ตอนที่ 3 [ถึงเวลาแล้วสินะ]2/3
ไม่ใช่พรุ่งนี้ครับ แต่เป็นวันนี้!
ผมรีบวิ่งออกมาจากตึกเรียนอย่างไม่คิดชีวิต หลังจากรับสายจากพี่โยชิ ว่าจอดรถรออยู่ตรงลานจอดรถหลังตึกคณะ และที่สำคัญ นายนั่งรออยู่ในรถด้วย
“ก็วันนั้นพี่โยชิบอกว่าสัปดาห์หน้าไม่ใช่เหรอครับ ผมก็คิดว่าพรุ่งนี้เสียอีก”
[พี่หมายถึงประมาณสัปดาห์หน้าน่ะ ขอโทษนะที่ไม่ได้ระบุวันที่ชัดเจน แล้วพี่ก็ยุ่งจนลืมโทรบอกก่อนน่ะ]
นั่นแหละครับ ผมก็วิ่งดิครับ
อุตส่าห์เตรียมชุดเก่งรีดเอาไว้เรียบร้อย แต่กลับต้องอยู่ในเสื้อช็อปปอนๆ แถมเพิ่งเตะบอลกับเพื่อนเมื่อตอนบ่าย ไหวมั้ยเนี่ยโปรดปราณ
ผมวิ่งไปก็ยกแขนซ้ายขวาขึ้นมาสำรวจกลิ่น ดีนะนี่ที่ผมเป็นคนไม่มีกลิ่นตัว แถมน้ำหอมที่ฉีดมาเมื่อเช้าก็ยังหลงเหลือกลิ่นจางๆ คงพอไหวมั้ง หวังว่าจะไม่โดนถีบลงจากรถเสียก่อนนะ
ผมยืนหอบแฮ่กอยู่ข้างรถคันหรูที่ดูดีที่สุดในรัศมีของลานจอดรถหลังตึกคณะ พี่โยชิยืนรอรับอยู่ข้างรถสีดำคันนั้นด้วยใบหน้าเคลือบยิ้ม
“บอกแล้วว่าไม่ต้องรีบ”
แหม พี่โยชิยังมีหน้ามาพูด ‘ไม่ต้องรีบนะ นายรออยู่ในรถ’ นั่นเป็นประโยคที่พี่โยชิบอกผมทางโทรศัพท์ เหาะได้เหาะแล้วครับ
“เชิญครับ” พี่โยชิเปิดประตูรถให้ผม เชื้อเชิญให้ขึ้นไปนั่ง แต่ผมยังลังเล
ก็…จะให้ผมนั่งเบาะหลังกับคุณปานเทพน่ะเหรอครับ ผมส่งสายตาเป็นคำถาม พี่โยชิก็พยักหน้า ผมก็เลยจำต้องก้าวขาสั่นๆขึ้นไป
ภายในรถยนต์คันหรูเปิดแอร์เย็นฉ่ำ แต่มันไม่ได้ทำให้ผมเย็นลงได้เลย ความประหม่า ตื่นเต้น ทำให้ผม…ทำตัวไม่ถูก ไม่รู้จะวางมือวางเท้าไว้ตรงไหน
คุณปานเทพปรายตามองผมเล็กน้อย ก่อนจะกลับไปสนใจหน้าจอไอแพดในมืออีกครั้ง
“สวัสดีครับ” นี่แหละคือสิ่งที่ผมควรทำ คือการยกมือไหว้
คุณปานเทพพยักหน้ารับเบาๆ ก่อนจะสั่งให้คนขับรถออกรถ หลังจากพี่โยชิขึ้นนั่งด้านหน้าข้างคนขับอีกคน แล้วคุณปานเทพ…ก็ไม่ได้พูดอะไรอีกเลย จนกระทั่ง
“อยากกินอะไร?”
เป็นประโยคแรกหลังจากความเงียบครอบคลุมยาวนานกว่าครึ่งชั่วโมง
“อะไรก็ได้ครับ” ผมกล่าวอย่างเกร็งๆ
“ไปร้านประจำก็แล้วกัน” คุณปานเทพสั่งคนขับรถ แล้วความเงียบก็ปกคลุมอีกครั้ง
ปกติผมเป็นคนพูดเยอะนะครับ แต่วันนี้ผมรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองเลย ผมไม่กล้าทำอะไรเลย ไม่กล้าแม้แต่หายใจแรงๆ
ผมเดินตามคุณปานเทพเข้ามาในโรงแรมหรูริมแม่น้ำเจ้าพระยา ร้านประจำที่ว่าคือร้านอาหารฝรั่งเศสริมน้ำ บรรยากาศภายในถูกตกแต่งด้วยโทนสีขาวสว่าง ให้ความรู้สึกหรูหราและอบอุ่น ภายในร้านไม่ได้ใหญ่มาก แต่มีความเป็นส่วนตัว โต๊ะที่เรานั่งเป็นโซนติดกระจกซึ่งสามารถมองเห็นวิวสวย ๆ ของแม่น้ำเจ้าพระยาได้อย่างชัดเจน วิวหลักล้านเลยล่ะครับ
ผมรู้สึกว่า เสื้อช็อปกับที่นี่มันไม่เข้ากันเอาเสียเลย คิดถึงเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงสแล็คผ้าเนื้อดีที่แขวนอยู่ที่ห้องจัง กูเตรียมเอาไว้แล้วแท้ๆ แง…
“อยากกินอะไร สั่งเลย”
ผมก้มหน้าอ่านเมนูภาษาต่างชาติ พยายามเดาว่ามันคืออะไรแต่ก็ไม่ไหวครับ ผมจึงเหล่ตามองคนตรงหน้า
“Crevettes Carabineros crabe”
แล้วแอบฟังสิ่งที่คุณปานเทพสั่ง มันคืออะไรอ่ะ? ผมเดาว่าเป็นปูอะไรสักอย่าง
“แล้วก็…”
คุณปานเทพสั่งไปอีกหลายเมนูเลยครับ ผมฟังไม่ออกสักเมนู แล้วก็ขี้เกียจเดาแล้วล่ะครับ รอดูดีกว่า
สรุปผมไม่ต้องสั่งอะไรเลยครับ คุณปานเทพสั่งให้เรียบร้อย ผมได้แต่ขอบคุณในใจ ไม่อย่างนั้น ผมคงโดนพนักงานฆ่าตายด้วยสายตา ก็ผมเอาแต่ก้มหน้าอ่านเมนู อ่านเท่าไรก็ไม่เข้าใจครับ แต่ตอนที่คุณปานเทพสั่งเสร็จเรียบร้อย แล้วผมจะเก็บเมนู ก็เพิ่งรู้ว่า เปิดไปอีกหน้าจะเป็นเมนูภาษาไทยครับ ง่ะ! โง่จริงจัง
ระหว่างที่เรารออาหาร บทสนทนาของเราก็เริ่มขึ้นครับ
“ช่วงนี้เรียนหนักหรือเปล่า”
“ก็นิดหน่อยครับ ขึ้นปี3 แล้ว ลงเรียนหลายตัว ปิดเทอมเทอมหน้าก็ต้องไปฝึกงานแล้วครับ” ผมอธิบายแผนการเรียนของปีนี้ทั้งปี
“เพลาๆงานที่ร้านกาแฟลงหน่อยดีมั้ย จะได้ไม่เหนื่อยมาก” คุณปานเทพแนะนำ
“ผมทำได้ครับ ไม่ได้เหนื่อยอะไรเลย”
“ถ้าขาดเหลืออะไรก็บอกแล้วกัน”
“แค่คุณปานเทพจ่ายค่าเทอมให้ ผมก็ขอบคุณมากแล้วล่ะครับ ว่าแต่…”
ผมเว้นระยะ กำลังตัดสินใจว่า จะถามออกไปได้มั้ยนะ สิ่งที่ยังค้างคาใจตั้งแต่เมื่อ 2 ปีก่อน
[“เรื่องค่าเทอมของเธอ ต่อไปนี้ฉันจะจัดการให้”
“ทำไมครับ?”
“ไม่ได้ช่วยฟรีๆหรอกน่า”
“แลกกับ?”
“ถึงเวลาแล้วจะบอก ตั้งใจเรียนก็แล้วกัน”]
“คุณปานเทพจะบอกได้หรือยังครับ?”
คนตรงหน้ายกคิ้วสูงเป็นเชิงถาม “บอกเรื่อง?”
ผมสูดลมเข้าปอดเรียกความกล้า “ก็เรื่องที่ช่วยเรื่องค่าเทอมของผม”
“แล้ว?” จำไม่ได้แล้วหรือไงว่าเคยพูดอะไรเอาไว้ คนแก่ลืมง่าย ในขณะที่ผม ยังค้างคาใจมาตลอดระยะเวลา2ปี ด้วยเชื่อเสมอว่า โลกนี้ไม่มีอะไรฟรี
“ค่าเทอมของผม…แลกกับอะไรครับ?”
