Episode-07 คุณแม่ลูกสอง
“แม่ น้องกินขนมได้ไหม” น้ำขิงถามขึ้น ในมือมีจานคุกกี้ค่ะ
“กินได้ แต่น้องจะกินไหมนั่นอีกเรื่องหนึ่ง”
“กินไหม อันนี้อร่อยมาก” ไม่พูดเปล่าน้ำขิงยังทำท่าทีกินอย่างเอร็ดอร่อยอีกด้วย จะรู้บ้างไหมว่าน้องยังเล็กเกินไปที่จะรู้เรื่อง
“วินครับ ขวดนมอยู่ไหน”
“...”
“น้องวิน”
“...”
ไม่มีการตอบรับใด ๆ ทั้งสิ้นค่ะ เรียกไม่หันด้วย เห็นแบบนั้นฉันจึงนั่งลงตรงหน้าเขา เขามองนะคะแต่ไม่ยอมพูด
“พี่ขอขวดนมค่ะ ขวดนมน้องอยู่ไหน” ฉันพูดย้ำถึงสองครั้งกว่าเขาจะเข้าใจในสิ่งที่ฉันพูดและหยิบขวดนมมาให้ฉัน “ขอบคุณครับ”
นานหลายนาทีที่ฉันสังเกตเขา อาการนี้คือติดจอแน่นอนไม่พูดไม่คุย เรียกไม่หัน แต่ตาดูหูฟังนะ
“หนูดูอะไรอยู่” ฉันถามน้ำขิงที่นั่งเล่นมือถืออยู่ใกล้ ๆ
“สารคดีค่ะ แต่ก่อนหน้านี้หนูเล่นเกมส์” แน่นอนว่าไม่ใช่แค่น้ำขิงที่กำลังสนใจสิ่งเหล่านั้น
“อุ๊!” เสียงเล็กดังขึ้นพร้อมกับชี้นิ้วน้อย ๆ ไปที่หน้าจอเมื่อเห็นสัตว์ทะเลสีสวย
“ปลา” น้องวินมองหน้าฉัน เห็นแบบนั้นฉันจึงพูดซ้ำอีกครั้ง “ปลา...นี่คือปลาครับ” เขามองปากฉันและพยายามจะเปล่งเสียงเลียนแบบอยู่หลายครั้งแต่มันก็ไม่สำเร็จ
“น้องจะพูดตามแม่แล้ว”
“เย็นแล้วไปอาบน้ำกันดีกว่า” บอกทั้งคนพี่และคนน้อง
ฉันจัดการย้ายเสื้อผ้าของน้องวินมาไว้ที่ห้องตัวเองแล้วเรียบร้อย รวมไปถึงตะกร้านมก็ด้วย เหลือเพียงเจ้าตัวนี่แหละที่ยังนั่งมึนอยู่
“ไปครับ อาบน้ำ”
“น้ำ” เสียงเล็กดังขึ้นอีกครั้ง เขาพูดตามฉันได้เพียงคำเดียว อีกทั้งยังก้มมองชุดที่ตัวเองสวมใส่อยู่ด้วย เหมือนเขาเข้าใจนะคะว่าอาบน้ำคืออะไร
“ใช่ค่ะ อาบน้ำ” ฉันว่าพลางยื่นมือไปให้เขาจับเพื่อจะจูงมือให้เขาเดินตามฉัน “น้องอย่าลืมถือผ้าเน่ามาด้วยค่ะ”
“เน่า”
“ใช่ เน่ามากด้วย” น่าจะเป็นคราบนมที่เลอะอยู่ แต่ปล่อยไปก่อนเดี๋ยวค่อยแอบซักทีหลัง
ระหว่างที่ฉันจูงมือน้องวินอยู่ต้องเดินผ่านห้องทำงานคุณธัญค่ะ มันเป็นห้องกระจก เหมือนเขากำลังพูดคุยเรื่องสำคัญกับคุณลุกซ์อยู่ดูท่าทางซีเรียสเชียว
“ค่อย ๆ เดินค่ะ น้องต้องมองพื้นนะไม่อย่างนั้นน้องจะล้ม แล้วน้องจะเจ็บด้วยค่ะ เข้าใจไหม”
ไม่มีเสียงตอบกลับแต่พยักหน้ารับอย่างเข้าใจมาแทน กว่าจะก้าวเท้าขึ้นบันไดแต่ละขั้นได้ฉันนี่ลุ้นตามไปด้วยเลย
“ทำไมเธอไม่อุ้ม?” น้ำเสียงทุ้มดังขึ้น หันกลับไปมองก็เห็นคุณธัญกำลังจ้องฉันตาเขม็ง
“หยุดเลยค่ะ! อะไรที่เขาช่วยเหลือตัวเองได้คุณต้องให้เขาทำ”
“ก่อนจะอ้าปากเถียงเธอหันไปดูก่อนว่าบันไดมันมีกี่ขั้น”
“กี่ขั้นก็ช่างยังไงก็ต้องขึ้น หรือคุณจะคอยอุ้มลูกขึ้นลงบันไดทุกวันยันเขาโตเลยล่ะคะ”
“น้ำแข็ง!”
