บท
ตั้งค่า

01 ปรินซ์..ธาม

“อายุวัณโณ สุขัง พลัง”

“สาธุ”

“วันนี้ใส่บาตรคนเดียวรึ เจ้าธาม”

“ครับหลวงตา แม่บอกว่าให้ใส่บาตรคนเดียว จะได้รับแต้มบุญคนเดียวเต็มๆ สํารองไว้ใช้ตอนไปอยู่ที่มอน่ะครับ”

“แล้วจะไปเมื่อไหร่ล่ะ”

“เช้านี้แล้วครับ”

“ตั้งใจเรียนล่ะ”

“ครับหลวงตา”

หลวงตามิ่งยิ้มบางๆ ก่อนจะเดินจากไป ผมลดมือที่พนมไว้ลง มองตามหลวงตามิ่งด้วยความเลื่อมใสศรัทธา ถ้าไม่ติดว่าผมเป็นห่วงม๊ากับป้าอีกสองคน ผมคงจะขอออกบวชไปตั้งแต่อายุยังน้อย เพราะว่าเกิดมาชีวิตก็ติดวัดแล้ว บ้านที่อยู่ก็อยู่หลังวัด โรงเรียนที่เรียนก็โรงเรียนวัด

“ใส่บาตรเสร็จรึยัง” ม๊าตะโกนเสียงดังลั่นมาจากหลังบ้าน

“เสร็จแล้วม๊า” ผมตะโกนกลับไปจากหน้าบ้าน

“ธามจะไปยัง” เสียงที่คุ้นเคยนี้จะเป็นของใครไปไม่ได้นอกจากคนที่ผมสนิทที่สุดในชีวิต ..ปรินซ์

“แป๊บนึงนะปรินซ์” ผมตอบโดยที่ไม่มองร่างสูงที่เดินใกล้เข้ามาเพราะกำลังก้มเก็บอุปกรณ์ใส่บาตร ปรินซ์ทักทายผมด้วยการเอาแขนข้างนึงรัดเข้าที่คอของผมหลวมๆ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็เจ็บอยู่ดีเพราะโดนเข้ากับลูกกระเดือกของผมเต็มๆ

“เรียกพี่สิ โตแล้วนะ เมื่อไหร่จะเรียกพี่สักที”

“อ่อยอ่อนน!!” ผมอ้อนวอนคนตัวสูงกว่าปรินซ์ปล่อยมือแทบจะทันทีเมื่อเห็นว่าผมเจ็บจริงๆ

“แค่ก แค่ก”

“โทษที ไม่คิดว่าจะบอบบางขนาดนี้” คนร่างสูง 180 กว่าอย่างปรินซ์คงไม่รู้ตัวว่าตัวเองเป็นนักกีฬาที่แข็งแกร่งขนาดไหน ลงเตะบอลแต่ละที ทําเอาคู่แข่งหวาดๆ ไม่กล้าตามประกบ เพราะกลัวว่าจะต้องปะทะร่างใหญ่แล้วล้มเองให้อับอายขายขี้หน้าประชาชีในสนาม ต่างจากผมที่เป็นแค่หนอนหนังสือตัวบางๆ นั่งๆ นอนๆ หลบมุมอยู่ในห้องสมุด

“จะเสร็จแล้ว รอแป๊บ เดี๋ยวเข้าไปลาม๊าแล้วก็ไปได้” ผมบอกปรินซ์ขณะที่เทน้ำที่กรวดเสร็จลงกระถางต้นไม้หน้าบ้าน

“สวัสดีครับมาม๊า” เสียงของคนที่ผมกําลังคุยด้วยกลับไปดังจากในบ้านของผมซะงั้น ..ไม่ได้ฟังกูเลยเชี่ยปรินซ์!

