C H A P T E R 3 เขาจีบแกเหรอ?
เอี๊ยด!
พรึ่บ
แควก...
เฮ้ย!
ฉันร้องอุทานด้วยความตกใจพร้อมกับรีบก้มหน้าลงมองกระโปรงนักศึกษาของตัวเองหลังก้าวเท้าลงมายืนหน้าแห้งบนทางเท้าตรงบริเวณป้ายรถประจำทางฝั่งตรงข้ามมหาวิทยาลัยเป็นที่เรียบร้อย
พลางยกมือตบหน้าผากเสียงดังแป๊ะเมื่อเห็นชิ้นงานที่ไม่ได้ตั้งใจให้มันเกิดขึ้นเต็มสายตา
ทั้งที่ระวังแล้ว
แต่ก็...
พลาด!
ฉันเบะปากมองแนวตะเข็บด้านข้างที่ผ่า มันขาดยาวขึ้นมา
จนเห็นขากางเกงซับในตัวสั้น ก็คือถ้าไม่มีซับพอร์ตไว้ก็โป๊ ใส่ชุดนิสิตจนก้าวเข้าสู่ปีที่สามไม่เคยเกิดเหตุการณ์แบบนี้ ดีที่เผื่อเวลา
ทุกครั้ง ถ้ามาแบบฉิวเฉียดใกล้เวลาเรียนไม่อยากจะคิดว่าจะยุ่งยากมากแค่ไหน
นี่ก็กำลังคิดอยู่ว่าจะเดินตรง มุ่งไปยังโซนร้านขายเสื้อผ้านักศึกษาที่อยู่ห่างจากหน้ามอไปค่อนข้างไกลด้วยการเอากระเป๋า
ปิดไปดีไหม หรือจะวานให้เพื่อนคนใดคนหนึ่งช่วยเหลือดี ไปเองก็คิดว่าน่าจะใช้เวลานาน และทุลักทุเลพอสมควร เพราะต้องคอยระวัง
กลัวว่ามันจะแหวกไปถึงไหนต่อไหนให้คนมองไม่ดีอีก มีกางเกงซับในช่วยป้องกันโป๊อีกชั้นก็ใช่ว่าจะห้ามสายตาใครต่อใครได้ เอาเป็นว่าขอพึ่งเพื่อนละกัน
ตัดสินใจได้แล้วฉันก็เดินหนีบขามาทรุดตัวลงนั่งตรงป้ายรถเมล์ที่ไม่พลุกพล่านเอาเสียเลย เพราะตรงจุดนี้ส่วนใหญ่ลงรถแล้วก็จะข้ามสะพานลอยไปฝั่งมอ ไม่ก็แวะร้านข้าว ร้านกาแฟ คนยืนรอรถเพื่อไปที่อื่น ณ ตอนนี้มีแค่สามคน รวมฉันด้วยก็เป็นสี่ ฉันวางกระเป๋าสะพายที่วันนี้เลือกใช้ใบใหญ่บังตรงที่ขาดไว้ ก่อนจะค้นเอามือถือออกมาถ่ายกระโปรงแล้วส่งรูปเข้าไปในไลน์กลุ่ม
‘ยืนหนึ่งในสามคน’
ชื่อที่ฉันเป็นคนคิด
ยังไม่ทันได้พิมพ์ข้อความอะไรยัยแจนก็ส่งกลับมาเร็วทันใจ
Jan : เกิอะไรขึ้น ?
Prikhwan : ก้าวลงรถเมล์แล้วกระโปรงขาด ?
Jan : @Prikhwan ตอนนี้อยู่ไหน ?
Prikhwan : ป้ายรถเมล์หน้ามอ รอแกสองคน ?
Jan : อีกครึ่งชั่วโมงคงถึงแหละ แต่รถก็แอบติดอยู่
Jan : แกเข้าไปนั่งรอในคาเฟ่แถวนั้นก่อนไป ถึงแล้วว่ากัน
Prikhwan : อือออ
Jan : ??