“ไม่ต้องมาขึ้นเสียง! ปืนก็เหมือนกันไม่ต้องซื้อมาให้ลูกเล่น ฟันดาบอะไรพวกนั้นก็ด้วย ตอนนี้เวลานี้ต้องฝึกให้ลูกเลิกติดจอก่อนค่ะ”
“อะไรคือติดจอ?”
“ให้ตายเถอะคุณเป็นพ่อประสาอะไร” เหวเสียงใส่เขาแล้วพาน้องวินขึ้นมาจนถึงชั้นบนได้สำเร็จ “บ้ายบายป๊าด้วยค่ะน้องขึ้นมาถึงแล้ว” ฉันว่าพร้อมกับทำท่าทางให้ดู ซึ่งแน่นอนว่าน้องวินทำตามแถมยังฉีกยิ้มให้พ่อตัวเองที่อยู่ด้านล่างของบันไดด้วย
เข้ามาในห้องฉันให้น้ำขิงอาบก่อนแล้วตามด้วยน้องวิน
“แผล... เจ็บไหมครับ” บริเวณหน้าท้องของเขามีรอยข่วนเป็นทางยาว ดูจากลักษณะแล้วน่าจะเพิ่งเป็นไม่นานมานี้ “น้องโดนอะไรมา”
“เล่น” เขาพยายามอธิบายพร้อมกับชี้มือออกไปด้านนอก แต่ฉันก็จับใจความไม่ได้อยู่ดีนอกจากคำว่าเล่น
“คราวหลังน้องต้องระวังนะ ไม่อย่างนั้นน้องจะเจ็บแบบนี้” เขาพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ
จัดการอาบน้ำสระผมเรียบร้อย ไม่ลืมทาแป้งจนหอมฟุ้งอีกด้วย
“หนูงดเล่นโทรศัพท์ก่อนนะ แต่เปิดทีวีดูได้” ฉันหันไปบอกน้ำขิงซึ่งเธอเองก็อยู่ในวัยที่กำลังอยากรู้อยากเห็นเช่นกัน แต่ดีหน่อยที่ลูกฉันไม่ดื้อ
“งั้นหนูเปิดเลยนะ ให้น้องดูด้วย”
เลิกสนใจเด็ก ๆ แล้วรีบอาบน้ำให้ไว
ใช้เวลาแค่เพียงไม่นานก็เสร็จแล้ว ออกมาจากห้องน้ำภาพที่เห็นคือทั้งสองดูทีวีด้วยความตั้งใจ แถมน้องวินยังชี้มือเป็นระยะ น้ำขิงก็คอยบอกว่านี่ตัวอะไร นั่นคืออะไร เป็นภาพที่ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังเป็นคุณแม่ลูกสองยังไงยังงั้น
พาเด็ก ๆ ลงมายังห้องครัวก็เห็นป้าศรีเตรียมมื้อเย็นไว้หมดแล้ว แต่ละเมนูน่ากินทั้งนั้นเลยค่ะ
“ปกติน้องวินกินกี่มื้อคะป้า”
“สองมื้อเองค่ะ เช้ากับเย็น”
“ไม่ได้สิคะ ต้องกินสามมื้อ”
“ถ้าอย่างนั้นป้าเอาใจช่วยหนูแล้วกัน”
ฉันตักผัดฟักทอง แครอทนึ่ง และไข่ต้มให้น้องวิน และใช่ค่ะนั่งมึนอีกตามเคย
“อ้าปากสิคะ พี่ขอดูฟันหน่อย” ได้ยินแบบนั้นเขาก็ทำตามค่ะ “โห...ฟันน้องสวยมากเลย ฟันน้องแข็งแรงน้องกินแบบนี้ได้แล้วนะ อร่อยมาก” ฉันว่าก่อนจะตักอาหารเป็นคำเล็ก ๆ ป้อนเขา
นานหลายนาทีที่เขาเอาแต่มองฟักทองชิ้นน้อยน่ารักของฉัน
“น้องกินค่ะ อร่อยมาก!” น้ำขิงพูดขึ้นมาบ้างก่อนจะตักเข้าปากตัวเองเป็นตัวอย่างให้น้องดู เห็นแบบนั้นเจ้าตัวจึงกินตาม
ทุกคนลุ้นมากว่าข้าวคำนี้จะถูกคายออกมาไหม ปรากฏว่าไม่ค่ะ เขากลืนจนหมดและยังรอให้ฉันป้อนคำต่อไปด้วย
“อันนี้มีประโยชน์น้องลองกินค่ะ” ยื่นแครอทให้กับเขา ก่อนจะเอาเข้าปากต้องใช้เวลาสำรวจนานหน่อยค่ะ
เป็นเวลากว่าครึ่งชั่วโมงที่ฉันหลอกล่อให้น้องวินกินข้าว
“เก่งจังเลยวันนี้กินหมดด้วย” ป้าศรีว่ายิ้ม ๆ พร้อมกับปรบมือให้
“ปกติเขากินได้เยอะไหมคะ”
“แล้วแต่อารมณ์ค่ะ ถ้าวันไหนงอแงนะขว้างของใส่พวกพี่ก็มี”
“บางทีก็ขว้างของเล่นลงพื้น นิสัยขี้เหวี่ยงนี่ได้ป๊าเขามาเต็ม ๆ ล่ะ” พี่ลูกหมีกับพี่ลูกศรเสริมขึ้นมาบ้าง
“น้องไม่ทำแบบนี้นะคะ มันไม่น่ารัก รู้ไหม” ฉันพูดพร้อมรอยยิ้ม น้องวินยังคงพยักหน้ารับอีกเช่นเคย “ไปเดินเล่นไหมพี่จะพาไป”
“ไป”
“ไปครับ พูดซิ”
“ไป” เขาเงียบไปหลายนาทีก่อนจะพูดต่อ “ครับ”
“เก่งมาก”
ฉันพาน้องวินมาเดินเล่นนอกบ้านซึ่งมันเป็นสวนค่ะ โดยรวมแล้วบริเวณด้านนอกก็น่าอยู่ไม่แพ้ด้านในเลยทีเดียว
แววตาไร้เดียงสามองสำรวจไปทั่วบริเวณจนหยุดอยู่ที่ดอกไม้ต้นหนึ่ง มือเล็กจับมือฉันคล้ายเป็นการเรียกแล้วพูดประโยคหนึ่งออกมา
“อะไร”
“ผีเสื้อค่ะ เขาเป็นสัตว์ปีกมีชื่อเรียกว่าผีเสื้อ”
“จับไหม”
“ไม่จับค่ะ น้องดูแบบนี้ดีกว่า” ได้ยินแบบนั้นเขาจึงปล่อยมือฉันแล้วนั่งยอง ๆ ดูผีเสื้ออย่างตั้งใจ เหมือนว่าเขากำลังสังเกตพฤติกรรมของผีเสื้อตัวนี้มากกว่า
เลิกสนใจผีเสื้อเขาก็หันไปเห็นเด็กกลุ่มหนึ่งกำลังวิ่งเล่นกันอยู่ด้านนอกของรั้วบ้าน เสียงหัวเราะมันดังมากพอที่จะทำให้เราได้ยิน
น้องวินเดินไปเกาะที่ประตูรั้วเพื่อดูว่าพี่ ๆ เขาเล่นอะไร ฉันบอกแล้วว่าคุณธัญต้องปล่อยให้ลูกโตตามวัยบ้าง
“น้องอยากออกไปเล่นเหรอคะ”
“อยาก”
“ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้พี่จะพาไปสวนสนุกเอาไหม”
“เล่น”
“ใช่ค่ะเล่น มีของเล่นเยอะเลย น้อง...”
“พามาเดินไกลไปมั้ง” น้ำเสียงคุ้นหูดังขึ้น “รับปากกันเป็นมั่นเป็นเหมาะ เธอขออนุญาตฉันแล้วเหรอ”
“คุณอย่าเผด็จการนักสิ ดูแววตาเขามีความสุขแค่ไหน ดีกว่าปล่อยให้อยู่คนเดียวในห้องตั้งเยอะ” คุณธัญเงียบไป เขาเอาแต่มองตามสายตาน้องวินที่ตอนนี้มองพี่ ๆ ข้างนอกวิ่งไปตรงนั้นทีตรงนี้ทีไปตามประสา
“แล้วจะพาเขาไปไหน ปกติเขาไม่เคยได้ไปไหนหรอกนะนอกจากโรงพยาบาล”
“คุณเลี้ยงแบบนั้นเองจะโทษใครล่ะคะ เด็กก็ต้องซนบ้างสนุกสนานบ้างสิ ไม่ใช่ทำหน้านิ่งเหมือนคุณตลอดเวลา”
“ฉันอยากให้เขามีวินัยรู้จักรับผิดชอบหน้าที่ของตัวเอง”
“วินัยส่วนวินัยค่ะ เขาดื้อหรือซนก็ไม่ได้แปลว่าเขาจะไม่มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ตัวเองสักหน่อย”
“เธอนี่ขยันหาเหตุผลมาเถียงจริง ๆ เลยนะ”
“หนูไม่ได้เถียงหนูแค่อยากให้คุณปรับมุมมองใหม่ เราจะเลี้ยงให้เขาเป็นอย่างที่ใจต้องการได้พ่อกับแม่ต้องมีความคิดที่เป็นไปในทางเดียวกันค่ะ กรณีนี้แม่ของลูกคุณไม่อยู่แล้วและหนูเป็นพี่เลี้ยง ฉะนั้นความคิดเราสองคนต้องไปด้วยกันได้ค่ะ”
“แล้วตกลงจะพาเขาไปไหน”
“สวนสนุกในห้างสรรพสินค้าค่ะ ไม่ต้องห่วงคุณไปทำงานอะไรของคุณเถอะ หนูจะดูแลน้องอย่างดี”
“ฉันจะคอยดู ถ้าเกิดอะไรขึ้นล่ะก็เธอเหลือแต่ชื่อจำไว้”
“ค่ะ!! หนูชื่อน้ำแข็ง จำไว้ให้ขึ้นใจ”