“ปรินซ์มาแล้วเหรอ เจี่ยปึง กินข้าวด้วยกันก่อนนะ” ม๊าผมใจดีกับปรินซ์เสมอ ปรินซ์เคยเป็นเด็กข้างบ้านผมก่อนที่จะย้ายไปอยู่ในคฤหาสต์หลังใหญ่ย่านฝั่งธน เพราะว่าพ่อของปรินซ์ทํามาค้าขึ้น หลังจากหนักเอาเบาสู้ ตระเวนท่องขึ้นเหนือลงใต้จนกลายมาเป็นเศรษฐีหน้าใหม่ในวงการขายส่งหลอดไฟทุกยี่ห้อ ปรินซ์เองเลยโตมาแบบขาดๆ เกินๆ เพราะหลายครั้งที่ต้องเดินทางไกล พ่อแม่ของปรินซ์ก็จะขอฝากลูกชายไว้กับคนข้างบ้านอย่างม๊าของผมเสมอ

จะว่าไป.. ผมเองก็มีปรินซ์อยู่ข้างๆ ตัวมาตลอดตั้งแต่จำความได้ เวลาเล่นก็เล่นด้วยกัน เวลากินข้าวก็กินด้วยกัน เวลาโดนม๊าดุม๊าตีก็โดนด้วยกัน พอโตขึ้นมาก็เรียนโรงเรียนเดียวกัน กลับบ้านก็กลับด้วยกัน ทำการบ้านก็ช่วยกันทำ เป็นแบบนี้มาตั้งแต่อนุบาล ประถม มัธยม และตอนนี้ก็ในรั้วมหาวิทยาลัยเดียวกัน..

“กินไม่ทันแล้วอ่ะม๊า เดี๋ยวสายแล้วรถติด” ผมบอกม๊าที่คะยั้นคะยอให้เราสองคนกินข้าว ม๊าทำหน้ามุ่ยลงทันที

“ใส่กล่องไปก็ได้ครับมาม๊า เอาไปกินบนรถ” ม๊ายิ้มกว้างทันทีที่ไอ้ปรินซ์ตอบ

“ดีๆ มาม๊ารีบไปจัดให้นะ” ม๊ารีบจัดอาหารใส่กล่องทัพเพอร์แวร์อย่างไว คงกลัวว่าถ้าช้าปรินซ์จะเปลี่ยนใจ ..เอาอกเอาใจออกนอกหน้านอกตาเลยนะม๊า ผมจำได้ดีว่าตอนปรินซ์กับที่บ้านจะย้ายออก ม๊าร้องไห้เสียใจนอนซมไปหลายวัน ไม่ได้สนเลยว่าลูกชาย (แท้ๆ) จะรู้สึกยังไง ผมไม่ได้น้อยใจนะ แถมยังเข้าใจม๊าดีด้วย ก็ม๊าเลี้ยงปรินซ์เหมือนปรินซ์เป็นลูกชายอีกคน จะรักจะเศร้าก็ไม่แปลก ส่วนผมก็รู้สึก..เหงา เพราะห้องนอนที่เคยมีปรินซ์นอนด้วยกันมันกว้างเกินไป

“ฝากธามด้วยนะปรินซ์” ม๊าบอกปรินซ์พร้อมกับมองไอ้คนตัวสูงกว่าด้วยสายตารักใคร่แบบสุดๆ

“ธามมีอะไรก็ปรึกษาปรินซ์เขานะ อย่าคิดเองตัดสินใจเอง เชื่อปรินซ์เขา” ม๊าพูดเสียงหนึ่งใส่ผม ทีกับไอ้ปรินซ์ล่ะเสียงสองเสียงสี่ สายตาที่มองมาก็ต่างมาก ก็รู้แหละนะว่าม๊าเองก็รักผม แค่การแสดงออกมันต่างกัน

“ไปแล้วนะม๊า ฝากบอกป้าๆ ด้วย”

ผมมีป้าอีกสองคน.. ทั้งคู่รักผมมาก คงได้ซับน้ำตาแน่ถ้าต้องเห็นผมขึ้นรถแล้วจากไป ทั้งคู่เลยไปลุยไหว้พระ 9 วัด ตระเวนขอพรให้ผมแทน นี่ผมไม่ได้จะไปออกรบที่ไหนนะ ..แค่ไปเรียน แล้วผมก็ออกเดินทางพร้อมเป้หนักๆ เพียงหนึ่งใบ เพราะของอย่างอื่นปรินซ์ช่วยขนไปไว้ที่หอให้หมดแล้ว ..เป็นคนดีสมกับเป็นลูกรักของม๊าจริงๆ

“..หิว”

“หิวก็กินดิ” ผมยื่นข้าวกล่องของม๊าให้ไอ้คนขับรถ

“จะกินได้ยังไง พี่ขับรถอยู่ มือไม่ว่าง”

“งั้นก็รอติดไฟแดง”

“..แล้วบอสจะไปถึงกี่โมง”

“มันน่าจะไปถึงบ่ายๆ”

“แล้วนี่ทำไมต้องรีบไปคณะด้วย อีกตั้งสองอาทิตย์ถึงจะเปิดเทอม” ปรินซ์ถามผม

“ที่คณะมีรับน้องแรกเข้า”

“...”

“คณะปรินซ์ไม่มีเหรอ”

“มีมั้ง”

“โคตรไม่ใส่ใจงานคณะ”

“ก็นี่ปีสามแล้ว”

“ออ ลืมไปว่าปรินซ์แก่แล้ว”

“เลิกเรียกแต่ชื่อได้ไหม”

“ก็เรียกแบบนี้มาตลอด ไม่เห็นเคยว่านิ”

ปรินซ์ถอนหายใจเบาๆ “..อยากเรียกไรก็เรียก”

ผมกับปรินซ์มีเรื่องให้เถียงกันได้ตลอด เถียงมันตั้งแต่ยังใส่ผ้าอ้อม (ม๊าบอก) แต่ถึงอย่างนั้นตลอดเวลา 19 ปีของผม ก็มีปรินซ์อยู่ข้างๆ เสมอ ปรินซ์เป็นทั้งพี่ เป็นทั้งเพื่อน แล้วก็เป็นทั้งเบ๊ ผมต้องการอะไร ลำบากอะไร การบ้านยากขนาดไหน ต้องไปหาข้อมูลทำรายงานในที่แสนไกลยังไง ปรินซ์ก็จะคอยช่วยคอยทําคอยหาให้ทุกอย่าง ปรินซ์คงรักผมประหนึ่งน้องชายที่คลานตามกันมา อย่างว่า ปรินซ์มันไม่มีน้องเป็นของตัวเอง ผมเองก็ไม่มีพี่ชายเหมือนกัน ..ลูกชายคนเดียวทั้งคู่

“ถึงแล้ว”

“ฮะ ฮื้มมมมม”

“หลับสบายเชียวนะ น้ำลายไหลเปื้อนเบาะแล้วเนี่ย”

“ห๊ะ!! จริงเหรอ ไหนๆ” ผมขยับพลิกตัวหารอยน้ำลายที่ทำไว้ น่าอายชะมัด ได้โดนล้อจนลูกแต่งงานแน่

“พี่ล้อเล่น”

“เชี่ยปรินซ์”

“นี่พี่นะ สุภาพด้วย”

“อย่ามาอ้างความเป็นพี่ มึงหลอกกูก่อน”

“พูดไม่เพราะเลยนะ เสียชื่อเด็กธัมมะธัมโมหมด”

“เกี่ยวไรกับธัมมะวะ ธัมมะน่ะอยู่ในใจ ขอแค่เรารู้จักผิดชอบชั่วดี ไม่เผลอทำอะไรที่เป็นบาปก็พอ แล้วไอ้การพูดจาไม่สุภาพเล็กๆ น้อยๆ เนี่ย ..ไม่นับ”

“หยุดเทศน์เลยธาม อย่าไปทำอย่างนี้กับเพื่อนใหม่ล่ะ เดี๋ยวเขาจะเบื่อกัน ต่อให้เราหน้าตาดีแค่ไหน ก็ไม่มีใครเขาอยากมีเพื่อนเป็นพระหรอกนะ” ปรินซ์เอามือมาลูบหัวผมเบาๆ แถมยังยิ้มกวน ..ใจนึงก็อยากจะเถียงกลับ แต่ก็เถียงไม่ออก เพราะปรินซ์ทั้งด่าทั้งชม ..แม่ง ตบหัวลูบหลังแล้วตบหัวอีกที

“ถ้าเก็บของเสร็จแล้วจะทำอะไรต่อ”

“สำรวจโรงอาหาร หาข้าวกิน ขี่จักรยานสำรวจมหาลัย รอไอ้บอสมา หาข้าวกิน เล่นเกม อ่านการ์ตูน นอน”

“สรุปคือว่าง”

“อืม”

“งั้นไปเก็บของ แล้วพี่จะพาไปสำรวจโรงอาหาร”

”ไปคนเดียวได้”

“แต่มาม๊าฝากธามไว้กับพี่ ..ให้ไวด้วยล่ะ”

“.. ก็ได้” แม่งหยั่งกับม๊ามาเอง ชีวิตมหาวิทยาลัยคงไม่อิสระอย่างที่คิด

.

