C H A P T E R 3 เขาจีบแกเหรอ? (3)
“พริกหวาน...พริกหวาน”
“ฮะ” ฉันครางรับอย่างเลื่อนลอย
“กระโปรงขาด ?”
“ฮะ”
“กระโปรงเธอขาด ?”
“อ๋อ...อื้อ”
หางตาเห็นหน้าจอมือถือเขาค้างที่โพสต์ฉันพอดี
“แล้วเปลี่ยนยัง” ปืนเลิกคิ้ว จ้องหน้าฉันเขม็ง
ทำไมต้องดุ!
ฉันเม้มปาก ส่ายหน้าช้า ๆ มือก็ค่อย ๆ เลื่อนลงมาตรงข้างลำตัวด้านที่มีกระเป๋าสะพายวางไว้แนบกายอย่างไม่ค่อยมั่นใจเท่าไร ปืนหลุบสายตามองตามมือฉันแวบหนึ่ง ก่อนจะพูดในสิ่งที่ฉันไม่คาดคิดออกมา
“รออยู่ที่นี่นะ เดี๋ยวปืนไปซื้อตัวใหม่มาให้ ร้านอยู่ทางนั้น” เขาบุ้ยบ้ายท่าทางไปที่ร้านขายชุดนักศึกษาที่ฉันตั้งใจจะวานยัยแจนหรือยัยเบลไปซื้อให้ และจาการสังเกตปืนค่อนข้างซีเรียสกับเรื่องกระโปรงฉันไม่น้อย ซาบซึ้งใจนะที่เขาอาสาโดยที่ฉันไม่ต้องเอ่ยปากร้องขอ แต่มันก็ดูไม่เหมาะไม่ควรเท่าไรที่จะให้เขาเดินไปซื้อมาให้
เราไม่ได้สนิทกัน
“ปืนไม่ต้องไปหรอก เดี๋ยวเราให้เพื่อนเราไปซื้อมาให้ อีกเดี๋ยวคงถึงแหละ” ฉันรีบคว้าแขนปืนเอาไว้เมื่อเขาทำท่าจะลุกออกไป
“อย่าลำบากเลย เราเกรงใจ” ฉันพูดเสียงอ่อยแล้วปล่อยมือจากแขนเขา ปืนมองฉันนิ่ง แววตากึ่งตำหนิอีกต่างหาก สรุปได้ว่าที่ฉันพูดไปเขาไม่เห็นด้วยนั่นล่ะ
“กว่าเพื่อนเธอจะมา” เขาพูดไปขมวดคิ้วไป “รอไม่ได้หรอก”
“รอได้สิ” ฉันแย้งทันควัน “เข้าเรียนตอนบ่ายโมงสิบห้า ตอนนี้ยังไม่เที่ยงเลย เวลายังเหลือเฟือ” พวกฉันสามคนเป็นกันแบบนี้แหละ ชอบมาก่อนเวลาเรียนเป็นชั่วโมงสองชั่วโมง เพื่อที่จะได้นั่งเม้าท์
กินข้าวกินขนมกัน แล้วฉันก็มักจะเป็นคนแรกที่ถึงก่อนเสมอ
เพราะฉันอยู่ใกล้มหา’ลัยที่สุด
“อย่าดื้อดิพริกหวาน” เขาดุฉันเบา ๆ แล้วยังบ่นต่อ ทำเหมือนฉันเป็นเด็กพูดไม่รู้ฟังไปได้คนบ้านี่ “น่าจะบอกตั้งนานแล้วว่ากระโปรงขาด นี่ถ้าปืนไม่บังเอิญเห็นในเฟซบุ๊กเมื่อกี้เธอก็ไม่คิดจะบอกกันเลยใช่ไหม”
“แล้วเธอจะให้เราบอกยังไง” ฉันพูดเสียงอุบอิบพลางยู่ปาก
จู่ ๆ จะให้กระซิบบอกว่า เธอ ๆ กระโปรงเราขาดอะ ช่วยหน่อยได้ไหม แบบนั้นมันก็ไม่ใช่ไหม
ปืนมองตาฉันนิ่งอีกครั้งแล้วถอนหายใจ “ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ขอแค่ให้บอก” เขาใช้นิ้วชี้เคาะจมูกฉันแล้วถอดเสื้อช็อปของตัวเองมาคลุมเข่าให้ฉัน มันเป็นการกระทำที่แสนจะธรรมดาแต่กลับทำให้
ใจฉันเต้นแรงอย่างไม่น่าเชื่อ
“อย่าเดินไปซนที่ไหน จนกว่าปืนจะกลับมา โอเคนะ”
“ระหว่างเราสองคนใครกันแน่ที่ดื้อกว่ากัน” ฉันบ่นพึมพำแล้วย่นจมูกไล่ใส่หลังร่างสูงที่เดินหุนหันออกไปด้วยความรวดเร็ว ก่อนจะก้มหน้าลงมองเสื้อช็อปกลิ่นหอมสดชื่นที่เจ้าของใจดีถอดทิ้งไว้ให้ใช้ประโยชน์จากมันชั่วคราวด้วยความรู้สึกอุ่นซ่านในอกอย่างบอกไม่ถูก
กระโปรงตัวใหม่ที่ปืนลงทุนเดินไปซื้อมาให้เปลี่ยนเป็นกระโปรงพลีทความยาวเลยเข่าลงมานิดหน่อย เขาบอกใส่แบบนี้ดีกว่าแบบเดิมเป็นไหน ๆ เรื่องนี้ฉันไม่เถียงหรอกเพราะก็รู้อยู่แก่ใจว่า
ใส่แบบไหนสะดวกสบายกว่ากัน แต่บางทีฉันก็อยากใส่ทรงเอบ้างอะไรบ้างไง จะสั้นยาวก็ว่ากันไป อารมณ์ผู้หญิงอะเนอะ ถึงจะต้องแต่งเครื่องแบบซ้ำซากตลอดห้าวันหกวันแต่ก็ขอให้ได้มิกซ์แอนด์แมทต์ ซึ่งจุดนี้ผู้ชายอาจไม่เข้าใจ
แล้วที่ทำฉันอึ้งจนตาโต อ้าปากค้างก็ตอนเขายื่นถุงอ้วน ๆ ให้ตอนฉันเดินกลับมานั่งที่เดิมหลังเปลี่ยนกระโปรงเรียบร้อยแล้ว
นี่แหละ คือเขาไม่ได้ซื้อมาให้แค่ตัวเดียวอย่างที่เข้าใจไง ขนซื้อมา
ตั้งห้าตัว แถมยังเหมือนกันเป๊ะ
“ไม่ต้องกลัวขาด แต่ต้องระวังเวลามีลม”
“...”
“รู้งี้เอาตัวที่ยาวกว่านี้มาก็ดี”
ปืนขมวดคิ้วแน่น ส่วนฉันฟังแล้วต้องเลิกคิ้วหันมามองตา
ยัยแจนกับยัยเบลแบบไร้ซึ่งคำพูด ดูออกแหละว่าผู้ชายหนึ่งเดียวท่ามกลางหญิงสาวอย่างพวกเรามีอารมณ์หงุดหงิดเจือจาง ถ้าเดาไม่ผิดคงไม่พ้นเรื่องกระโปรงฉัน เพราะเมื่อกี้เขาเพิ่งจะบ่นไปว่าน่าจะเอาตัวที่ยาวกว่านี้มาให้ฉัน ซึ่งที่เขาซื้อมานี่มันยังไม่ยาวอีกเหรอ ปกติฉัน
ก็ใส่ทรงพลีทความยาวประมาณนี้ คือคลุมเข่า
“ไว้ซื้อใหม่”
“ซื้อใหม่ ?”
เขาคงไม่ได้หมายความว่า...
“อือ ปืนซื้อให้”
“ไม่ต้องแล้ว” ฉันรีบปฏิเสธ หัวเราะเสียงแห้ง แต่เขาฟังที่ไหน
“อยากเห็นเธอใส่แบบยาวคลุมขาบ้างไง เสียดายว่ะ น่าจะหยิบมาสักตัว” ประโยคหลังเขาบ่นพึมพำกับตัวเอง แปลกใจทำไมต้องอยากเห็นฉันใส่ ในมหา’ลัยมีคนใส่แบบที่เขาอยากเห็นเยอะแยะ
เชื่อว่าคงต้องเคยเห็นผ่านตามาบ้างแหละ แต่ตอนนี้เรื่องนั้นมันไม่ใช่ประเด็นหรอก
“กระโปรงแบบยาวที่ห้องเราก็มีปืน มีหลายตัวเลยด้วย ไม่จำเป็นต้องซื้อใหม่” ไม่เข้าใจตัวเองเลยว่าทำไมต้องรู้สึกพ่ายแพ้สายตากึ่งออดอ้อนของปืนด้วย
“หวังว่าจะได้เห็นในสักวันในเร็ว ๆ นี้” ปืนพูดแล้วยิ้มมุมปาก ขณะที่ผิวแก้มของฉันอยู่ดี ๆ มันก็เกิดร้อนฉ่าขึ้นมาจากคำพูดเพียง
แค่ไม่กี่คำของผู้ชายคนหนึ่ง ซึ่งไม่น่าจะมีอิทธิพลต่อความรู้สึกมากมาย แล้วคือทำไมจะต้องทำเหมือนคาดหวังจะได้เห็นฉันใส่กระโปรงยาวขนาดนั้นด้วย ฉันเผลอยกมือขึ้นลูบแก้มตัวเองเบา ๆ เห็นรอยยิ้มจาง ๆ ขยายกว้างจากริมฝีปากสวยใบหน้ายิ่งร้อนผ่าว
ฉันรีบลดมือลงมา ความรู้สึกคล้ายทำผิดแล้วโดนจับได้อย่างไรอย่างนั้นเลย น่าอายชะมัด
และพอฉันเปลี่ยนเรื่อง พร้อมหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมา
เพื่อจะทำการคืนเงินให้ตามจำนวนที่เขาจ่ายไป สีหน้าปืนก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย และยืนยันเสียงแข็งว่าไม่ต้องการเงิน ถ้าอยากจะคืนให้จริง ๆ ก็คืนด้วยวิธีอื่นแทนละกัน ฉันก็คิดตามที่เขาพูดนะ ซึ่งวิธีที่ดีที่สุดนอกจากคืนเงินแล้วก็เห็นจะมีแต่เลี้ยงข้าวหรือไม่ก็ซื้อของขวัญให้
แต่ฉันคิดว่าการเลี้ยงข้าวตอบแทนความมีน้ำใจน่าจะโอเคที่สุดสำหรับกรณีนี้ แล้วพอฉันเอ่ยปากชวนกินมื้อเที่ยงด้วยกัน เขาก็ปฏิเสธฉันอีกครั้งด้วยเหตุผลที่ว่า เพื่อนรออยู่
แล้วเขาก็ไป
ก็คงต้องรอจนกว่าคิวเขาจะว่างแหละ
ฉันไม่รับของจากเขามาฟรี ๆ หรอก
ส่วนยัยเบลกับยัยแจนที่นั่งอยู่ในเหตุการณ์ด้วยเอาแต่เขม้นมองพร้อมตั้งคำถามผ่านทางสายตาไม่หยุดหย่อน คล้อยหลังปืน
ไปแล้วนั่นแหละแม่เพื่อนรักสองนางถึงได้ฤกษ์ขยับปากซักไซ้
ไต่สวนฉันราวคนอัดอั้นตันใจที่พอหาทางระบายได้แล้วก็ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น อันที่จริงก่อนหน้านี้ หลังรู้ว่าใครอาสาไปซื้อกระโปรงให้ก็เริ่มซักมาบ้างแล้วล่ะ แต่ซักไม่ทันจบหรอก ปืนกลับมาก่อน ทำหน้าเสียดายใส่กันใหญ่
“แกกับปืนไปสนิทกันตอนไหน เมื่อวานเขายังเมินแกอยู่เลย”
“นั่นดิ ถึงขนาดเดินไปซื้อกระโปรงให้แกนี่ไม่ธรรมดานะยะ”
“ก็ไม่ได้สนิทอะไรขนาดนั้นปะแจน เขาเห็นว่ากระโปรง
ฉันขาด แล้วแกสองคนก็ดันมาช้า ปืนเขาอยู่ตรงนี้พอดีเลยอาสาไปซื้อให้ก็เท่านั้นเอง” แจนกับเบลมองหน้ากันแล้วพร้อมใจพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า
“แปลกแฮะ”
“แล้วไอ้คำว่าเท่านั้นเองของแกสำหรับฉันมันแตกต่างกันว่ะพริกหวาน คนเรามันจะใจดีกับคนที่ไม่สนิทอะไรขนาดนั้น ลงทุนมากเว่อร์ ถ้าเป็นฉันฉันยังต้องคิดหลายตลบเลยว่าจะอาสาไปซื้อให้ดีไหม แล้วนั่นผู้ชายด้วย เรียนวิศวฯ อีก”
“เอาดี ๆ ปืนจีบแกปะเนี่ย” เบลโพล่งขึ้นมาทำฉันสะดุ้ง
จีบ ?
ฉันมุ่นคิ้วคิด
เรื่องนี้มันก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ แต่มันก็อาจไม่เป็นอย่างที่คิด
เหรียญยังมีสองด้าน นับประสาอะไรกับความคิดในใจคน
เดายาก
ไม่อยากเข้าข้างตัวเองด้วย
“ไม่รู้สิ”
“ไม่รู้หรือไม่อยากพูด”
“เขาก็ปกติ ไม่ได้มีท่าทีอะไรน่าสงสัย แกอย่าคิดแทนเขาสิ”
แน่ล่ะว่าฉันโกหก ขืนพูดไปรับรองถูกซักฟอกจนขาวซีดแน่
“แต่ฉันว่ามันทะแม่ง ๆ อยู่นะแก” ยัยเบลยังไม่เลิกสงสัย
“ตอนนี้ยังไม่มีอะไร โอเคนะ” ฉันตัดบท
“ตอนนี้ยัง แสดงว่าอนาคตไม่แน่” ยัยคนขี้สงสัยหรี่ตาเล็กแคบ
“อนาคตก็คืออนาคต”
“นึกว่านางเอกเบอร์หนึ่งมาตอบคำถามผู้สื่อข่าวจอมซอกแซก อนาคตก็คืออนาคต หมั่นไส้อะ อิจฉาด้วย” ยัยแจนทำปากยื่นยาว
“ทีเมื่อวานล่ะยังกับหนังคนละม้วนกับวันนี้เลย” มันก็จริงอย่างแจนว่า ตัวฉันเองก็ยังงงไม่หาย และยังไม่ทันได้ถามว่าเพราะอะไรถึงอยากจะเสวนากับฉันถึงขนาดยอมละลายพฤติกรรมประหนึ่งน้ำแข็งของตัวเองลง
“แล้วฉันจะบอกเขาให้”
“บอกอะไรยะ” ยัยแจนทำหน้างงหนักมาก
“ก็บอกในสิ่งที่แกบ่นไง”
“แกอยากให้ฉันถูกแช่แข็งตายเหรอพริกหวาน”
“เว่อร์แล้ว”
“จ้า... ฉันมันเว่อร์จ้า คิดเยอะไปเองด้วย สายตาที่ปืนมองแกไม่มีเหลียวแลมาทางฉันสองคนเลย เรื่องนี้ไม่รู้ว่าฉันคิดเยอะคิดมาก
ไปเองด้วยรึเปล่า” ยัยแจนเบ้ปากสะบัดค้อนใส่ ทิ้งระเบิดให้ฉันคิดตามก่อนจะสะบัดก้นเดินไปเอาเมนูจากพนักงานที่เคาน์เตอร์เพื่อจะสั่งอาหารกินกัน เราสามคนตกลงกันว่าจะฝากท้องมื้อเที่ยงที่ร้านนี้เลย และตั้งใจจะนั่งยาว ๆ ด้วย ไว้ใกล้ถึงเวลาเข้าเรียนโน่นแหละค่อย
เข้ามหา’ลัย
“...พริกหวาน แก”
“อือ...ว่า”
“ฉันว่าแกลืมอะไรไปนะ”
“ลืมอะไร” ฉันเท้าคางเอียงคอมองเบลด้วยความสงสัย
“นั่นน่ะ” ฉันมองตามสายตาเบล พลางย่นคิ้วเมื่อเห็น…
“หือ...เสื้อช็อป”
ฉันไม่ได้ลืมแต่เป็นปืนต่างหาก
“หรือแกหาเรื่องไม่คืนเพื่อที่จะหาข้ออ้างไปเจอเจ้าของ”
“บ้า!” ฉันแหวใส่ยัยเบล ก่อนจะคว้าโทรศัพท์มาแชตหาปืน
“ดูร้อนตัวนะแก”
“ฉันเปล่าร้อนตัวย่ะ” ฉันตอบเบลพร้อมพิมพ์ข้อความไปด้วย
Alinda : ปืน เธอลืมเสื้อช็อปไว้ที่เรา
Harlan : อืม ฝากไว้ก่อนแล้วกัน