โชคดีที่หน้ามหาวิทยาลัยมีคาเฟ่ให้นักศึกษาอย่างพวกเราเลือกเข้าอุดหนุนอยู่หลายร้าน ซึ่งแต่ละร้านก็มีความคิ้วท์ ความสวยงาม
มีจุดเด่น มีเอกลักษณ์ไว้ดูดเงินจากกระเป๋าลูกค้าแตกต่างกันออกไป และด้วยสถานการณ์เช่นนี้ทำให้ฉันไม่คิดที่จะเลือกเฟ้นสถานที่
หรือเน้นบรรยากาศอะไรมากมายนักหรอก นอกจากเลือกเอาร้าน
ที่ใกล้ที่สุดเข้าว่า
แล้วฉันก็เดินมาถึงร้านที่เลือกในสิบก้าว ร้านนี้ฉัน ยัยแจน ยัยเบลแวะมาอุดหนุนค่อนข้างบ่อย เป็นคาเฟ่เล็ก ๆ สมกับชื่อร้าน
ภายนอกไม่ค่อยดึงดูดสายตาลูกค้าเท่าไร แต่ถ้าได้เข้ามาแล้วจะได้รู้ว่าภายใต้ร้านแสนธรรมดามีของอร่อยซ่อนอยู่
“เดอะลิตเติ้ลคาเฟ่ยินดีต้อนรับค่ะ”
ฉันยิ้มให้พี่พนักงานที่คุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดี พลางกวาดสายตามองรอบร้าน มีลูกค้านั่งอยู่ในนี้ทั้งหมดสามคนรวมฉันด้วย
เป็นผู้หญิงหมดเลยอีกเช่นกัน
“วันนี้รับเมนูอะไรดีคะ”
ฉันเลิกสนใจอย่างอื่นชั่วคราว หันมาตอบพนักงาน
“คาปูชิโนเย็นหวานน้อยเหมือนเดิมค่ะ”
หนึ่งในเมนูโปรดที่ฉันมักจะสั่งเป็นประจำเวลาเข้าร้านกาแฟ ขนมแนะนำวันนี้มีบราวนี่นูเทลล่า พี่พนักงานบอกว่าเจ้าของร้านทำมาขายแค่สามถาดเท่านั้น หมดแล้วคือหมดเลย ที่เห็นอยู่ในตู้กระจกตอนนี้เป็นถาดที่สองซึ่งใกล้จะหมดไปอีกถาดแล้ว ลองจิ้มชิมตาม
คำคะยั้นคะยอดูแล้วถึงกับตาโต ร้องว๊าวออกมา คือช็อกโกแลตฉ่ำวาวซะใจสายเด็กอ้วนอย่างฉันมาก พลาดไปฉันคงเสียดายแย่ แล้วจะ
รออะไรล่ะ
“เพิ่มบราวนี่ให้หนูหนึ่งชิ้นด้วยนะคะพี่”
“ของลูกค้ามีคาปูชิโน่เย็นกับบราวนี่นูเทลล่านะคะ”
ฉันพยักหน้าหงึกหงัก จ่ายเงินค่าเสียหายไปหนึ่งร้อยยี่สิบตรงหน้าเคาน์เตอร์เรียบร้อยถึงได้เดินมายังโต๊ะติดกำแพงสีขาวที่เล็งเอาไว้ตั้งแต่ที่ก้าวเท้าเข้ามาในร้าน และระหว่างรอเครื่องดื่มกับขนมที่สั่งไปมาเสิร์ฟฉันก็หยิบโทรศัพท์มากดเข้าโหมดกล้องหน้า ทำหน้าบูดเพื่อให้เข้ากับสถานการณ์ที่กำลังเจอ
เลือกรูปที่ถูกใจ แต่งสีนิดหน่อยก็เอาลงเฟซบุ๊กพร้อมแคปชั่น
‘ว่าด้วยเรื่องกระโปรงขาด’
จากนั้นจึงไลน์บอกแจนกับเบลว่าตอนนี้รออยู่ที่ไหน
แล้วไม่รู้ว่าฉันตาฝาดหรืออะไรยังไงนะ เงยหน้าขึ้นมาจากหน้าจอมือถือแล้วเห็นบุคคลหน้าคล้ายปืนยืนอยู่หน้าร้านที่ฉันกำลังนั่ง ประกอบกับทางเข้าร้านเป็นประตูกระจกซึ่งมันไม่ได้ใสแจ๋วไง
การโฟกัสมันเลยไม่ชัดเจนถึงขนาดมั่นใจได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าสิ่งที่เห็นคือสิ่งนั้นจริง ๆ
และพอนึกถึงปืนขึ้นมาฉันก็คิดย้อนกลับไปยังเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืนหลังจากที่ฉันชิงวางสายแล้วส่งข้อความไปบอกเขาว่าง่วงนอนแล้ว เขาก็ไม่ได้โทรกลับมาหรือพิมพ์แชตมารบกวนอะไร
อีกเลยนะ คือหายเงียบเข้ากลีบเมฆไปเลย ประหนึ่งว่าก่อนหน้านั้นเราสองคนไม่เคยคุยกัน
จนถึงตอนนี้ก็ยังเงียบสนิท
ไม่แชต
ไม่โทร
ไม่อะไรทั้งนั้น
“คิดจะหลบไปถึงเมื่อไร”
เสียงทุ้มออกจะเนือย ๆ แสนจะคุ้นหูดังขึ้นบริเวณเหนือหัวทำเอาฉันที่กำลังเพลินไปกับความคิดสะดุ้ง พลางเงยหน้าเอียงคอมองสบตาผู้ชายร่างสูงในเสื้อช็อปสีกรมที่จู่ ๆ ก็โผล่หน้ามาแสดงตัวถึงความมีตัวตนพร้อมโยนข้อกล่าวหาในแบบเดิม ๆ ให้ฉันอีกครั้ง คือไม่คิดจะทักกันด้วยคำอื่น ประโยคอื่นบ้างเลยหรือยังไง เอะอะคิดว่า
ฉันจ้องแต่จะหลบ
“มาแบบนี้เราตกใจนะ”
“โทษกันแบบนี้ก็ได้ด้วย” คนเดินมาเงียบ ๆ เลิกคิ้ว “ที่ว่าตกใจน่ะไม่ใช่ว่าเธอขวัญอ่อนเองหรอกเหรอ” ฉันเบิกตากว้างก่อนจะตวัดค้อนงาม ๆ ให้ทันทีที่คำตอบนี้หลุดออกมาจากปากคนหน้านิ่งที่อัพเลเวลยักคิ้วยียวนใส่ฉันด้วยมาดสุดกวน เห็นแล้วอยากยื่นมือไปบิดพุงให้เจ็บจี๊ด
“ล้อเล่นนิดเดียวทำไมต้องทำหน้าตูมด้วยเนี่ย” ยังแหย่ไม่เลิก
“ก็กวนอะ” ฉันบอกพลางทำปากยื่น
“กวนตีน ?”
“พูดเองนะ”
แล้วเขาก็หัวเราะ
เป็นครั้งแรกเลยนะที่ฉันเห็นเขาหัวเราะเปิดปากแบบนี้
เหมือนได้เปิดโลกใหม่ยังไงไม่รู้
น่ารักดี
และใช่ ฉันก้มหน้าซ่อนรอยยิ้ม เรื่องอะไรจะให้เห็น
“เลิกเรียนวิชาแรกของวันแล้วเพื่อนมันชวนข้ามฝั่งมาหาอะไรกินหน้ามอ เบื่อโรงอาหารกับหลังมอ พวกมันอยากเปลี่ยนบรรยากาศเปลี่ยนสถานที่กินข้าวตอนกลางวันกันมั่ง หลังจากที่ไม่ได้มานาน” ปืนทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม พลางเท้าคางมองหน้าฉันด้วยสายตาที่เดาไม่ออก เรื่องที่เขาบอกคือเขาพูดขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยเลยแหละ อารมณ์แบบอยากพูดก็พูดเลย ดีเหมือนกันแฮะไม่ต้องถาม บอกเองเฉย แล้วฉันเองก็ตั้งใจฟังด้วยนะเอาสิ
“กินร้านไหนอะ”
“อยู่ถัดจากร้านนี้ไปอีกสามถึงสี่ล็อค”
“อ้อ” พยักหน้าหงึกหงัก
“พอดีว่าตอนหยุดเดินดันบังเอิญเห็นเธอนั่งจุ้มปุ๊กอยู่ในนี้เลยแวะเข้ามาดู” เขาใช้คำว่า ‘แวะ’ มาดูฉันว่ะแก สรุปว่าเขามองเห็นฉันเป็นคนหรือตัวอะไร วางมือบนหัวฉันแล้วโยกเบา ๆ ตรงมุมปากมีรอยยิ้มแต้มบาง ๆ ด้วย
อยากถามว่าเราสนิทกันถึงขั้นนี้ตั้งแต่เมื่อไรที่เล่นหัวกันเนี่ย
แล้วอะไรคือนั่งจุ้มปุ๊กเหรอ
มันก็ฟังดูน่ารักอยู่หรอก
แต่เหมือนฉันเป็นเด็กอ้วนที่นั่งเป็นโลโก้บนขวดซีอิ้วไงไม่รู้
คิดแล้วก็ก้มหน้ามองพุงตัวเองเบา ๆ
“ขออนุญาตเสิร์ฟกาแฟ และขนมค่ะ”
“ขอบคุณนะคะ” ฉันผงกหัวแล้วยิ้มจาง ๆ พลางย่นคิ้วเพ่งมองขนม และเครื่องดื่มตรงหน้าเมื่อพนักงานเดินถือถาดกลับไปยังเคาน์เตอร์ กาแฟกับขนมนี่ก็ช่างมาได้จังหวะเหมาะพอดีเลยเนอะ
“กินไรหน่อยไหม ร้านนี้อร่อยนะ”
“ไม่ชอบของหวาน ตามสบายเลย”
ฉันพยักหน้าเข้าใจ ไม่คิดเซ้าซี้ต่อ ภาพรวมแล้วผู้ชายกับ
ของหวานไม่ใช่ของคู่กัน แต่บางคนก็เป็นข้อยกเว้น หนึ่งในนั้นคือพ่อฉันเองแหละ รายนั้นต้องมีขนมหวานตบท้ายตอนมื้อเย็นประจำ แต่กินไม่เยอะนะ พอให้หายอยากเท่านั้นแหละ เพราะกินมากกลัวเป็นเบาหวาน
“เธอ”
“หือ อะไรเหรอ” กลืนขนมลงคอหมดแล้วถึงพูดกับเขา
“ตอนนั้นเธอตั้งใจหลบรึเปล่า”
“ตอนนั้น...” ตอนไหนล่ะ ฉันเอียงคอ เกาแก้ม พลางทวนคำถามก่อนจะร้องอ๋อในใจเมื่อได้ยินเสียงปืนพึมพำเบา ๆ ว่าเมื่อกี้อะไรสักอย่าง “เปล่านะ เราไม่ได้หลบเธอสักหน่อย” ฉันส่ายหน้ารัว ๆ ยืนยันเสียงแข็ง
“เชื่อได้มากน้อยแค่ไหนกัน” เขาพึมพำ แต่ฉันได้ยินชัดแจ๋ว
“ประชดเราเหรอ” ฉันถามกึ่งค้อน
“ตรงไหนที่ประชด” เขาเลิกคิ้วแล้วทำหน้างงใส่แบบเนียน ๆ
“ตรงนี้นี่แหละ” ฉันพูดเสียงอุบอิบแล้วบึนปากใส่คนแกล้งซื่อ
“แล้วเมื่อคืนง่วงจริงหรือแกล้งง่วง”
“แค่ก ๆ”
“ค่อย ๆ ดูดดิเธอ” ปืนขมวดคิ้วดุแล้วรีบยื่นมือมาช่วยลูบหลัง
แค่คำถามเดียวของเขาทำฉันไอจนเจ็บคอไปหมด
“เราง่วงจริง ๆ” ฉันเลือกตอบสั้น ๆ แต่หนักแน่น สู้สายตาด้วย
“อ่อ” ปืนพยักหน้า
“แล้ว...”
“แล้ว ?”
“เมื่อคืนไม่ได้เมา ?” ถึงจะเชื่อสนิทใจแล้วว่าไม่ได้เมาแต่ก็ยังอยากถาม อยากได้ยินจากปากเขาอยู่ดี
“ปืนเหมือนคนเมา ?”
“ก็ไม่” ฉันมุ่นคิ้ว ส่ายหน้า คำแทนตัวแบบนี้ยิ่งชัดว่าเขาไม่ลืม
“งั้นทำไมเธอถึงคิดว่าปืนเมา”
“ก็ปืนคนเมื่อคืนไม่เหมือนปืนคนที่เราเจอตอนอยู่หอสมุดนี่” ฉันเหลือบมองเขาแล้วพูดสิ่งที่อยู่ในใจต่อ “ตอนเจอกันที่ร้านข้าวป้านีก็อีก ปืนเย็นชาใส่เรามากเลย แล้วอยู่ ๆ ตกดึกมาก็ทักแชตหาเรา
แถมโทรวิดิโอมาด้วย เธอจะให้เราคิดยังไงอะถ้าไม่ได้เมา” เกือบนอนไม่หลับก็เพราะเขาเลยนะเมื่อคืนเนี้ย
“เมื่อคืนไม่ได้เมา” เขาจ้องหน้าฉัน “ที่ทักไปเพราะอยากคุย”
“อยากคุย ?” กับฉันเนี่ยนะ และเหมือนเขารู้ว่าฉันคิดอะไร
“ที่เจอกันครั้งแรกในหอสมุดทำตัวไม่ถูก ไม่รู้จะเริ่มคุยอะไร”
อา...เรื่องนี้ฉันเข้าใจได้ เพราะฉันก็ไม่ต่างจากเขา
ว่าแต่ทำไมต้องทำเหมือนเขินฉันด้วยล่ะ
หรือจะคันแก้ม
เกาใหญ่เลย
แต่ก่อนที่ฉันจะเพ้อไปไกลเสียงปืนก็ดึงฉันกลับมา
“ส่วนที่ร้านข้าวป้านี ตอนนั้นในหัวคิดแต่ว่าจะต้องเอาคืนเธอ
เธอจะได้รู้ซึ้งบ้างว่าความรู้สึกตอนถูกเมินแบบตั้งใจมันเป็นยังไง
เห็นแล้วไม่ยอมทัก ทำเหมือนคนแปลกหน้า ใจร้ายใจดำชะมัด เชื่อเลยว่าถ้าเธอไม่เดินไปเข้าห้องน้ำแล้วบังเอิญสบตากันก็คงไม่คิดยิ้มให้” เขาบ่นเชิงตัดพ้อ และจากที่ฉันตั้งใจฟังมาทั้งหมดสิ่งที่ฉันติดใจก็
คือประโยคแรก
“เอาคืนเนี่ยนะ” ฉันถามเสียงสูงอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“อือ”
ฉันอยากหัวเราะให้กับความคิดประหนึ่งเด็กน้อย และคำสารภาพแบบหมดเปลือกของเขานะ แต่ดันเปล่งเสียงหัวเราะไม่ออกน่ะสิ เห็นบุคลิกภายนอกดูนิ่ง ๆ หยิ่ง ๆ กร้าวใจสาวน้อย สาวใหญ่ ชะนี เก้ง กวางแบบนี้ แต่ใครจะล่วงรู้ว่าภายในใจแอบซ่อนความเจ้าคิดเจ้าแค้นเอาไว้แน่น ขนาดเรื่องเล็กนิดเดียวคุณเขายังเอาคืนฉันเดี๋ยวนั้น
นี่ถ้าเป็นเรื่องใหญ่จะขนาดไหนเหรอ
“แต่เราบอกเธอไปแล้วนี่นาว่าไม่ได้หลบ” ฉันสบตาเขานิ่ง
ก่อนจะอธิบายต่อ เพราะไหน ๆ ก็พูดถึงเรื่องนั้นขึ้นมาแล้ว “และเหตุผลที่เห็นแล้วไม่ทักเป็นเพราะเราไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นทักเธอยังไงอีกนั่นแหละ อีกอย่างเพื่อนเธอก็นั่งกันเต็มโต๊ะขนาดนั้น เราไม่กล้าพอที่จะเดินเข้าไปทักหรอก ไม่อยากถูกแซว เพราะคิดว่าคงรับมือลำบาก”
ปืนฟังฉันเงียบ ๆ พยักหน้าช้า ๆ เหตุผลที่ฉันให้ไปเขาคงเข้าใจได้ไม่ยาก แต่ส่วนตัวก็ยังสงสัยอยู่ดีว่าเพราะอะไรเขาถึงดูแคร์เรื่องอะไรแบบนี้ ทั้งที่เขาดูไม่น่าจะใช่คนคิดเล็กคิดน้อย ออกแนวไม่สนใจความเป็นไปของโลกด้วยซ้ำ แปลกจริง
“ขอโทษครับ”
“ขอโทษ ?” ฉันเลิกคิ้ว
และก่อนที่ฉันจะถามปืนก็ชิงขยายความซะก่อน
“ขอโทษที่ไม่มีเหตุผล พริกหวานยกโทษให้ปืนนะ...นะครับ” เขาทำหน้าสำนึกผิดกึ่งออดอ้อน แล้วฉันก็ดันเขิน หน้าเน่อนี่ร้อน
วูบวาบไปหมดแล้ว และนี่คือถ้าโกรธแบบจัดหนักจัดเต็มฉันว่าตัวเองคงหายโกรธเขาเดี๋ยวนี้เลยแหละ
สาว ๆ คนอื่นร้อยทั้งร้อยถ้าเจอแบบนี้เข้าไปฉันว่าก็น่าจะอารมณ์ประมาณฉันตอนนี้นี่แหละ เผลอ ๆ อาจจะเกินเรื่องมากกว่านี้ด้วยซ้ำ ให้ตายเถอะปืน นายไม่น่าทำฉันแบบนี้เลย นี่ก็พยายามกลั้นยิ้มอยู่นะ ปวดแก้มไปหมดละ
“ตอนนั้นก็ไม่ได้โกรธอะไรปืนเท่าไรหรอก” ฉันพูดเสียงเบา กว่าจะทำหน้าให้ปกติเหมือนเดิมได้มันไม่ง่ายเลยนะ และด้วยความที่ฉันไม่รู้ว่าควรจะจัดการเขายังไงดีเพราะทั้งเขินทั้งประดักประเดิด
ฉันเลยเลือกที่จะคว้าแก้วคาปูชิโน่ที่จิบไปนิดหน่อยมาดูดกลบเกลื่อนความอะไรก็ไม่รู้ของตัวเอง บ้าจริง จะมาเขินมาอายอะไรกับคำขอโทษ
“เหมือนจะมีต่อเลยแฮะ” ปืนรู้ทัน และฉันก็พยักหน้ายอมรับ
“ได้แต่คิดว่าผู้ชายคนนี้หยิ่งจนน่าหมั่นไส้เหลือเกิน”
“มีหลายคนที่คิดแบบนั้น”
“ใช่ไหมล่ะ ดูเหมือนหยิ่งไม่พอเพื่อนเรายังว่าเธอเย็นชาด้วย”
“อืม ใครจะคิดยังไงก็ช่าง ขอแค่คนที่เราแคร์เข้าใจเราก็พอ”
อา...
เรื่องนี้จริง ฉันเห็นด้วย เพราะเราไม่สามารถแคร์คนทั้งโลกได้
เป็นเราในแบบของเราดีที่สุด