[มึงอยู่ไหน]

“กูอยู่หน้าหอ”

[ไหนวะ กูก็อยู่หน้าหอเหมือนกันเนี่ย]

ผมมองหาไอ้บอสทั่วลานจอดรถ หลังกลับจากมินิทัวร์มหาลัยบายปรินซ์

[ไอ้ธามมมมมมมมม]

“ไอ้ธามมมมมมมมมม” ไอ้บอสตะโกนสุดเสียง ทั้งเสียงสดเสียงในโทรศัพท์เอาซะหูแทบแตก

“พี่ปรินซ์ซ์ซ์ซ์ซ์” ไอ้บอสวิ่งมาด้วยความเร็วร้อยกว่า กางแขนออกกว้างอย่างกับภรรยาวิ่งเข้าหาสามีที่เพิ่งรอดตายจากสนามรบ

แปะ

ปรินซ์ยกมือใหญ่แปะที่หน้าผากของไอ้บอส เบรกร่างของมันให้หยุดอยู่ที่ระยะห่างเท่าความยาวแขนของปรินซ์

“โคตรคิดถึงพี่ ไม่ได้เจอตั้งนาน”

“เออ แต่ไม่ต้องแสดงออก เดี๋ยวมึงขายไม่ออกหรอก”

“โธ่พี่ ระดับผม แค่ส่งยิ้มให้ก็เดินมาหาผมแล้ว”

‘ไอ้บอส’ เป็นเพื่อนกับผมตั้งแต่มอต้น มันเป็นคนเฟรนด์ลี พูดเก่ง คุยเก่ง ต่างจากผมที่ไม่ค่อยพูด แต่ชอบฟัง เราเลยเข้ากันได้ดี แล้วถ้ามันไปทําอะไรชั่วๆ มา มันบอกว่าแค่มาเล่าให้ผมฟัง มันก็จะรู้สึกดีขึ้น เหมือนว่าได้สารภาพบาปกับบาทหลวงในโบสถ์

“ไปเก็บของไป เดี๋ยวพี่พาไปกินนอกมอ”

“พี่ปรินซ์รู้ใจผมสุด งานนี้ต้องฉลอง”

“ฉลองในโอกาสอะไรวะ มึงนี่เอะอะหาเรื่องเมา”

“ก็ฉลองที่ได้เจอพี่ปรินซ์ไอดอลในดวงใจไงมึง”

ไอ้บอสยิ้มแบบร่าเริงสุด คือถ้าตอนนี้บอกมันว่า เห้ย อะดิดาสรุ่นลิมิเต็ดของมึงเหยียบขี้หมาอยู่ มันก็คงไม่รู้สึกอะไร ต่างจากปรินซ์ ที่หน้าไร้อารมณ์ร่วมสิ้นดี

..ไอ้บอสปลื้มปรินซ์มาก เพราะปรินซ์มันดังที่สุดในโรงเรียน (โรงเรียนมัธยมชายล้วน) เรียนเก่ง เกรดไม่เคยตํ่ากว่า 3.5 นักปราชญ์ในหมู่เด็กเนิร์ด ครูบาอาจารย์พากันเอ็นดู เล่นกีฬาก็ดี เป็นตัวจริงมันทุกสนาม เล่นบอลแบบใสสะอาด จะไม่เข้าชนใครถ้าคนนั้นไม่เข้ามาปะทะมันก่อน แล้วถ้าใครในโรงเรียนโดนคู่อริไล่กระทืบโดยไม่มีสาเหตุอันสมควร (แก่การโดนกระทืบ) ปรินซ์จะลุยเอาคืนแก้แค้นให้เต็มที่ขอแค่แจ้งพิกัด และจํานวนคนของฝ่ายนู้นมา เอาเป็นว่าความคูล ความแมน ความน่านับถือของปรินซ์ส่งให้มันขึ้นแท่นเป็น ‘ตํานาน’ ของโรงเรียน

ส่วนผมน่ะเหรอ แข่งกับปรินซ์ได้เรื่องเดียวคือเรื่องเรียน ไม่ใช่ว่าเก่งเท่ามันนะ แต่เป็นเรื่องเดียวที่ผมพอใช้ได้ ไม่ถึงกับโง่ แต่ก็ไม่ถึงกับฉลาด ปรินซ์เลยได้เป็นติวเตอร์ให้ผมตลอด ไอ้บอสคือหนึ่งในเพื่อนกลุ่มผม เลยได้อานิสงค์ไปด้วย ได้ใกล้ชิดเข่าชนเข่ากับปรินซ์ กินนํ้าเหยือกเดียวกับปรินซ์ ได้ฟังเสียงปรินซ์ มันได้ติวกับปรินซ์ที ละเมอเพ้อไปเป็นเดือน

.

..ร้านซำบายเป๋า

“ปรินซ์ซ์ซ์ซ์มาาาาาาาาาา” ผู้หญิงคนนึงร้องทักปรินซ์เสียงดังมาแต่ไกล จนใครๆ พากันหันมามอง สาวๆ หลายคนพากันยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ บางคนก็หยิบตลับแป้งขึ้นมาเช็คหน้าเช็คผม

“อืม”

“ยังไม่เปิดเทอมเลยน้า ปรินซ์มาก่อนแบบนี้ ..หรือว่าจะคิดถึงเค้า”

“...” ปรินซ์ไม่ตอบ แถมเอาแต่มองเมนู

“แล้วนี่ใครล่ะ เด็กปีหนึ่ง?”

“คร๊าบบบบ ผมบอสนะครับ คุณ..”

“ส้มโอจ๊ะ เรียกเจ๊ส้มโอล่ะกัน”

“แหมมมม ใครเป็นคนตั้งชื่อให้ครับเนี่ย เหมาะกับเจ๊มาก” ไอ้บอสไม่พูดเปล่า ยังส่งสายตาชำเลืองเหลือบมองต่ำ ขนาดผมยังรู้เลยว่ามันมองอะไร

“แล้วอีกคนล่ะ หน้าตาจิ้มลิ้มน่ารัก” เจ๊ส้มโอพูดพลางเอานิ้วมาจิ้มแก้มผม ผมอดตกใจไม่ได้เพราะผมไม่เคยถูกผู้หญิงแตะเนื้อต้องตัวมาก่อน (เว้นม๊ากับป้า) ไม่ได้ถือตัวนะ แค่คิดว่าการสัมผัสตัวกันระหว่างชายหญิงที่ไม่ได้เป็นคู่หมั้นคู่หมายเนี่ย มันคือสิ่งที่ไม่เหมาะสมที่สุด ลืมบอกไป นอกจากผมจะธัมมะธัมโมแล้ว ยังหัวโบราณตัวพ่อด้วย

“ไม่ต้องรู้หรอก” เสียงเย็นของปรินซ์เล่นเอาเจ๊ส้มโอเงิบ ความลั๊ลลาหายไป 95.5 เปอร์เซ็นต์

“เอาไข่เจียวกุ้งสับ ต้มแซ่บกระดูกอ่อนไม่เผ็ดมาก ไก่ทอด บอสเอาไรเพิ่ม” ปรินซ์ถามไอ้บอส

“ผมเอาหมูแดดเดียว แล้วก็ไก่หมักซอสเอ็กซ์โอ”

“ข้าวเปล่าสาม แล้วก็น้ำเปล่า เอาเท่านี้” ปรินซ์พูดจบก็ส่งเมนูคืนให้เจ๊ส้มโอ

“กูยังไม่ได้สั่งเลย” ผมมองหน้าปรินซ์อย่างเอาเรื่อง

“พี่สั่งให้แล้วไง ไอ้ที่สั่งก็ของโปรดไม่ใช่เหรอ”

“...” ผมเถียงไม่ออก ยอมรับว่าเมนูที่ปรินซ์สั่งคือของชอบของผมทั้งหมด

“โอยยยย อยากให้พี่ปรินซ์รู้ใจผมบ้างงง” ไอ้บอสทำเสียงน่ารำคาญ ส่วนผมก็ทำหน้ากระอักกระอ่วนไปไม่เป็น ขณะที่เจ๊ส้มโอที่ยังยืนอยู่ทำหน้าเหมือนเหม็นอะไรบางอย่าง

.

.

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel