บท
ตั้งค่า

บทที่ 2 ถวายพระพรฮองเฮา

เขตพระราชฐานชั้นในหรือวังหลังปัจจุบันประกอบไปด้วยตำหนักหลัก 6 ตำหนัก หนึ่งสำหรับไทเฮา อีกหนึ่งสำหรับฮองเฮา และที่เหลือเป็นของสี่พระชายาหรือก็คือพระสนมกุ้ยเฟย พระสนมซูเฟย พระสนมเต๋อเฟย และพระสนมเสียนเฟย

ตำหนักของไทเฮากับฮองเฮาคือตำหนักมู่ตานฮวา (ดอกโบตั๋น) อีกสี่ตำหนักคือตำหนักเหมยกุ้ยฮวา (ดอกกุหลาบ) ตำหนักเหลียนฮวา (ดอกบัว) ตำหนักฮั่วจวีเจียงฮวา (ดอกดาหลา) ตำหนักจวี๋ฮวา (ดอกเบญจมาศ) ตามลำดับ โดยตำหนักรองจากตำหนักของพระสนมชั้นเฟยคือตำหนักของพระสนมชั้นจิ่วผิน จิ่วผินเป็นพระสนมชั้นที่เรียกกันว่าตำแหน่ง 9 พระสนมเอก ปัจจุบันมีพระสนมชั้นจิ่วผินเพียง 4 ตำแหน่งคือเจาเยวี่ยน ซิวอี๋ ซิวหรง และซิวเยวี่ยน โดยตำหนักของพระสนมซิวอี๋เป็นตำหนักที่อยู่ใต้การดูแลของพระสนมกุ้ยเฟย ตำหนักของพระสนมซิวหรงอยู่ภายใต้การดูแลเต๋อเฟย ตำหนักของพระสนมซิวเยวี่ยนอยู่ภายใต้การดูแลของซูเฟย ส่วนเจาเยวี่ยนนั้นมาจากตำหนักโม่ลี่ฮวา (ดอกมะลิ)

เนื่องจากตำหนักโม่ลี่ฮวาไม่ถูกรวมอยู่ในการดูแลของตำหนักสี่พระชายาเอก แต่ขึ้นตรงต่อตำหนักหลักมู่ตานฮวาของฮองเฮาแทน

และด้วยความที่พระสนมเจาเยวี่ยนอยู่ภายใต้ปีกของฮองเฮา ทำให้พระสนมเจาเยวี่ยนสามารถอยู่ในวังหลังได้อย่างสงบสุข ไม่ถูกพระสนมชั้นที่ต่ำกว่าชั้นเฟยรังแก แต่การอยู่ภายใต้การดูแลของตำหนักมู่ตานฮวาก็เป็นดั่งดาบสองคม เมื่อใดก็ตามที่พระสนมเจาเยวี่ยนเริ่มสั่นคลอนอำนาจของสี่พระชายาเอก เมื่อนั้นพระชายาเอกก็คงไม่ปล่อยเอาไว้แน่ เพราะการขยี้มดปลวกที่อยู่ภายนอกตำหนักนั้นง่ายเสียยิ่งกว่าการทำร้ายพวกที่อยู่ภายใต้การดูแลของตนเสียอีก แม้คนคนนั้นจะอยู่ภายใต้การดูแลของฮองเฮา สี่พระชายาก็หาได้สนใจ

เจินลี่นั่งอ่านประวัติศาสตร์ภายในวังหลังตามที่ได้รับคำสั่งจากซั่งกง (หัวหน้ากองพระราชสำนัก) ให้อ่านจนจบเพื่อเข้าใจที่มาที่ไปของตำหนักแต่ละตำหนัก เจินลี่คิดตามว่าหากนางเป็นพระสนมที่ไร้การดูแลจากเหล่าพระชายาทั้งสี่และฮองเฮาแล้วล่ะก็ นางต้องสู้รบตบมือนานสักเท่าใดกว่าจะมีอำนาจภายในวังหลังแล้วเสวยสุขอยู่ได้โดยไม่ต้องหวาดกลัวการถูกทำร้ายหรือกลั่นแกล้งจากพระสนมหรือสนมนางอื่นได้

เจินลี่ปิดตำราลงก่อนจะเหม่อมองไปรอบตำหนักรองเหมยฮวา แม้ว่าตำหนักนี้จะไม่ได้โอ่อ่าหรูหราดังเช่นตำหนักหลัก ไม่สิ...เรียกได้ว่าแทบไม่มีอะไรเลยมากกว่า แต่ก็ยังเป็นสถานที่ที่สุขสงบแม้ในยามคิมหันต์ฤดูเช่นนี้ ภายนอกตำหนักล้วนปกคลุมด้วยผืนหญ้าเขียวชอุ่มตามฤดูกาล มีม้าหินตัวเล็กกับสระน้ำเคียงตำหนักที่บัดนี้มีเหลียนฮวาแย่งกันผลิบานให้ผู้คนได้เชยชมอยู่

คิมหันต์ฤดูถือเป็นฤดูแห่งเหลียนฮวา บัดนี้ฮ่องเต้คงกำลังอยู่ที่ตำหนักเหลียนฮวาของซูเฟยเพื่อชมความงามอยู่เป็นแน่ เจินลี่คิดในใจเพื่อเอาความเครียดที่มีต่อกฎเกณฑ์ภายในวังหลังทิ้งไปอย่างไม่ไยดี กฎของนางมีเพียงข้อเดียวคืออย่าได้ล้ำเส้นผู้อื่น หากผู้อื่นไม่ได้ล้ำเส้นนางก่อน เพราะนอกเหนือจากนั้นล้วนอยู่ภายใต้จิตสำนึกของนางอยู่แล้ว

“หลี่ไฉเหริน...เจ้ายังไม่ไปถวายพระพรฮองเฮาอีกอย่างนั้นหรือ?” เสียงหวานนุ่มของไฉเหรินร่วมตำหนักที่เพิ่งกลับมาจากการถวายพระพรฮองเฮาเอ่ยถามอย่างสงสัยเมื่อเดินเข้าตำหนักมาก็เห็นเจินลี่นั่งอยู่ที่ห้องโถงพร้อมกับตำรากองโต

“ฮองเฮาทรงเรียกพบสนมหน้าใหม่เพียงวันละ 10 นางเท่านั้น และวันนี้ก็ไม่ใช่วันของข้า” เจินลี่ตอบกลับเสียงราบเรียบ นางหาได้สนใจเพื่อนร่วมตำหนักคนอื่นเท่าใดนัก แค่ต้องใส่ใจกับตำรากองโตก็ทำให้นางหมดแรงแล้ว

“งั้นรึ... แล้วนี่ซ่งไฉเหรินไปไหนกัน เจ้าเห็นนางไหม?” หญิงงามตรงหน้าถามขึ้นอีกครั้ง เจินลี่ลอบสำรวจสนมร่วมตำหนักเพียงเล็กน้อย ผ่านมา 3 วัน นี่เป็นคราแรกที่ได้มองเต็มตาและใกล้ถึงเพียงนี้

หญิงงามผู้มีดวงหน้าหวานปานน้ำผึ้งเดือนห้า ดวงตาดอกท้อทอประกายยามได้สบสายตาช่างดูใสสะอาด ริมฝีปากบางเล็กน่ารัก เรียกได้ว่าเป็นหญิงสาวที่งดงามราวกับถูกเหล่าเทพรังสรรค์ขึ้นมาเลยทีเดียว นางเป็นคุณหนูตระกูลหลิง หลานสาวของพระสนมเต๋อเฟย บุตรสาวแม่ทัพใหญ่ หลิงอี้หยา

“ตั้งแต่ยามเหม่า (ตี5.00-6.59) จนบัดนี้ยามอู่ (11.00-12.59) ข้าเองก็ยังไม่เห็นหน้านางเลย” เจินลี่ตอบกลับ

“อย่างนั้นรึ” อี้หยาตอบกลับด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบเช่นเดียวกับใบหน้าก่อนจะมองเจินลี่ด้วยสายตาไร้ความรู้สึก “นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เจ้ายอมมองหน้าข้าตรงๆ” เจินลี่เลิกคิ้วด้วยความงุนงงเล็กน้อย นางไม่เคยมองหน้าตรงๆ เพราะไม่ได้สนใจแล้วผิดอย่างไร? หลิงอี้หยาจำต้องเก็บมาใส่ใจด้วยหรือ? อีกอย่าง...หลิงอี้หยาก็ไม่เคยมองหน้านางตรงๆ เช่นกัน

“ข้าเสียมารยาทแล้ว...นิสัยข้าค่อนข้างจะเก็บตัวจึงแสดงท่าทางที่ไม่ดีออกไป ต้องขออภัย”

“ข้าคิดว่าเจ้าไม่อยากยุ่งกับสตรีนางอื่นเสียอีก” อี้หยาเว้นวรรคคำพูดของตนเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่ดูจริงจัง “เพราะในสายตาข้า…ข้าเห็นความทะเยอทะยานของเจ้า”

“แหม...หลิงไฉเหรินกล่าวเกินไปแล้ว” เจินลี่แสร้งยิ้มหวาน …นี่ข้าเพิ่งเข้าวังมา 3 วัน ทำเพียงอ่านตำราและรอเข้าถวายพระพรฮองเฮา เหตุใดหลิงอี้หยาผู้นี้ถึงได้มาพูดว่านางทะเยอทะยานกัน? แม้ว่ามันจะจริงก็เถอะ

“...ข้าเห็นมันจากดวงตาของเจ้า ดวงตาเจ้าแข็งกระด้าง ไร้ซึ่งแววตาของผู้ถ่อมตน... ข้าไม่ทราบถึงเจตนาที่แท้จริงของเจ้าหรอกนะหลี่ไฉเหริน แต่หากเจ้ายังไม่อาจปกปิดสายตาของเจ้าได้...” หลิงอี้หยาถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะมองเจินลี่ด้วยสีหน้าจริงจัง “เจ้าจะไม่มีวันได้ในสิ่งที่ใจเจ้าปรารถนา ข้าเตือนเพราะเราอยู่ตำหนักเดียวกัน”

เจินลี่ยิ้มค้างไปเพียงเล็กน้อยก่อนจะมองหลิงอี้หยาด้วยดวงตาที่จริงจัง

“ข้าว่าหลิงไฉเหรินคงเข้าใจอะไรผิดแล้ว” เจินลี่ตอบกลับพร้อมกับรอยยิ้มหวานกว่าเดิมเพื่อปกปิดใบหน้าที่แข็งตึงของตน พร้อมกับพูดขึ้นมาเบาๆ ว่า “ดวงตาข้าอาจแสดงถึงความแข็งกร้าว แต่นั่นหาใช่ความทะเยอทะยานอย่างที่ท่าคิด ...ท่านเป็นถึงบุตรีคนเล็กที่ท่านแม่ทัพหลิงหวงแหน ตามใจยิ่งกว่าลูกคนใดในตระกูล ทั้งชีวิตท่านได้รับทั้งความรักและการทะนุถนอมเป็นอย่างดี ไม่เคยต้องเคียดแค้นชิงชังผู้ใด ไม่เคยต้องพยายามไขว่คว้าหาสิ่งใด ... แล้วเจ้าจะมารู้จักสายตาที่เจ้าเรียกว่าทะเยอทะยานได้อย่างไรกัน?” เจินลี่พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาแฝงแววความไม่พอใจที่ปิดไม่มิด

“...” หลิงอี้หยาไม่พูดสิ่งใดอีก ทำเพียงแต่เดินกลับไปยังห้องของนางที่อยู่ด้านซ้ายของตำหนักเท่านั้น

เจินลี่เห็นดังนั้นก็ถอนหายใจออกมาอย่างลืมตัว แม้นางจะทะเยอทะยานจริงดังว่า แต่หากไม่ถึงเวลา...เหตุใดนางต้องแสดงออกด้วยเล่า แม้นางจะเกิดในตระกูลขุนนางต้อยต่ำ และนางอาจไม่ได้เป็นคนฉลาด แต่นางก็หาได้เป็นคนโง่ ...นางรู้ดีว่าต้องทำตัวเช่นไรเมื่ออยู่ในวังหลังแห่งนี้ …เห็นทีนางคงต้องปกปิดสายตาแข็งกระด้างของตนเอาไว้ให้ดีกว่านี้เสียแล้ว

ยามเมื่อคิมหันต์ฤดูจบสิ้น เมื่อนั้นสารทฤดูจะมาเยือน... ยามเมื่อจบสิ้นแห่งสารทฤดู จะเป็นช่วงเวลาแห่งเหมันต์ฤดู ...ฤดูแรกที่เหมยฮวาจะเบ่งบานจนกระทั่งถึงวสันต์ฤดู

หลังการปะทะคารมระหว่างเจินลี่กับอี้หยาเมื่อวันก่อน เจินลี่ก็พยายามฝึกปรับเปลี่ยนท่าทีแข็งกระด้างของตนเพื่อเตรียมตัวเข้าถวายพระพรฮองเฮาและพระสนมชั้นเฟย จนในที่สุดวันที่เจินลี่ต้องเข้าถวายพระพรฮองเฮาก็มาถึง

“หลี่เจินลี่ถวายพระพรฮองเฮา ขอฮองเฮาทรงพระพลานามัยแข็งแรงเพคะ” เจินลี่ย่อตัวถวายพระพรฮองเฮาผู้นั่งอยู่กลางห้องโถงใหญ่ ด้านข้างของฮองเฮาไม่มีทั้งพระสนมชั้นเฟยหรือพระสนมชั้นรองลงมาจากนั้นเลยแม้แต่คนเดียว

ตามธรรมเนียมแล้วสนมหน้าใหม่จะต้องถวายพระพรฮองเฮาและตามด้วยพระสนมชั้นเฟยแต่ละพระองค์จนครบ และวันสุดท้ายของการปฏิบัติตามธรรมเนียมนี้จะตรงกับช่วงเทศกาลจงเยวี๋ยน (สารทจีน) หรือก็คือเทศกาลที่มีไว้ไหว้บรรพบุรุษเพื่อให้บรรพบุรุษพ้นจากอบายภูมิอีกทั้งทำบุญให้แก่วิญญาณเร่ร่อนไปด้วย โดยจะต่างจากเทศกาลชิงหมิงที่ต้องไปเคารพบรรพบุรุษที่สุสานเพื่อลำลึกถึงและแสดงความกตัญญูต่อบรรพบุรุษผู้จากโลกที่ไปแล้ว ทำให้เมื่อถึงวันชิงหมิง ฮ่องเต้ ฮองเฮาแหละสี่พระชายาจะต้องเดินทางไปเคารพสุสานบรรพบุรุษด้วยกัน เหล่าสนมชั้นเฟยทั้งสี่จะต้องเลือกพาพระสนมหรือนางสนมขั้นต่ำกว่าตนไปด้วยหนึ่งคน ทำให้เหล่าสนมหน้าใหม่ต่างกระตือรือร้นกับการถวายพระพรฮองเฮาและสี่พระชายาเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่จะได้ทำคะแนนเพื่อที่ตนจะถูกเลือกให้เดินทางไปด้วยในช่วงเทศกาลชิงหมิง ฟังดูน่าแปลกใจแต่การเดินทางเพื่อไหว้บรรพบุรุษนั้นใช้เวลาเดินทางหลายวัน แต่จริงๆ แล้วที่ทำเช่นนั้นเพราะฮ่องเต้ต้องตรวจดูความเรียบร้อยและทุกข์สุขของประชาชนระหว่างการเดินทางไปด้วย

“ข้าจำเจ้าได้…หลี่ไฉเหริน” ฮองเฮากล่าวด้วยน้ำเสียงเนิบนาบก่อนจะดื่มชาอย่างสบายอารมณ์ “วางตัวตามสบายเถิด” ฮองเฮายิ้มให้เจินลี่เพียงเล็กน้อยก่อนจะผายมือไปทางที่นั่งด้านขวามือของพระองค์

“ขอบพระทัยเพคะ ฮองเฮา”

“ตำหนักรองเหมยฮวาเป็นอย่างไรบ้าง”

“เงียบสงบดีเพคะ”

“ข้าก็หวังว่าตำหนักรองเหมยฮวาจะสงบเช่นนี้ไปได้ตลอดนะ” ฮองเฮายิ้มให้แต่ดวงตาหาได้ยิ้มตาม

“เพคะ แม้จะผ่านไปสักกี่ฤดูข้าก็คิดว่าตำหนักรองเหมยฮวาจะสงบเหมือนเช่นทุกวันนี้ แม้แต่ในช่วงที่ดอกเหมยฮวาเบ่งบานและสวยงามที่สุด…ข้าก็หวังว่ามันจะยังคงสงบสุขไม่เปลี่ยนแปลง”

“สวยงามที่สุดรึ? สวยงามจนแม้แต่มู่ตานฮวาของข้าก็ไม่อาจสู้ เจ้าอยากจะสื่อเช่นนี้ใช่รึไม่…หลี่ไฉเหริน” ฮองเฮาเหลือบตามองเจินลี่อย่างไร้อารมณ์ มือเรียววางถ้วยชาลงอย่างเบามือทำเอาเจินลี่ชาวาบไปทั้งตัวด้วยเกรงว่าฮองเฮาจะไม่ชอบใจในคำพูดของนาง

“ไม่ใช่เพคะฮองเฮา หม่อมฉันหมายความว่าดอกเหมยฮวาจะบานสะพรั่งตั้งแต่ช่วงเหมันต์ฤดูจนถึงช่วงวสันต์ฤดูซึ่งเป็นช่วงที่เหมยฮวาจะดูสวยงามและมีชีวิตชีวามากที่สุดเพคะ ส่วนมู่ตานฮวาเป็นราชินีแห่งมวลบุปผา แม้บุปผามีนับร้อยนับพันชนิดก็คงไม่อาจมีดอกไม้ใดสู้มู่ตานฮวาได้หรอกเพคะ” เจินลี่ลอบมองพระพักตร์ของฮองเฮาว่ายังคงเป็นปกติดีหรือไม่

“...หึ ข้าก็ขอให้เป็นดั่งเช่นที่เจ้ากล่าวมาก็แล้วกัน” ฮองเฮากระตุกปากยิ้มเยาะก่อนจะเอ่ยต่อ “เจ้าเป็นสนมนางสุดท้ายที่เข้ามาถวายพระพรข้า ซึ่งหมายความว่าเป็นสนมนางสุดท้ายของเหล่าพระสนมขั้นเฟยทั้ง 4 เช่นกัน ข้าไม่รู้หรอกนะว่าเจ้าจะต้องเจอกับอะไรอีกบ้าง เจ้าควรรู้เพียงว่าฮ่องเต้นั้นแตกต่างจากข้า ...ข้าซื่อตรงกับการทำงานในส่วนของข้า แต่พระองค์นั่นแตกต่าง... ข้าไม่ได้กำลังกล่าวหาว่าพระองค์ปกครองขุนนางด้วยความไม่ซื่อตรง หากกล่าวอ้อมๆ …ก็คงหมายถึงเป็นพวกนิสัยแปลกประหลาดเมื่อต้องมีปฏิสัมพันธ์กับสตรีวังหลัง อืม... อาจจะไม่ได้ประหลาดมากนัก แต่สำหรับข้าก็คงไม่ได้เรียกว่าปกติอยู่ดี ข้าก็ไม่อยากกล่าวอะไรเยอะหรอกนะ แต่พระสนมชั้นเฟยทั้งสี่นั้นกล่าวได้ว่าไม่ใช่สนมชั้นเฟยตามพระราชบัญญัติการแต่งตั้งสนมเท่าใดนัก ค่อนข้างจะต่างจากตำแหน่งที่ได้รับด้วยซ้ำ แม้แต่ข้าผู้เป็นฮองเฮาก็ยังไม่อาจแน่ใจกับความคิดและการกระทำของฝ่าบาทได้เลยสักนิด อืม...ข้าไม่น่าจะช่วยอะไรเจ้าได้มากนักหรอก เพียงแต่...”

“ฮองเฮาเพคะ!”

ก่อนที่ฮองเฮาจะได้พูดต่อ หญิงชราผู้ที่คาดว่าน่าจะเป็นคนสนิทก็ขัดขึ้นอย่างไม่เกรงกลัวอาญาใดๆ ทั้งสิ้น ดูเหมือนนางจะไม่ได้เป็นแค่คนสนิททั่วไป เจินลี่คิดในใจ

“มีอันใดรึ แม่นม” ฮองเฮาถามอย่างสงสัยเมื่อถูกขัดจังหวะ

“ลืมแล้วหรือเพคะฮองเฮา” แม่นมฮองเฮาทำหน้าเคร่งเครียดก่อนจะพยักพเยิดหน้ามาทางนาง

เจินลี่มองดูทั้งสองด้วยดวงตานิ่งเรียบ แต่ภายในใจนั้นกลับมีความคิดมากมายผุดขึ้นมา ทำไมเหมือนจู่ๆ ฮองเฮาก็พูดมากขึ้นมาเสียอย่างนั้น?

“... ข้ารู้สึกเหนื่อยแล้ว แม่นมช่วยส่งหลี่ไฉเหรินด้วย” ฮองเฮากลับมาทำท่าทีเรียบเฉยดังเช่นคราแรกที่พบ ถือตัวเช่นเดิม แล้วทั้งหมดที่เพิ่งเกิดขึ้นนี่คืออะไร? หากเจินลี่มองไม่ผิด...ในขณะที่ฮองเฮาทรงร่ายยาวไม่หยุดให้นางได้โต้ตอบ ดวงหน้างามของพระองค์ทรงแสดงความรู้สึกบางอย่างออกมา ไม่ใช่การแสดงออกถึงความรู้สึกที่มีต่อฮ่องเต้ หรือมีต่อนาง แต่ดวงตากับทอประกายวิบวับเล็กน้อยยากจะสังเกต จนกระทั่งเมื่อแม่นมของฮองเฮาทักท้วงเสียงดังพระนางจึงได้กลับสงบนิ่งดังเดิม

เจินลี่งุนงงกับเหตุการณ์ตรงหน้าเล็กน้อยแต่ก็ไม่อาจทำอันใดได้ ทำได้เพียงเดินตามแม่นมของฮองเฮาออกมาเงียบๆ

ระหว่างทางกลับตำหนักรองเหมยฮวานั้นต้องผ่านศาลาริมน้ำที่เป็นศาลาชมจันทร์ของฮ่องเต้ ซึ่งบัดนี้เงียบเหงาไร้ผู้คน เจินลี่แวะไปยังศาลาชมจันทร์ก่อนจะมองไปทั่วเพื่อสำรวจความงดงามแม้ในยามกลางวัน ทั้งสวยงามและเต็มไปด้วยดอกไม้นานาพรรณ อีกทั้งยังมีสระน้ำกว้างใหญ่อยู่ติดกับศาลาริมน้ำ แม้กระทั่งเรือพายก็ยังมีให้ได้ใช้ เจินลี่มองไปที่เรือพายก่อนจะยิ้มกริ่มออกมาเล็กน้อย นึกย้อนไปขณะที่นางอายุเพียง 5 ขวบ พี่ชายของนางมักจะพานางพายเรือหนีท่านพ่อไปเก็บเหลียนฮวาเสมอ พี่ชายทั้งอบอุ่น ใจดี อุ้มนางด้วยแขนเพียงข้างเดียว อ้อมกอดนั้นช่างปลอดภัยและติดตรึงอยู่ในความทรงจำของนางมาโดยตลอด แต่เมื่อพ้นวัย 5 ขวบไปไม่นาน พี่ชายนางกลับหายตัวไปเสียอย่างนั้น เมื่อคิดได้เช่นนั้นใบหน้าหวานก็คล้ำลงอย่างเห็นได้ชัด

เจินลี่ส่ายหัวไล่อดีตแสนหวานออกไปเพราะไม่อยากนึกถึงก่อนจะกลับไปคิดเรื่องของฮองเฮาแทน หากนับตามอายุแล้วฮองเฮามีพระชนมายุมากกว่าฮ่องเต้ถึง 5 พรรษา พระนางแซ่หรง เป็นบุตรสาวคนสุดท้องแห่งจวนอัครเสนาบดีหรงหยูซู ซึ่งตามที่ได้ยินมาพระนางทรงเป็นหญิงสาวที่มากด้วยกฎเกณฑ์ มีคุณธรรม และใจเย็นยิ่งกว่าพี่น้องคนไหน แต่เท่าที่ได้เจอ...ฮองเฮากลับแสดงออกทางคำพูดได้มากกว่าที่นางคาดไว้เสียอีก ดูท่าว่าจะเชื่อข่าวลือหรือตัวหนังสือไม่ได้แล้วกระมัง?

“แล้วที่พระองค์ตรัสไว้ว่าพระสนมชั้นเฟยทั้ง 4 พระองค์หาใช่พระสนมชั้นเฟยตามพระราชบัญญัติการแต่งตั้งนั้นหมายถึงอะไรกัน จากตำราที่ซั่งกง (หัวหน้านางกำนัล) บังคับให้อ่านก็กล่าวถึงการขึ้นสู่ตำแหน่งชั้นเฟยของพระสนมไว้อย่างละเอียด หาได้ผิดหรือต่างจากบัญญัติตรงไหน แล้วไหนจะเรื่องฮ่องเต้ทรงปฏิบัติตัวแปลกๆ กับวังหลังอีก... ข้างงไปหมดแล้วนะ!” เจินลี่เผลอเสียงดัง พอรู้ตัวก็รีบอุดปากตัวเองแน่น หยุดทำกิริยาแปลกประหลาด ลอบมองซ้ายขวาว่ามีใครอยู่หรือไม่ เมื่อเห็นว่าไม่มีนางก็รีบเดินกลับไปยังตำหนักรองเหมยฮวาทันที แต่หารู้ไม่ว่าภายใต้การกระทำทั้งหมดของนางนั้นตกอยู่ภายใต้การแอบมองของคนคนหนึ่งที่จะทำให้ทั้งชีวิตของนางวุ่นวายนับจากวันนี้ไป

"หวังว่าครานี้เหมยฮวาจะไม่เบ่งบานผิดฤดูอีกก็แล้วกัน" ชายหนุ่มปริศนาคลี่ยิ้มเบาบางก่อนจะยกขวดสุราดื่มแล้วทิ้งตัวนอนหลังพุ่มไม้ต่ออย่างสบายใจ

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel