโกดังสินค้านี้เป็นโกดังบุหรี่ ที่ผมต้องดูดมัน ไม่ใช่ว่าเพราะติดบุหรี่ แต่เป็นเพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ผมเบาใจได้ว่าผมยังมีความเป็นคนหลงเหลืออยู่แม้ว่าลิ้นของผมจะรับรู้รสชาติของมันไม่ได้เลยก็ตาม ส่วนไฟแช็กนั้นไม่ต้องจับผิดนะว่าผมเอามาจากไหน ในโกดังมีลังบุหรี่ แน่นอนว่ามันต้องมีลังไฟแช็กด้วย

ผมอัดควันบุหรี่เข้าไปเต็มปอด ก่อนจะคืบมันเอาไว้ในปาก เลื่อนมือมาแกะกระดุมเสื้อบนตัวออกเล็กน้อย ให้พอมองเป็นบริเวณหน้าอกข้างซ้ายที่เป็นสีม่วงคล้ำ รอบข้างมีเส้นเลือดสีม่วงเข้มปรากฏเป็นวงกว้าง ดูเผิน ๆ แล้วเหมือนกับรากต้นไม้ที่แตกกิ่งก็ไม่ปาน

ผมละมือข้างหนึ่งไปคว้าบุหรี่มาลองจี้ลงไปบนผิวเนื้อนั่นจนมันกลายเป็นรู เลือดสีเกือบจะดำสนิทไหลซึมผ่านบาดแผลนั้นเล็กน้อย ผมไม่ได้สนใจเลยว่ามันจะเปรอะเปื้อนเสื้อหรือเปล่า นอกจากจะรู้สึกสลดขึ้นมาเมื่อตระหนักได้ว่าผมไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไรเลยแม้แต่น้อย

ไม่รู้สึกเจ็บปวดก็แค่จุดนี้ จุดที่มีเนื้อเน่า ๆ ส่วนบริเวณอื่นยังรู้สึกเจ็บปวดตามปกติ

ผมถอนหายใจยาว จริง ๆ ก็รู้อยู่ว่าผิวเนื้อบริเวณนั้นมันไร้ซึ่งความรู้สึกไปแล้ว แต่ผมก็ยังอยากทำให้ตัวเองมั่นใจว่าผมยังไม่ได้กลายเป็นซากศพ ผมจึงย้ายมือที่คีบบุหรี่มายังหน้าอกอีกข้างที่ยังไม่ถูกไวรัสนรกนั่นกัดกิน และทันทีที่ไฟสีแดงบริเวณปลายบุหรี่สัมผัสลงไปบนผิวเนื้อ ผมก็สะดุ้งโหยงเมื่อสัมผัสได้ถึงความแสบร้อน

ผมหยักยิ้มออกมาเมื่อเห็นรอยเนื้อแดงเถือกจากการถูกบุหรี่จี้ อย่างน้อย ผมก็เบาใจได้อีกวันละว่าผมยังไม่กลายเป็นซอมบี้อย่างสมบูรณ์

ผมยกบุหรี่นั้นกลับมาสูบอีกครั้งด้วยอารมณ์ที่ดีขึ้น ก่อนจะชะงักเมื่อได้ยินเสียงคุ้นหูดังแว่วออกมาจากด้านนอก

“ประกาศจากทางกองทัพ ถึงผู้ที่ยังรอดชีวิตและซ่อนตัวอยู่ ขอให้พวกท่านส่งสัญญาณวิทยุหรือสัญญาณชีพต่าง ๆ ให้หน่วยซอมบี้ฮันเตอร์ได้รับทราบ พวกเราจะส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปช่วยเหลือท่าน ขอให้พวกท่านรับทราบโดยทั่วกัน”

ผมลอบถอนหายใจ ภาวนาขอให้ซอมบี้ฮันเตอร์หน่วยนั้นไปพบพระผู้เป็นเจ้าโดยสงบล่วงหน้า ก่อนตั้งท่าดูดบุหรี่ต่อจนหมดมวน ดูดเสร็จก็ทำท่าจะไปซ่อนตัวในกล่องสินค้าอีกครั้ง ทว่าในจังหวะที่ผมกำลังจะหย่อนตัวลงไปในกล่อง เสียงดังตูมก็ทำเอาผมกระโดดเหย็ง ก่อนมันจะตามมาอีกหลายต่อหลายครั้ง จนผมรู้สึกได้ถึงความผิดปกติจากด้านนอก

ปกติแล้วมันต้องเป็นเสียงกรีดร้องโหยหวนของพวกซอมบี้ฮันเตอร์สิ ทำไมวันนี้ถึงได้เป็นเสียงคล้ายกับปืนขนาดใหญ่รัวกระสุนอย่างนี้ล่ะ?

สงสัยไม่ทันไร ผมก็ต้องรีบทิ้งตัวลงไปในกล่องสินค้าเมื่อประตูโกดังเหล็กที่ผมชำเลืองมองอยู่สั่นไหวด้วยแรงปะทะอย่างรุนแรง

ตูม!

อย่าบอกนะว่าพวกซอมบี้ฮันเตอร์พวกนั้นกำลังจะพังประตูเข้ามา!?

ยังไม่ทันจะได้คำตอบ แรงกระแทกก็ปะทะกับประตูอีกครั้ง ก่อนที่ประตูโกดังซึ่งถูกปิดตายจากด้านในจะถูกทำลายลงในพริบตา แทนที่ด้วยแสงสว่างเรืองรองของดวงอาทิตย์ด้านนอกและรถถังคันใหญ่ น่าตกใจกว่านั้นคือบริเวณพื้นที่รอบ ๆ นั้นเกลื่อนกลาดไปด้วยซากศพซอมบี้ที่ดูไม่ออกว่าส่วนไหนเป็นส่วนไหน

ผมมองการทำลายล้างนั้นอย่างตะลึงงัน ใจหล่นวูบไปอยู่ตาตุ่มทันทีเมื่อประจักษ์ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นด้านนอกเมื่อครู่ พร้อมกับความคิดหนึ่งที่แวบขึ้นมาในหัวฉับพลัน

ซะ...ซอมบี้ฮันเตอร์บุกเข้ามาได้แล้ว เวรเอ๊ย! ซวยแล้ว!

[Navy’s Part]

ไม่มีอะไรสะใจได้เท่ากับการได้เห็นซอมบี้พวกนั้นโดนยำเละอีกแล้ว

ผมสะใจไม่น้อยที่เห็นพวกซอมบี้ที่ล้อมหน้าล้อมหลังรถถังที่ผมนั่งมาแตกกระเจิงไปคนละทิศละทางเมื่อถูกปืนใหญ่จากรถถังสาดใส่ไม่ยั้งจนร่างกระจุยกระจายไม่เหลือชิ้นดี เลือดสีแดงคล้ำสาดใส่กระจกซึ่งเป็นทางเดียวที่จะทำให้คนด้านในรถถังมองเห็นได้เสียมิด จนพลขับที่อยู่หน้าสุดร้องออกมาเสียดัง ไม่ใช่เพราะว่าเขาขยะแขยงกับสิ่งที่ได้เห็น แต่เป็นเพราะหัวเสียที่เลือดพวกนั้นทำให้วิสัยทัศน์ในการขับรถถังของเขาไม่สะดวกต่างหาก ทว่าผมก็ไม่ได้สนใจสิ่งที่เขาบ่นสักเท่าไหร่นัก นอกจากเพ่งมองภาพโกดังเก่า ๆ ของห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งที่ได้ชื่อว่าเป็นสถานที่ที่ไม่ว่าซอมบี้ฮันเตอร์หน่วยไหนบุกเข้าไป จะไม่มีโอกาสได้รอดชีวิตออกมา

ยกเว้นซอมบี้ฮันเตอร์หน่วยของผม...

ใช่ครับ ผมเป็นซอมบี้ฮันเตอร์ ทหารที่แปรสภาพมาเป็นมือปราบซอมบี้หลังจากที่ไวรัสซีระบาดไปทั่วโลก แต่ผมไม่ได้เป็นซอมบี้ฮันเตอร์เต็มตัวหรอกนะ เรียกว่าเป็นซอมบี้ฮันเตอร์ฝึกหัดดีกว่า เพราะหน่วยที่ผมประจำการอยู่มีชื่อว่า ‘ซอมบี้ฮันเตอร์กองร้อยสำรอง’ ซึ่งเป็นกองร้อยซอมบี้ฮันเตอร์ที่ทางกองทัพจะเกณฑ์เอาเยาวชนมาฝึกให้พร้อมทำภารกิจของกองทัพ หรือพูดง่าย ๆ ก็คือเป็นกำลังสำรองของกองทัพโดยแบ่งออกเป็นกองร้อยซอมบี้ฮันเตอร์สำรองรุ่นเล็ก สำหรับเยาวชนอายุ 15-19 ปี พวกนี้จะไม่ได้รับอนุญาตให้ออกลาดตระเวน นอกจากฝึกในเขตเท่านั้น และอีกกลุ่มหนึ่งคือกองร้อยซอมบี้ฮันเตอร์สำรองรุ่นใหญ่ สำหรับเยาวชนอายุ 20-24 ปี ซอมบี้ฮันเตอร์ประเภทนี้มีการเริ่มออกลาดตระเวน พออายุครบกำหนด 25 ปีเต็ม ก็จะถูกโอนย้ายไปยังกองร้อยซอมบี้ฮันเตอร์ที่เป็นกำลังหลักแทน

การเป็นซอมบี้ฮันเตอร์นั้นล้วนมาจากความสมัครใจทั้งสิ้น และแน่นอนว่าผมก็เป็นหนึ่งในนั้นที่สมัครใจมาร่วมฝึกเมื่อสามปีก่อน หลังจากที่พ่อกับแม่ของผมซึ่งเป็นผู้อพยพมาจากประเทศไทยมายังอเมริกาด้วยความช่วยเหลือของเพื่อนพ่อที่เป็นนายพลประจำกองทัพสหรัฐ

ทำไมพ่อผมถึงได้รู้จักกับคนใหญ่คนโตอย่างนั้นน่ะเหรอ? นั่นก็เพราะพ่อผมเป็นอดีตเพื่อนนักเรียนของนายพลคนนั้น ก่อนพ่อผมจะแยกย้ายกลับมาประจำการที่กองทัพเรือในประเทศไทยหลังเรียนจบ และการที่มีพ่อเป็นทหารเรือ มันจึงเป็นที่มาของชื่อผม... นาวี

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel