Warning 04 [2]
“คิริว..นายมันเลว อ๊ะ”
”อือ รู้แล้ว” มือใหญ่จับสะโพกฉันขึ้นลงเร็วขึ้น ฉันเลยต้องขยับไปตามแรงที่เขาจับ หน้าอกก็ถูกริมฝีปากอุ่นของคิริวดูดดึงไปพร้อมกับลิ้นเปียกชื้นหยอกเย้ายอดอกที่แข็งชูชันของฉันไปมา
“อื้อ คิริว”
“แรงอีกลาน่า”
“อื้อ” ฉันขย่มขึ้นลงตามการบังคับของคิริว น้ำเย็นๆในอ่างไม่ได้ทำให้ร่างกายของฉันหายร้อนลงไปได้เลยสักนิด ตอนนี้ในหัวฉันมึนไปหมด สติที่เหลืออยู่ก็หายไปได้แต่ขยับตัวขึ้นลงไปบนตักของคิริวเร็วขึ้น
“ดี แบบนั้นแหละ”
“คิริว..ฉัน”
ฉันเสียวซ่านจนต้องแอ่นหน้าอกให้คิริวดูดดื่มได้อย่างถนัดขึ้น เสียงดูดดึงขบเม้มหน้าอกดังจนเกิดเสียงน่าอายออกมา ฉันได้แต่เงยหน้ามองเพดานกัดริมฝีปากของตัวเองไว้ เผื่อมันจะช่วยให้ฉันมีสติมากขึ้น มือก็จับยืดไหล่กว้างของคิริวแน่น ขาทั้งสองข้างก็ตั้งชันอ้ากว้างแล้วขย่มขึ้นลงรัวเร็ว
“ฮึ่ม” เสียงครางต่ำในลำคอแกร่งอย่างพอใจของคิริว ยิ่งทำให้ฉันขย่มขึ้นลง และเร็วมากขึ้นกว่าเดิม
” อื้อ…คิริว“ ฉันขยุ้มผมของคิริว เมื่อลิ้นเปียกชื้นของเขาดูดดึงยอดอกที่แข็งชูชันของ จนเสียวซ่านแทบทนไม่ไหว มือใหญ่ก็บีบเค้นหน้าอกอีกข้างของฉันแรง ๆ พร้อมกับปลายนิ้วเรียวยาวของเขาก็ทำหน้าที่สะกิดหยอกเย้ากับยอดอกของฉันอย่างช่ำชอง คิริวทำฉันเสียสติแทบบ้าอยู่แล้ว!
คิริวถอนริมฝีปากออกจากหน้าอกของฉัน แล้วกดจูบซุกไซ้ลงมาที่ซอกคอแรง ๆ หลายที แต่เขาก็ไม่ยอมให้ฉันได้พักหายใจหายคอ มือใหญ่จับสะโพกฉันไว้อีกครั้ง แล้วบังคับให้ขยับขึ้นลง โดยที่เขาขยับเข้าออกสอดประสานไปพร้อมกับฉัน ความเสียวซ่านที่มากขึ้น ทำให้ฉันครางเสียงดังจนสะท้อนไปทั่วห้องน้ำอย่างน่าอาย
”คิริว…อ๊า!” ฉันเกร็งเท้า และเนื้อตัวสั่นไปหมด ภายในตัวฉันก็ตอดรัดแก่นกายของคิริวถี่ยิบทันที โดยที่คิริวกระแทกเข้าออกอีกหลายครั้ง แล้วเขาก็เอาแก่นกายออกอย่างรวดเร็ว
ตอนนี้ภายในห้องน้ำมีเพียงเสียงหอบหายใจแรงของเราสองคน ร่างกายสูงใหญ่เอนตัวไปพิงขอบอ่างอาบน้ำ โดยดึงตัวฉันให้ตามไปด้วย หน้าของฉันพิงไปที่แผงอกกำยำของคิริวนิ่ง ได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นแรงไม่แพ้เสียงหอบหายใจของเขาชัดเจน ฉันอยากจะลุกออกไปจากตักแกร่งของคิริว แต่ตอนนี้แรงจะผลักเขาออกแทบจะไม่มีเลย ให้ตายสิ!
“ออกไป”
พอฉันเริ่มกลับมาหายใจได้ตามปกติ ฉันก็ลุกออกจากตักของคิริวด้วยความรวดเร็ว และนั่งกอดเข่าตัวเองไว้ เพื่อบดบังร่างกายเปลือยเปล่าของตัวเอง จากนั้นก็หันหน้าไปอีกทาง แล้วพูดใส่เขาด้วยเสียงโกรธเคือง รู้สึกโมโหตัวเอง และคิริวชะมัดเลย!
“อย่ามาทำเป็นอาย เห็นมาทุกซอกทุกมุมแล้ว”
“นายมันทุเรศ!” ฉันหันไปจ้องหน้าคิริวอย่างโมโหสุดขีด
“ตอนขย่มทำไมไม่ด่า” คำพูดทุเรศของคิริว ทำให้ฉันต้องกัดริมฝีปากของตัวเองเอาไว้ทันที อยากตบตัวเองให้ตายไปจากตรงนี้เลย บ้าจริง!
“ออกไปสักที” ฉันตกใจเล็กน้อยที่ได้ยินเสียงตัวเองสั่นเคลือ และเหมือนน้ำตาจะคลอเล็กน้อย จนต้องสูดหายใจเข้าลึก ๆ ด้วยความรวดเร็ว ฉันไม่ได้อยากจะร้องสักหน่อย…
“อาบน้ำซะ” เสียงเข้มต่ำของคิริวพูดจบ ฉันก็ได้ยินเสียงน้ำกระเพื่อมขึ้นลง พอลองหันไปดูก็เห็นแผ่นหลังกว้างของคิริวที่พันผ้าขนหนู และเปลือยท่อนบนเดินออกไปจากห้องน้ำ
“ฉันทำบ้าอะไรลงไป”
ฉันนั่งด่าตัวเอง และนั่งแช่ตัวอาบน้ำอยู่ในอ่าง ขยับตัวทีช่วงล่างก็รู้สึกเจ็บหน่วงติดขัดจนต้องนิ่วหน้า พอหันหน้าไปจ้องมองทางประตูห้องน้ำก็รู้สึกโมโห และโกรธเคืองขึ้นมาอีกครั้ง หงุดหงิดทั้งตัวเองทั้งคิริวเลย ให้ตายเถอะ!
@ร้านกาแฟบีซี
”เมื่อคืนแกหายไปไหน” เฟียร์หันมาถามฉันด้วยสีหน้าสงสัย หลังจากเลิกเรียนมันก็ลากให้มากินเค้กเป็นเพื่อนที่ร้านกาแฟหลังมหาวิทยาลัยทันที แถมตอนนี้ยังมานั่งจ้องหน้าคาดคั้นเอาคำตอบจากฉันอีก
“กลับบ้าน โทษทีที่ไม่ได้บอกก่อน”
“กลับบ้านเหรอ แกกลับไง” คิ้วของเฟียร์ชนกันจนยุ่งไปหมด มันจะสงสัยอะไรนักหนาเนี่ย
”แท็กซี่น่ะ”
”แน่ใจนะ ฉันได้ยินคนที่บาร์พูดว่ามีคนตีกันแย่งผู้หญิงด้วย“ สายตาที่เฟียร์มองมาทางเหมือนจะจับผิด แต่ฉันก็ยังคงทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ต่อไป
”แล้วเกี่ยวอะไรกับฉันล่ะ”
“ถ้าไม่ใช่แกก็ดีไป” ฉันถอนหายใจออกมาเบา ๆ แล้วหันหน้าหนียัยเฟียร์ที่ยังคงจ้องมองมาอย่างจับผิดไม่เลิก
นึกถึงเรื่องเมื่อคืนก็ทำให้ฉันรู้สึกโมโหคิริวชะมัด พอฉันออกมาจากห้องน้ำ โดยที่มีผ้าขนหนูพันตัวอยู่ก็เจอกับเขาที่กำลังหันหลังยืนสูบบุหรี่อยู่ที่ระเบียงภายในห้อง ฉันเลยรีบเดินไปเปิดประตูห้องของคิริว แล้วสอดส่ายสายตาดูว่ามีคนผ่านมาแถวนี้หรือเปล่า
และเมื่อเห็นว่าไม่มีใครเดินมาแถวนี้ ฉันก็รีบวิ่งเข้าห้องตัวเองที่อยู่ข้างห้องเขาทันที ในใจฉันนี่โกรธจนอยากจะพ่นไฟใส่หน้าคิริวให้หายโมโห แต่ก็ยังทำอะไรไม่ได้ แค่พาตัวเองมาที่ห้องนอนได้นี่ก็ถือว่าดีมากแล้วเถอะ
“แรด” เสียงนักศึกษาผู้หญิงดังอยู่ข้างโต๊ะที่ฉันกับเฟียร์น่งอยู่ดังขึ้น ฉันเลยเลิกคิดเรื่องไร้สาระแล้วเงยหน้าขึ้นไปมอง เห็นยี่หวาดาวคณะมนุษย์กำลังจ้องฉันอย่างไม่พอใจ
“เธอว่าใคร” เฟียร์จ้องหน้ายี่หวาอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์ทันที
“ก็เพื่อนแกไง แรดไม่เลือก” ยี่หวาหันไปพูดกับเฟียร์จบก็หันมามองฉันอีกครั้ง นี่มันอะไรกัน อยู่ดี ๆ ก็มาหาเรื่องแบบนี้ก็ได้เหรอ
ปึก!
”ปากแบบนี้น่าตบสักที”
“เฟียร์อย่า”
เฟียร์กระแทกแก้วน้ำลงไปที่โต๊ะเสียงดัง แล้วกำลังจะลุกขึ้นไปทำอย่างที่ปากพูดจริง ๆ ฉันรีบดึงแขนยัยเฟียร์ไว้แน่นทันที อย่าให้เฟียร์มันได้ลงไม้ลงมือเชียว จบไม่สวยแน่ ๆ ยิ่งมันเป็นคนใจร้อนอยู่ด้วย แล้วอีกอย่างนี่มันก็เป็นเรื่องของฉันเต็ม ๆ ฉันไม่อยากให้เพื่อนมาเดือดร้อนด้วยหรอกนะ
“แกจะห้ามฉันทำไม มันด่าแกอยู่นะ” เฟียร์ยอมนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามฉัน แต่ก็ยังคงโมโหอยู่อย่างไม่ปิดบัง
”เสียงหมูเสียงหมาจะไปฟังทำไม” ฉันพูดกับเฟียร์จบก็นั่งดูดกาแฟเย็นบนโต๊ะต่อ และทำเหมือนยี่หวาที่ยืนอยู่ข้างโต๊ะพวกฉันเป็นแค่อากาศ
”แกว่าใครเป็นหมูเป็นหมายะ!” เสียงแหลม ๆ ของยี่หวาดังจนคนในร้านหันมามองด้วยความสงสัย
“อ้าว อยู่ตรงนี้ด้วยเหรอ” ฉันเงยหน้ามองยี่หว่าที่กำลังโกรธจนควันออกหู มือก็กำกระเป๋าถือไว้แน่น เห็นแล้วตลกชะมัด
“ไม่ต้องมาตอแหล! อ่อยยังไงล่ะคิริวถึงต้องไปต่อยตีที่บาร์เพื่อแย่งแกน่ะ คันมากเหรอ!“ ยี่หวาพูดเสียงดังจนคนทั้งร้านหันมามองที่โต๊ะฉัน แถมนักศึกษาที่นั่งอยู่ในร้านต่างพากันซุบซิบนินทาจนฉันยังแอบได้ยินเลย
พรึ่บ!
“ถ้าแกไม่หุบปากฉันตบจริงๆด้วย” เฟียร์ยืนขึ้นจ้องหน้ายี่หวาอย่างจริงจัง จนยี่หวาถึงกับต้องกลืนน้ำลายลงคอเสียงดัง
เห็นอย่างนี้คนที่มหาวิทยาลัยก็รู้ดีว่าเฟียร์มันแรงอยู่เหมือนกัน เพียงแค่มันอยู่กับฉันบ่อย และไม่ชอบสุงสิงกับใคร ทำตัวเหมือนหยิ่งแค่นั้นเอง แต่เฟียร์น่ะคนรู้จักเยอะจะตาย
“อย่าคิดว่าฉันจะกลัวแกนะเฟียร์” ยี่หวาหันไปพูดกับเฟียร์แต่เสียงกลับสั่นขึ้นมาเล็กน้อย
“ฉันไม่รู้หรอกนะว่าเธอเป็นอะไรกับคิริว แต่ฉันกับเขาเราไม่มีอะไรกันทั้งนั้นแหละ กลับกันเถอะเฟียร์” ฉันลุกขึ้นกำลังจะเดินออกไปจากโต๊ะ แต่ยี่หวาก็เดินมาขวางทางเอาไว้ซะก่อน
“ใครมันจะไปเชื่อ“
เพี๊ยะ!
หน้าฉันหันไปตามแรงมือของยี่หวาที่ตบลงมายังแก้มซ้ายทันที มันชาจนแทบจะไม่รู้สึกถึงความเจ็บด้วยซ้ำ
”ลาน่า!” เฟียร์ลุกขึ้นเรียกฉันอย่างตกใจ คนทั้งร้านก็มองมากันหมด ฉันหันไปมองหน้ายี่หวาที่กำลังยิ้มเยาะเย้ยอย่างมีความสุข สนุกมากงั้นเหรอ!
เพี๊ยะ!
“ตบเป็นคนเดียวรึไง” หน้ายี่หวาหันไปตามแรงตบของฉันทันที ใครมันจะไปยอมโดนตบฝ่ายเดียวกันล่ะ
“แก!“
“เอาสิ จะได้อับอายกันหมดนี่แหล่ะ” ยี่หวายกมือขึ้นเตรียมจะตบฉันอีกครั้ง ฉันเลยเดินเข้าไปยืนใกล้ ๆ แล้วจ้องหน้าอย่างไม่เกรงกลัวพร้อมกับพูดใส่เสียงนิ่ง ยี่หวาชะงักแล้วหันไปมองรอบ ๆ ร้าน และพบกับสายตาของคนทั้งร้านที่กำลังมองมาทางพวกเราด้วยความอยากรู้อยากเห็นทันที
”ชิ!” ยี่หวาเอามือลงอย่างหงุดหงิด แล้วรีบเดินออกไปจากร้านด้วยความรวดเร็ว คนเป็นถึงดาวคณะอย่างยี่หวาไม่ยอมมาเสียหน้าอับอายให้ตัวเองดูไม่ดีหรอก และเมื่อเรื่องวุ่นวายจบลง ฉันก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ จากนั้นก็นั่งลงที่เก้าอี้ตัวเดิมอย่างเซ็ง ๆ
”แหม จะตบเองก็ไม่บอก” เฟียร์นั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามแล้วหันมาพูดกับฉัน พร้อมกับยกยิ้มมุมปากขึ้นอย่างล้อเลียนทันที
”อย่ามาแซะฉันนะ เรื่องไร้สาระชะมัด”
“ไร้สาระอะไร ฉันว่าละว่าคนที่บาร์ต้องเป็นแกกับคิริว” เฟียร์พูดแล้วยกแก้วกาแฟขึ้นดื่มพร้อมกับพิงพนักเก้าอี้อย่างสบายใจ
“แกรู้ได้ไง“
“คิริวก็ดังอยู่พอตัวปะ คนทั้งมหาลัยยังรู้จักเลย บาร์นั่นก็ต้องมีคนพูดถึงอยู่แล้วสิ”
“แล้วจะมาถามฉันตั้งแต่แรกทำไมกันล่ะ” ฉันบอกออกไปอย่างเหนื่อยหน่าย
“แค่ลองถามดู แต่ถ้าแกไม่อยากบอกก็ไม่ว่าอะไรนะ ฉันเข้าใจ”
“ไม่ใช่ไม่อยากบอกแกนะเฟียร์ แต่ฉันกับคิริวไม่ได้เป็นอะไรกันจริงๆ” จะให้พูดยังไงดี ถึงไม่ได้เป็นอะไรกันก็เถอะแต่ฉันกับเขาเราก็.. เอ่อ นั่นแหละ ยังไม่บอกเฟียร์ดีกว่า
“โอเค ๆ ฉันเข้าใจแก ว่าแต่หน้าแกแดง ๆ อยู่นะ เจ็บป่ะ” เฟียร์ถามฉันอย่างเป็นห่วง ฉันเลยเอามือมาแตะที่แก้มดู และรู้สึกว่ามันจะบวมนิดหน่อยด้วยสิ ให้ตายเถอะ!
“นิดนึง แต่ไม่เป็นไรหรอก”
“ลาน่ามือตบรึเปล่า แกก็ดุเป็นเหมือนกันนะเนี่ย” เฟียร์ยังคงยิ้มล้อเลียนไม่เลิก ให้ตายสิ ยัยเพื่อนคนนี้
“แกไม่ต้องมาขำเลย”
“เอาน่า ก็ฉันเพิ่งเคยเห็นลาน่าเวอร์ชั่นดุเด็ดเผ็ชมันส์” แล้วเฟียร์มันก็ขำอย่างสนุกสนาน นี่ฉันเพิ่งโดนตบมานะ ยังจะมีหน้ามานั่งขำใส่ฉันอีก ฉันใช่เพื่อนมันมั้ยเนี่ย!
